“นี่บ้านของอาหงที่ท่านตาบอกเหรอ?” แม้สงสัยหากแววตากลับเป็นประกายชอบใจ
“งดงามมาก!”
“เอ๊ะ! เมื่อครู่อาหงหายตัวได้เหรอ? หมายความว่าถ้าอาหงอยู่ในมิติอาหงจะหายตัวไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?” คิดแล้วพลันทดลองดูนางก็ได้คำตอบ นางสามารถหายตัวไปโผล่ยังสถานที่ที่นางต้องการภายในมิติได้จริง
สะดวกสบายมาก!
ขาน้อย ๆ ของอาหงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว!
ทดลองความคิดของตนเองจนพอใจเว่ยซือหงตัวน้อยกลับมาสนใจทิวทัศน์หรือบ้านของนางอีกครั้ง
เบื้องหน้าของนางไม่ต่างอันใดจากเกาะระดับย่อม เพราะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ มีจุดที่เป็นพื้นดินไม่มากนัก และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นนั้น ที่ยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าเพียงต้นเดียว
ใช่แล้วมิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นผืนดินกับผืนน้ำ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้าเป็นตัวกลางกั้น พิศดูแล้วเว่ยซือหงคิดว่า จุดที่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ จะต้องมีไอปราณหนาแน่นที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาบริเวณนั้นแน่นอน แม้นางจะเด็กแต่อย่าได้ดูเบาการวิเคราะห์ของนางเชียว
ตอนนี้หากนางต้องการไปยังกึ่งกลางทะเลสาบ เพื่อเข้าไปยังบ้านต้นไม้ นางสามารถไปได้สองรูปแบบ หนึ่งคือกำหนดจุดหมายและหายตัวไป สองคือเดินข้ามสะพานไม้สีขาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นทางเชื่อมระหว่างส่วนที่เป็นพื้นดินและส่วนที่เป็นพื้นน้ำใจกลางเกาะที่บ้านต้นไม้ตั้งอยู่
ถึงจะสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่เว่ยซือหงชอบซึมซับบรรยากาศและมองรายละเอียดอย่างช้า ๆ มากกว่า ดวงตากลมไล่มองไปทีละตำแหน่งราวกับต้องการจดจำ
“โอ้... ต้นไม้บรรพกาล ไม่แปลกเลยที่จะใหญ่ยักษ์ขนาดนี้” อุทานออกมาเมื่อเนตรสวรรค์ฉายรายละเอียดให้ยลอีกครั้ง ไม่รู้ว่าก่อนจะถูกดัดแปลงให้เป็นบ้านต้นไม้ รูปลักษณ์เดิมของต้นไม้นี้ใหญ่โตเท่าใด เว่ยซือหงไม่อยากคิด
บ้านต้นไม้บรรพกาลตรงหน้าถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่บ้านและจัดสรรปันส่วนเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้อย่างลงตัว แบ่งออกเป็นสี่ชั้นด้วยกัน
เริ่มจากชั้นล่างสุดถือเป็นชั้นแรก เนินดินขนาดใหญ่ถูกครอบครองโดยรากของต้นไม้ยักษ์ มีแผ่นหินเรียงรายเป็นทางเดินเล็ก ๆ มวลผกาต่างสีสันปลูกประดับไว้สองข้างทางอย่างลงตัว แอ่งวงกลมตรงกลางมีไว้สำหรับรองรับมวลน้ำที่ไหลลงมาจากชั้นสองราวกับม่านน้ำต้น ในส่วนที่เป็นชั้นนี้ ลำต้นบางส่วนของต้นไม้บรรพกาลถูกตัดแต่งคล้ายกับหินงอกหินย้อย พื้นที่ด้านขวามือมีบันไดไม้เชื่อมต่อเป็นทางขึ้นสู่ชั้นสอง
เข้าสู่ชั้นที่สอง พื้นที่ของต้นไม้ถูกดัดแปลงให้เป็นร่องน้ำขนาดเล็กโดยเอาหินก้อนเล็กก้อนใหญ่กั้นขอบด้านนอกเอาไว้ กระทั่งถึงตรงกลางพื้นที่ร่องน้ำจึงราบเรียบ เมื่อไม่มีอะไรขวางกั้นน้ำทั้งหมดจึงตกกระทบลงสู่ชั้นแรก กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดย่อม ๆ พื้นที่ด้านซ้ายมือเต็มไปด้วยไม้ประดับ ส่วนพื้นที่ด้านขวามีบ่อน้ำเล็ก ๆ สองบ่อ พร้อมโต๊ะเก้าอี้สำหรับพักผ่อนอีกหนึ่งตัว พื้นที่ตรงกลางเหนือธารน้ำถูกจัดให้เป็นทางเดินไต่ระดับเป็นบันไดไม้ขึ้นสู่ชั้นสาม
ทันทีที่เข้าสู่ชั้นสามสิ่งแรกที่ต้องเจอคือเรือนไม้ขนาดกลาง ชานด้านนอกโล่งเตียน แต่มีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ กำจายออกมา เว่ยซือหงทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงเข้าไปสำรวจ ด้านในมีแต่สมุนไพรเต็มไปหมด ทั้งสดและแห้ง รวมทั้งมีขวดโอสถถูกวางบนชั้นจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ไว้ด้วย ทั้งนี้ด้านในยังมีห้องย่อยอีกห้อง เข้าไปดูพลันพบกับหม้อโอสถสำหรับปรุงยาตั้งอยู่
“อืม... มีหม้อโอสถ มีโอสถและสมุนไพร งั้นอาหงจะเรียกเรือนนี้ว่าเรือนโอสถก็แล้วกันนะ”
แล้วเสร็จจากเรือนโอสถเหลือบไปดูพื้นที่ด้านซ้ายมือของเรือนพบเห็นบ่อน้ำเล็ก ๆ หลายบ่อและมวลดอกไม้เช่นเคย เว่ยซือหงละความสนใจหันไปมองด้านขวามือบ้าง พบว่าในชั้นสามนี้มีเรือนตั้งอยู่ริมสุดของพื้นที่ด้านขวาอยู่หนึ่งหลัง หลังเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นเรือนสำหรับพักผ่อนเฉย ๆ นอกจากนี้ก็ไม่พบเจอสิ่งใดอีก
“ดูเหมือนว่าชั้นที่สามจะมีเพียงเรือนโอสถกับเรือนพักผ่อนเท่านั้น พื้นที่ด้านซ้ายก็เป็นบ่อน้ำเล็ก ๆ หลายบ่อ ด้านขวานอกจากเรือนพักผ่อนแล้วก็ไม่มีอะไรอีก เป็นเพียงลานสีเขียวโล่ง ๆ แต่กลับสบายตายิ่ง เอาละ ไปสำรวจชั้นบนสุดกัน”
เท้าเล็ก ๆ ก้าวขึ้นบันไดไม้สู่ชั้นที่สี่หรือชั้นบนสุดช้า ๆ ทว่าขึ้นมาได้ไม่เท่าไรนางก็ชะงัก เหลียวกลับไปมองด้านหลังพบว่าเดินขึ้นมาได้แค่นิดเดียวกลับพบเรือนไม้อีกหลังอยู่เยื้องด้านขวามือติดกับบันไดไม้ขึ้นลงพอดี
“เรือนอันใด เหตุใดจะอยู่ชั้นสามก็ไม่อยู่จะอยู่ชั้นสี่ก็ไม่ใช่ ดันอยู่เยื้องของชั้นสามเท่านั้น”
พูดเสร็จก็เร่งเข้าไปสำรวจ ทันทีที่ประตูเปิดออกกลิ่นอายบัณฑิตภูมิความรู้เก่าแก่ต่าง ๆ กระจายออกมา ด้านในเต็มไปด้วยชั้นตำรามากมาย ดูไม่ธรรมดายิ่ง ตอนแรกเว่ยซือหงจะหยิบมาอ่านแต่ใจไม่สงบเอาแต่คิดถึงเรือนชั้นบนสุดอยู่เรื่อย นางจึงตัดใจจาก ‘เรือนปัญญา’ มา เรียกเช่นนี้เพราะมีตำรามากมายเกินไปทั้งยังเป็นเรือนใหญ่ไม่อาจหักใจเรียกเรือนตำราได้
เจ้าตัวน้อยวิ่งขึ้นบันไดไม้เข้าสู่ชั้นสี่อย่างกระตือรือร้น เมื่อมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง เรือนขนาดใหญ่มีชานเรือนกว้างขวาง และมีโต๊ะเก้าอี้จัดเข้ามุมไว้อย่างเหมาะสม นางสามารถยืนหรือนั่งดูทิวทัศน์และจิบชาชื่นชมธรรมชาติตรงนี้ได้ รับรองว่าไม่ร้อนแน่นอน เพราะยอดต้นไม้ยักษ์บรรพกาลต้นนี้แผ่กิ่งก้านสาขาใบดกปกคลุมแทบจะทั่วพื้นที่เลยทีเดียว ทว่าไม่อึดอัดแม้แต่น้อยเพราะปลายยอดสูงขึ้นไปทำให้ดูโล่งกว้างมากยิ่งขึ้น
ไหน ๆ ก็ขึ้นมาชั้นบนสุดแล้วขอชื่นชมความงามเสียหน่อยเถอะ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“