ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม
“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง
“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรัก
วิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่ง
มาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อของตัวเอง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่พ่อแต่เป็นผู้กุมอำนาจมืด ที่แม้แต่คนในซินดิเคทยังต้องก้มหัวให้
วิกเตอร์ลุกขึ้นช้า ๆ แต่ละก้าวของเขาเต็มไปด้วยพลังกดดัน ร่างสูงใหญ่ของเขาเหมือนเงาที่บดบังทุกสิ่งในห้อง เสียงรองเท้ากระทบพื้นทำให้มาร์คัสเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“แกกำลังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่น” วิกเตอร์พูดเสียงเรียบ แต่คำพูดนั้นราวกับกระแทกเข้าที่ใจของมาร์คัสอย่างแรง
“แต่พ่อ! ไอ้เด็กคนนั้นไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือคนเดียวที่ควรได้รับความเคารพ!” มาร์คัสพยายามเอ่ย แต่เสียงของเขาเริ่มแผ่วลงเหมือนรู้ชะตากรรม
วิกเตอร์เดินมาหยุดตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทที่แฝงด้วยพลังอำนาจเพ่งมองมาร์คัสราวกับกำลังประเมิน “คนที่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงต้องไม่ใช่คนที่กรีดร้องเหมือนหมาป่าหิวโหย แกยังอ่อนแอเกินไปที่จะเป็นผู้นำ”
มาร์คัสนิ่งค้าง เหมือนถูกตรึงด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและกดดันของวิกเตอร์ ใบหน้าของเขาซีดลง หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว แม้ภายนอกจะพยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่ข้างในเขากำลังถูกสายตาคู่นั้นกลืนกิน
เมื่อมาร์คัสถูกส่งตัวออกไปทำงานต่ำต้อยตามคำสั่งของวิกเตอร์ เพื่อลงโทษที่โวยวายและทำลายข้าวของ เขาไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเหมือนก่อนหน้า แต่ความเกลียดชังไอเดนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้เริ่มก่อตัวในใจชัดเจนยิ่งขึ้น
บทลงโทษที่หนักหนาและการถูกลดศักดิ์ศรีทำให้มาร์คัสเปลี่ยนไป เขารู้ว่าการโวยวายและขัดขืนมีแต่จะทำให้เขาได้รับโทษหนักกว่าเดิม และยิ่งทำให้ไอเดนได้รับการยกย่องมากขึ้นไปอีก การลงโทษครั้งนี้สอนมาร์คัสถึงบทเรียนสำคัญ ถ้าเขาต้องการเอาชนะ เขาต้องรู้จักเก็บงำความรู้สึกและวางแผนให้เหนือกว่า
“ฉันจะไม่โวยวายเหมือนเด็กอีกต่อไป” มาร์คัสบอกตัวเองในคืนหนึ่ง ขณะกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ “จะต้องรอเวลา และเมื่อโอกาสมาถึง ฉันจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือเด็ดขาด ไอเดน...แกจะต้องชดใช้”
แม้ภายนอกที่แสดงต่อหน้าผู้คนเหมือนจะเงียบสงบลง แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยไฟแห่งความแค้นที่ลุกโชน มาร์คัสเริ่มเรียนรู้ที่จะซ่อนความเกลียดชังไว้ภายใต้หน้ากากแห่งความสงบนิ่ง รอยยิ้มจาง ๆ และคำพูดที่ดูสำนึกผิดถูกใช้เพื่อปิดบังความรู้สึกอันแท้จริง
หนึ่งเดือนหลังจากบทลงโทษสิ้นสุด วิกเตอร์เรียกมาร์คัสเข้าไปในห้องทำงาน มาร์คัสก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไป พร้อมแสดงท่าทีที่ดูสงบและสำนึกผิด
“มาร์คัส” วิกเตอร์เริ่มพูดขณะนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน “ฉันสังเกตเห็นว่าแกเปลี่ยนไปมากตั้งแต่การลงโทษครั้งนั้น”
“ครับพ่อ ผมรู้แล้วว่าผมได้ทำผิดไป” มาร์คัสตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่เขาซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด
วิกเตอร์มองลูกชายอย่างพิจารณา แม้จะรู้ว่าความสำนึกผิดนั้นอาจไม่ได้มาจากใจจริง แต่เขาก็พอใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เห็น “ดีมาก แกต้องเรียนรู้ว่าในฐานะผู้นำ การอดทนและการวางแผนสำคัญแค่ไหน การโวยวายจะทำให้แกดูอ่อนแอ และความอ่อนแอจะไม่มีวันทำให้แกเป็นผู้นำได้”
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับพ่อ” มาร์คัสพยักหน้าอย่างนอบน้อม
วิกเตอร์ไม่ต้องการให้บุตรชายไร้ความสามารถ จึงตัดสินใจให้มาร์คัสเริ่มเรียนรู้เรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น การปกครอง การจัดการ และภาษา เพื่อให้เขาเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
“ฉันจะให้แกเริ่มช่วยงานในบ้าน และเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำ แต่จำไว้ว่าฉันยังจับตาดูแกอยู่” วิกเตอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการปะทะโดยตรง เขาสั่งให้มาร์คัสและไอเดนเรียนคนละเวลา มาร์คัสเรียนในช่วงเช้า ส่วนไอเดนเรียนในช่วงบ่าย วิธีนี้ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันบ่อย และช่วยลดความตึงเครียดในบ้านชั่วคราว
แม้มาร์คัสจะทำตามคำสั่งและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ แต่ภายในใจยังคงสะสมความแค้นที่มีต่อไอเดน ความเกลียดชังไม่ได้ลดลง แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น
“ฉันจะเรียนทุกสิ่งที่พ่อสอน แต่ไม่ใช่เพื่อพ่อ” มาร์คัสพึมพำกับตัวเองขณะนั่งอยู่ในห้องหนังสือ “ฉันจะเรียนรู้เพื่อทำลายทุกคนที่คิดจะขวางทาง โดยเฉพาะแก ไอเดน”
ในสายตาของวิกเตอร์ มาร์คัสดูเหมือนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ในความจริง เด็กหนุ่มกำลังเตรียมตัวสำหรับวันหนึ่ง วันที่เขาจะไม่ต้องอยู่ใต้เงาของใครอีกต่อไป
วันเวลาผ่านไปทั้งสองเติบโตขึ้น ในส่วนของมาร์คัสเองก็สะสมความแค้นที่มีต่อไอเดนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเห็นไอ้เด็กคนนั้นได้รับความรัก ความเอาใจใส่ และการยกย่องจากคนรอบตัว ทำให้เขาเหมือนถูกกัดกร่อนจากภายใน
ในวันหนึ่ง มาร์คัสเดินเข้ามาในลานฝึกขณะที่ไอเดนกำลังฝึกดาบคนเดียว แสงแดดที่แผดจ้าไม่อาจส่องทะลุความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัว
“แกมันแค่แมลงสกปรกที่พ่อฉันเก็บมาเลี้ยง” มาร์คัสกดเสียงต่ำซึ่งเต็มไปด้วยความดูถูก เขาเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของเขาเปี่ยมด้วยไฟแค้นที่คุกรุ่น “แกคิดว่าแกจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุขเหรอ? จำไว้เถอะ แกจะไม่มีวันแทนที่ฉันได้!”
ไอเดนสบตากับมาร์คัส ดวงตาของเขามีประกายความท้าทายเล็กน้อย “ฉันไม่ได้อยากแทนที่นาย ฉันแค่อยากทำในส่วนของตัวเองเท่านั้น”
“ส่วนของแก!?” มาร์คัสระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “มันไม่มีส่วนอะไรของแกที่นี่ แกมันแค่เศษขยะ ไอ้เด็กเหลือขอ แกคิดว่าแกมีค่าพอให้ฉันจำชื่อแกด้วยซ้ำหรือ?”
เขาผลักไอเดนไปชนกำแพง ก่อนจะกระซิบใกล้ ๆ หูด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง “แกมันเป็นแค่ฝันร้ายที่จะถูกกำจัดไม่วันใดก็วันหนึ่ง คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้แกอยากหายไปจากโลกนี้ด้วยมือฉันเอง”
มาร์คัสเริ่มใช้พวกพ้องและลูกน้องของตนเพื่อกลั่นแกล้งและทำร้ายไอเดน ในบางครั้งเขาก็สั่งให้ลูกน้องแอบวางกับดัก หรือขัดขวางการฝึกของไอเดน แม้แต่คำพูดของเขาก็เหมือนอาวุธที่แทงลึกไปถึงจิตใจ
“แกมันไม่มีอะไรเลย ไอเดน” มาร์คัสพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะขณะที่เห็นไอเดนล้มลงจากการโดนกับดักของเขา “อย่าได้คิดแม้แต่วินาทีเดียวว่าพ่อฉันจะเลือกแก เขาแค่สงสารแกเท่านั้นเอง”
แม้ไอเดนจะไม่ตอบโต้ แต่คำพูดของมาร์คัสกลับฝังลึกลงไปในจิตใจ ราวกับเงาที่คอยตามหลอกหลอนในทุกย่างก้าว
เย็นวันหนึ่ง หลังจากการเผชิญหน้าที่โหดร้ายเป็นพิเศษ ไอเดนเดินกลับไปที่ห้อง รอยฟกช้ำเริ่มปรากฏบนร่างกาย มาร์คัสดักเขาไว้ตรงทางเดินที่เงียบสงบ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความชั่วร้าย
ไอเดนพยายามผลักกลับ แต่มาร์คัสแข็งแรงกว่า เขาชกอย่างแรงไปที่ท้องของไอเดน ทำให้อีกฝ่ายตัวงอด้วยความเจ็บปวด
“แกจะไม่มีวันเป็นพวกเรา” มาร์คัสพูดเสียงเหี้ยม หวดเตะไอเดนขณะที่เขานอนอยู่บนพื้น “จำไว้!”
การโจมตีไม่เพียงแค่ทางร่างกาย แต่ยังใช้วิธีทางจิตวิทยาด้วย มาร์คัสมักจะแพร่ข่าวลือที่โหดร้ายเกี่ยวกับไอเดน ทำให้คนอื่นในซินดิเคทตีตัวออกหาก ไอเดนรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางที่แห่งนี้
วันหนึ่งขณะที่ไอเดนกำลังช่วยวิคเตอร์ในห้องทำงาน วิคเตอร์สังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่คอของไอเดนที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อ ดวงตาของเขาหรี่ลง แสดงความเป็นห่วงและสงสัยในเวลาเดียวกัน
“ไอเดน” วิคเตอร์พูดด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ “เกิดอะไรขึ้นกับคอของเธอ?”
หัวใจของไอเดนเต้นระรัว แต่เขารีบยิ้มและทำท่าทีปกติ “โอ้ ไม่มีอะไรครับท่าน ผมแค่...ล้มตอนฝึกซ้อม ท่านก็รู้ว่าผมซุ่มซ่ามแค่ไหน”
วิคเตอร์มองไอเดนโดยไม่วางตา ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อ มาร์คัสที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แสยะยิ้มอย่างพอใจ
“แน่ใจนะ ไอเดน?” วิคเตอร์ถามเสียงเข้ม “ฉันไม่ต้องการให้ใครที่นี่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะเธอ”
ไอเดนกลืนน้ำลาย รู้สึกถึงสายตาของมาร์คัสที่จ้องมองมา “ครับท่าน ผมสบายดี จริงๆ ครับ”
วิคเตอร์ถอนหายใจ พยักหน้าช้าๆ “ตกลง แต่ถ้ามีอะไรที่เธอต้องการบอกก็มาหาฉัน เข้าใจไหม?”
“ครับท่าน ขอบคุณครับ” ไอเดนพยักหน้า รู้สึกโล่งใจขึ้น
เมื่อวิคเตอร์หันหลังไป มาร์คัสเข้ามาใกล้ไอเดนแล้วกระซิบข้างหู “แสดงได้ดีนะ ไอเดน แต่จำไว้ว่าไม่มีใครเชื่อแกหรอก ไอ้หน้าเหม็นอย่างแกไม่มีค่าอะไรที่นี่”
ไอเดนกำหมัดแน่น ความโกรธและความหงุดหงิดระอุอยู่ในใจ แต่เขาอดกลั้นไว้ รู้ว่ามันจะทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิม
ในคืนนั้น เคียแรนพบไอเดนในห้องฝึก เขาเข้ามานั่งข้าง ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไอเดน นายต้องอดทน ชีวิตที่นี่มันยาก แต่นายต้องเข้มแข็ง นายต้องไม่ให้พวกเขาทำลายได้”
“ผมจะเข้มแข็ง พี่เคียแรน ผมสัญญา” ไอเดนมองเพื่อนที่อยู่เคียงข้าง น้ำตาเริ่มหยุดไหล ก่อนจะพยักหน้าตอบ
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด