อัยน์นาพาพ่อค้าหนุ่มมุ่งหน้าเข้าหาห้องทำงานบิดาด้วยท่าทีสำรวม ฝ่ายไซรัสเองก็เดินตามด้วยท่าทีสุขุมและภูมิฐาน
ท่ามกลางบรรยากาศเข้มขรึมทว่าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอบอุ่นอ่อนหวานอันบ่งบอกว่าคฤหาสน์หลังนี้มีสตรีอาศัยอยู่หลายคน คนทั้งคู่ที่เดินอยู่บนทางเดินปูพรมสีแดงทอลายดอกไม้ปลายกลีบแหลมที่ยากจะบอกว่าเป็นดอกอะไรด้วยสีแดงอิฐ ต่างจงใจเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย ทั้งเธอและไซรัสแน่ใจว่าทิ้งระยะมากพอที่จะไม่มีใครครหา แต่กลับกลายเป็นว่าระยะห่างระหว่างเธอกับเขา กลับยิ่งชวนให้ผู้คนในคฤหาสน์จับจ้องมองมาด้วยแววตาชื่นชมประสมอยากจับคู่ให้
แววตาจับจ้อง การลอบชำเลืองมองนัยน์ตาเป็นประกาย...ทุกกิริยาอาการที่อัยน์นาจับสังเกตได้จากสาวใช้ ทำให้คุณหนูคนงามอดเหลียวมองคนเดินตามไม่ได้
ดูเหมือนไซรัสจะรู้ตัว เขาไม่พูดอะไร ทำเพียงคลี่ยิ้มทรงเสน่ห์ให้เธอ เพียงแค่นั้น สาวใช้สาวน้อยสาวใหญ่ที่จับจ้องมองอยู่ก็สมใจ พากันกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริ
ให้มันได้อย่างนี้สิ...
อัยน์นาไม่ได้รำคาญความหวังดีเหล่านี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ในเมื่อผู้ชายคนแรกในชีวิตที่ผู้คนในคฤหาสน์อยากเอาใจช่วยให้เธอได้ร่วมหอลงเอย ดันเป็นผู้ชายน่าสงสัยที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู แถมยังเป็นผู้ชายสองหน้าชนิดที่ซ่อนเขี้ยวเล็บตัวเองไว้มิดชิดและแนบเนียนยิ่งกว่าใคร
...ขืนผู้หญิงคนไหนออกเรือนไปกับผู้ชายแบบนี้ ถ้าไม่ระวังให้ดี คงโดนปั่นหัว โดนชักใย จนกลายเป็นตุ๊กตาหน้าโง่ ที่แม้สามีจะโกหกซึ่งๆ หน้าก็ยังจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน...
ผู้หญิงบางส่วนอาจพึงพอใจหากได้เป็นตุ๊กตาประดับเรือนบุรุษรูปงาม เฉลียวฉลาด มีชื่อเสียง เป็นที่นับหน้าถือตา และมั่งคั่ง แต่ไม่ใช่เธอ ไม่ใช่ ‘คุณหนูอัยน์นา’ คนนี้
“คุณพ่อคะ” อัยน์นาส่งเสียงเรียกทันทีที่พาแขกของคฤหาสน์เดินมาจนถึงหน้าประตูห้องทำงานบิดา
“อัยน์นารึ” แม้น้ำเสียงที่ลอดออกมาจากประตูห้องจะฟังดูจริงจัง เป็นทางการ แต่อัยน์นากลับสัมผัสได้ถึงกระแสความดีใจ
เจ้ากรมการเมืองเครียดเพราะเรื่องพ่อค้ารายนี้มาหลายวัน วันนี้เป็นวันที่ดูจะมีข่าวคราว มีข้อมูลใหม่ ถ้าไม่ดีใจก็แปลกแล้ว
“ไซรัสก็มาด้วยใช่ไหม”
“ค่ะ” อัยน์นาไม่แปลกใจนักที่โดนถามแบบนี้ ถึงอย่างไรบิดาเธอก็เป็นเจ้าบ้าน แขกไปใครมา ย่อมต้องมีใครสักคนล่วงหน้ามาแจ้งให้รู้อยู่เสมอ
“เข้ามาสิ”
พอได้ยินคำอนุญาต เจ้าของร่างอ้อนแอ้นก็เปิดประตูบานหนา แล้วผายมือเชิญให้แขกเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นก็เดินตามเขาเข้าข้างในพร้อมกับดึงประตูห้องให้ปิดกลับลงเหมือนเดิม
“คุณกับคุณพ่อคงมีธุระสำคัญต้องคุยกัน ดิฉันจะไปเตรียมน้ำชาให้นะคะ” อัยน์นารีบปลีกตัว แต่กลับโดนไซรัสเรียกรั้งไว้
“อยู่ต่อเถอะครับ จะได้พูดคุยกันให้หายคาใจในคราวเดียว” เป็นอีกครั้งที่พ่อค้ารายนี้คลี่ยิ้มให้เธอ ต่างกันตรงที่คราวนี้แววตาเขาเปล่งประกายวาบวับอย่างคนมากเล่ห์ ทันคน “วันนี้คุณเข้าไปในย่านร้านค้า พยายามสืบเสาะเรื่องผมให้ท่านเจ้ากรมไม่ใช่หรือ?” เขาเอ่ยตรงไปตรงมาผิดคาด
อัยน์นาคำนวณความคุ้มได้คุ้มเสียทันที
เธอไม่ไว้ใจชายคนนี้ ถ้าเขาเพียงต้องการแสดงออกว่าจริงใจให้เธอกับบิดาเชื่อถือทั้งที่ใจจริงคิดคด เธอกับบิดาก็จะไม่เหลือไพ่ตายไว้ใช้เลยสักใบ
ไม่จำเป็นต้องเหลียวมองบิดาเพื่อปรึกษา ที่อัยน์นาทำทันทีคือการก้มหน้าลงด้วยความอับอาย ใบหน้าเธอในยามนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดูไม่ต่างอะไรไปจากมะเขือเทศสุกปลั่ง “ดิฉัน...เอ่อ...ไม่ใช่นะคะ” เธอเอ่ยเสียงเบาจนเกือบกระซิบ น้ำเสียงหวานๆ ฟังดูอึกอัก บ่งบอกถึงความกระอักกระอ่วนใจ
ดูเหมือนเจ้ากรมการเมืองจะเดาความคิดลูกสาวออก จึงรีบช่วยส่งเธอออกจากห้องทั้งอย่างนั้น
“อัยน์นา...ลูกกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“ค่ะ คุณพ่อ” รับคำแล้ว คุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์ก็เดินออกจากห้องทั้งที่ยังคงก้มหน้าหลบสายตาแขกของคฤหาสน์
เพื่อความแนบเนียน ในช่วงที่บรรจงปิดประตูห้องบานหนาอย่างเบามือ เธอยังไม่ลืมแสร้งเหลียวสบตาเขาด้วยแววตาชื่นชมประสมประหม่า
ยิ่งเห็นว่าไซรัสจับจ้องมองมาด้วยแววตารู้ทันอย่างไม่ปิดบัง เธอก็ยิ่งแสดงท่าทีสะท้านอาย ก่อนปล่อยให้ประตูปิดลงด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มดุจเด็กสาวในห้วงรัก
ช่างเป็นวิธีหลบเลี่ยงที่ชวนให้ขนลุกนัก...อัยน์นานึกตำหนิตัวเองในใจ
เธอไม่คิดว่าไซรัสจะเชื่อในทันที แต่การหลบเลี่ยงด้วยวิธีนี้ ก็ยังดีกว่ายอมรับตามตรง
เลือกใช้วิธีนี้...ในอนาคต เธอก็ยังเล่นบทคุณหนูผู้ซื่อใสและตกอยู่ในห้วงรักเพื่อลอบจับสังเกตและเฝ้าระวังไม่ให้เขาทำลายบิดาเธอต่อไปได้
ดีไม่ดี ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ อาจกล่อมให้ไซรัสยอมเชื่อว่าภายใต้ใบหน้าซื่อใสนี้ไม่มีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่อย่างที่เขาเข้าใจ และอาจมัดใจชายคนนี้สำเร็จ ทำให้คนหัวแข็งเคี้ยวยากคนนี้ ยอมเผยความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงหรือแผนการในห้วงคิดออกมาทีละนิด...ทีละหน่อย
คุณหนูผู้มั่นใจในตัวเองอย่างร้ายกาจไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าการตัดสินใจคราวนี้ ทำให้พริสซิลล่าและแอนนาเบลที่เฝ้าดูอยู่ยิ่งริษยา ยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียดชัง
โดยเฉพาะพริสซิลล่า...เธอโกรธถึงขั้นเผลอกำชายกระโปรงแน่นจนทำให้ชุดกระโปรงลูกไม้ตัวใหม่เอี่ยมขาดแควกคามือ ริมฝีปากบางๆ สั่นระริกเหมือนอยากจะด่า อยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่พูดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง
“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วใช่ไหมคะ” แอนนาเบลอ่านจากสีหน้าพี่สาวก็พอเดาได้
พริสซิลล่าจ้องมองตามน้องสาวต่างมารดาอยู่นาน นานจนอีกฝ่ายเดินยกชายกระโปรงไปพ้นสายตา ริมฝีปากสีแดงก่ำเหมือนเลือกนกถึงขยับอ้า เปล่งเสียงออกมาเพียงสั้นๆ
“งานเลี้ยง...ทุกอย่างจะจบ ที่งานเลี้ยง”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”