“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”
กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลย
อัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้น
ไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วย
คุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจ
ท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน
“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น
“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่างตัดเย็บฝีมือชั้นยอดรายนี้”
“แค่นี้ที่ร้านยังลูกค้าแน่นไม่พออีกเหรอคะ”
“การจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าคือหน้าที่เจ้าของกิจการนะครับ” จังหวะนั้น บริกรหนุ่มนายหนึ่งก็ถือถาดเครื่องดื่มเดินมา
ผู้ก้าวเข้าแทรกบทสนทนารับแก้วเก่าในมือไซรัสมาเปลี่ยนเป็นแก้วใหม่ที่รินเครื่องดื่มชนิดเดียวกันไว้เต็ม ก่อนหันมาถามอัยน์นาว่าต้องการเครื่องดื่มชนิดไหน
นึกถึงเรื่องเมื่อตอนออกงานครั้งก่อนแล้ว...คุณหนูคนใหม่ลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาจากการที่ทั้งๆ ที่ในถาดมีเครื่องดื่มไม่น้อยแต่บริกรกลับไม่ได้คะยั้นคะยอให้เลือกหยิบแก้วใดเป็นพิเศษ หลังจากเลือกอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายอัยน์นาก็ตัดสินใจหยิบแก้วน้ำส้มคั้นมาถือประดับไว้ ต่อไปถ้ามีพวกไม่ประสงค์ดีมายื่นเครื่องดื่มที่ไม่รู้ว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยให้ จะได้ใช้เครื่องดื่มในมือบอกปัดไปอย่างไม่น่าเกลียด...
“เหล้าหมักผลไม้ชั้นดี” ไซรัสเอ่ยหลังจิบเครื่องดื่มแก้วใหม่ไปพักใหญ่ “เวเนเซียนี่ช่างดีเสียจริง จะรบทัพจับศึกก็ยังไม่ลืมจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อขอบคุณผู้คน มีเหล้า ไวน์ น้ำผลไม้นำเข้า มีอาหารคาวหวานกว่าร้อยชนิดไว้คอยบริการ”
อัยน์นาเลือกจะนิ่งฟัง อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
“ท่านเจ้ากรมสบายดีใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คุณพ่อสบายดี...” พูดไม่ทันจบประโยค บริกรคนเดิมก็พลาดทำถาดเอียงจนแก้วเครื่องดื่มล้มเสียงดังโครม เรียกเสียงหวีดร้องสั้นๆ ดึงความสนใจจากแขกหลายคนในงาน รวมทั้งเธอและไซรัส
“น่าสงสาร...หลังจากนั้นคนรับใช้ชายรายนั้นจะโดนตำหนิแค่ไหนก็ไม่รู้” พ่อค้าหนุ่มพึมพำ
นี่เป็นครั้งแรกที่อัยน์นารู้สึกว่าเขาพูดความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงออกมามากมายขนาดนี้
นี่ดื่มเหล้าหมักผลไม้เข้าไปมากมายเท่าไหร่กัน...?
อัยน์นายกแก้วน้ำส้มในมือขึ้นจิบหลอกๆ เพราะไม่รู้ว่าจะแสดงความเห็นอะไร พอเธอหันหน้ากลับเข้าหาไซรัส ก็เห็นพ่อค้าหนุ่มเบนสายตามองไปทางด้านหลังเธอ บอกให้บุตรสาวนอกสมรสท่านเจ้ากรมการเมืองรู้ ว่ามีใครสักคน เดินตรงมาทางนี้
เมื่อเหลียวมองตาม ก็เห็นแอนนาเบลถือแก้วน้ำเปล่าเดินมาหาด้วยรอยยิ้ม
“อัยน์นา...น้ำส้มพวกนี้เปรี้ยวๆ หวานๆ ดื่มแล้วคันคอแปลกๆ ดื่มน้ำเปล่าล้างคอสักหน่อยไหมจ๊ะ” แอนนาเบลถาม แววตามาดหมาย
อา...มาจนได้ วิธีกลั่นแกล้งสกปรกงี่เง่าๆ พรรค์นี้...
“น้ำส้มแก้วนี้รสดีออกค่ะ ไม่คันคอเลยสักนิด”
“ไม่คันคออะไรกัน ดูแก้วเธอสิ แทบไม่พร่องเลยสักนิด” แอนนาเบลทำท่าจะแย่งแก้วน้ำส้มในมือมาสับเปลี่ยนกับน้ำเปล่าของตัวเอง อัยน์นาจึงชิงชนแก้วด้วยรอยยิ้ม
“คุณพี่เดินมาตั้งไกลแค่เพราะอยากเอาน้ำดื่มมาให้ดิฉันคงเหนื่อยมาก คุณพี่ดื่มเถอะค่ะ” ว่าแล้วคนชวนดื่มก็ชูแก้วตัวเองขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงชวนดื่มอย่างเป็นทางการแล้วยกแก้วน้ำส้มของตัวเองขึ้นทำท่าดื่ม ดวงตาคู่งามจับจ้องคล้ายจะรอดูว่าพี่สาวต่างมารดาจะให้เกียรติตนเองบ้างหรือไม่
...แอนนาเบลม่กล้าดื่มน้ำเปล่าแก้วนั้น...
“คุณพี่จำเป็นต้องหักหน้าดิฉันด้วยหรือ? ” อัยน์นาตีหน้าเศร้า จ้องลึกลงในดวงตาพี่สาวคนรอง “หรือว่า...น้ำแก้วนี้...จะมีอะไรไม่ชอบมาพากล? ”
ประโยคนี้ทำเอาแอนนาเบลตื่นตระหนกจนมือชา ยิ่งเห็นไซรัสเหลียวมองมาก็ยิ่งกลัวว่าพ่อค้ารายนี้จะคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องในงานเลี้ยงหนก่อนหน้า
หลังจากจดจ้องกันอยู่ครู่หนึ่ง มือขาวซีดที่ถือแก้วก็พลันอ่อนแรง ทำแก้วหล่นลงพื้นเสียดื้อๆ
“คะ คุณพี่” อัยน์นายกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาใสซื่อคู่งามเบิกกว้างขึ้น ดูตกอกตกใจ ทั้งที่ภายใต้ฝ่ามือน้อยๆ ริมฝากงดงามกำลังยกยิ้ม
ดูท่าน้ำเปล่าแก้วนั้นมีปัญหาจริงๆ
อา...ถ้าอย่างงั้นแก้วนี้ก็...ปลอดภัย?
“ขอดึงตัวอัยน์นาไปสักครู่นะคะ” แอนนาเบลบอกสั้นๆ ก่อนส่งสายตาสั่งให้เธอเดินตาม อัยน์นาจึงยกแก้วน้ำส้มในมือขึ้นจิบจริงๆ เป็นอึกแรกและอึกสุดท้ายเพราะแน่ใจว่าอาจมีเรื่องให้ต้องเหนื่อยหรือปวดหัวอีกแล้ว จากนั้นก็ขอปลีกตัวแยกจากไซรัสด้วยท่าทีสุภาพอ่อนหวานเหมือนเคย
ตอนนั้นเอง พริสซิลล่าก็ก้าวเข้าหาคนโดนทิ้งไว้
ดูจากแววตาระริกระรี้ดีใจ อัยน์นาก็พอเดาออกว่าพี่สาวคนโตรอโอกาสนี้มานานแล้ว
“คุณพี่” อัยน์นาหยุดก้าวขา แล้วตัดสินใจพูดกับแอนนาเบลตามตรงเป็นครั้งแรก “พอเถอะค่ะ ไม่ต้องพยายามแยกดิฉันออกไปให้ไกลกว่านี้ก็ได้ ดิฉันจะไม่เข้าไปรบกวนคุณพี่พริสซิลล่าแน่ๆ ”
“ประสาท ใครเขาพยายามแยกหล่อนกัน” แอนนาเบลกระซิบกระซาบด่า
“ถ้าอย่างนั้น คุณพี่พาดิฉันแยกออกมาทำไมคะ” อัยน์นาแสร้งถามพาซื่อ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับ เธอก็จะลองเล่นด้วยเสียหน่อย
“ฉันทำเข็มกลัดหายย่ะ!”
คนฟังกวาดสายตามองพี่สาวคนรองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เอ...เครื่องประดับคุณพี่ก็อยู่ครบนี่คะ”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”