ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม
“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง
“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรัก
วิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่ง
มาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อของตัวเอง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่พ่อแต่เป็นผู้กุมอำนาจมืด ที่แม้แต่คนในซินดิเคทยังต้องก้มหัวให้
วิกเตอร์ลุกขึ้นช้า ๆ แต่ละก้าวของเขาเต็มไปด้วยพลังกดดัน ร่างสูงใหญ่ของเขาเหมือนเงาที่บดบังทุกสิ่งในห้อง เสียงรองเท้ากระทบพื้นทำให้มาร์คัสเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“แกกำลังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่น” วิกเตอร์พูดเสียงเรียบ แต่คำพูดนั้นราวกับกระแทกเข้าที่ใจของมาร์คัสอย่างแรง
“แต่พ่อ! ไอ้เด็กคนนั้นไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือคนเดียวที่ควรได้รับความเคารพ!” มาร์คัสพยายามเอ่ย แต่เสียงของเขาเริ่มแผ่วลงเหมือนรู้ชะตากรรม
วิกเตอร์เดินมาหยุดตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทที่แฝงด้วยพลังอำนาจเพ่งมองมาร์คัสราวกับกำลังประเมิน “คนที่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงต้องไม่ใช่คนที่กรีดร้องเหมือนหมาป่าหิวโหย แกยังอ่อนแอเกินไปที่จะเป็นผู้นำ”
มาร์คัสนิ่งค้าง เหมือนถูกตรึงด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและกดดันของวิกเตอร์ ใบหน้าของเขาซีดลง หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว แม้ภายนอกจะพยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่ข้างในเขากำลังถูกสายตาคู่นั้นกลืนกิน
เมื่อมาร์คัสถูกส่งตัวออกไปทำงานต่ำต้อยตามคำสั่งของวิกเตอร์ เพื่อลงโทษที่โวยวายและทำลายข้าวของ เขาไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเหมือนก่อนหน้า แต่ความเกลียดชังไอเดนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้เริ่มก่อตัวในใจชัดเจนยิ่งขึ้น
บทลงโทษที่หนักหนาและการถูกลดศักดิ์ศรีทำให้มาร์คัสเปลี่ยนไป เขารู้ว่าการโวยวายและขัดขืนมีแต่จะทำให้เขาได้รับโทษหนักกว่าเดิม และยิ่งทำให้ไอเดนได้รับการยกย่องมากขึ้นไปอีก การลงโทษครั้งนี้สอนมาร์คัสถึงบทเรียนสำคัญ ถ้าเขาต้องการเอาชนะ เขาต้องรู้จักเก็บงำความรู้สึกและวางแผนให้เหนือกว่า
“ฉันจะไม่โวยวายเหมือนเด็กอีกต่อไป” มาร์คัสบอกตัวเองในคืนหนึ่ง ขณะกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ “จะต้องรอเวลา และเมื่อโอกาสมาถึง ฉันจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือเด็ดขาด ไอเดน...แกจะต้องชดใช้”
แม้ภายนอกที่แสดงต่อหน้าผู้คนเหมือนจะเงียบสงบลง แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยไฟแห่งความแค้นที่ลุกโชน มาร์คัสเริ่มเรียนรู้ที่จะซ่อนความเกลียดชังไว้ภายใต้หน้ากากแห่งความสงบนิ่ง รอยยิ้มจาง ๆ และคำพูดที่ดูสำนึกผิดถูกใช้เพื่อปิดบังความรู้สึกอันแท้จริง
หนึ่งเดือนหลังจากบทลงโทษสิ้นสุด วิกเตอร์เรียกมาร์คัสเข้าไปในห้องทำงาน มาร์คัสก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไป พร้อมแสดงท่าทีที่ดูสงบและสำนึกผิด
“มาร์คัส” วิกเตอร์เริ่มพูดขณะนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน “ฉันสังเกตเห็นว่าแกเปลี่ยนไปมากตั้งแต่การลงโทษครั้งนั้น”
“ครับพ่อ ผมรู้แล้วว่าผมได้ทำผิดไป” มาร์คัสตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่เขาซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด
วิกเตอร์มองลูกชายอย่างพิจารณา แม้จะรู้ว่าความสำนึกผิดนั้นอาจไม่ได้มาจากใจจริง แต่เขาก็พอใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เห็น “ดีมาก แกต้องเรียนรู้ว่าในฐานะผู้นำ การอดทนและการวางแผนสำคัญแค่ไหน การโวยวายจะทำให้แกดูอ่อนแอ และความอ่อนแอจะไม่มีวันทำให้แกเป็นผู้นำได้”
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับพ่อ” มาร์คัสพยักหน้าอย่างนอบน้อม
วิกเตอร์ไม่ต้องการให้บุตรชายไร้ความสามารถ จึงตัดสินใจให้มาร์คัสเริ่มเรียนรู้เรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น การปกครอง การจัดการ และภาษา เพื่อให้เขาเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
“ฉันจะให้แกเริ่มช่วยงานในบ้าน และเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำ แต่จำไว้ว่าฉันยังจับตาดูแกอยู่” วิกเตอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการปะทะโดยตรง เขาสั่งให้มาร์คัสและไอเดนเรียนคนละเวลา มาร์คัสเรียนในช่วงเช้า ส่วนไอเดนเรียนในช่วงบ่าย วิธีนี้ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันบ่อย และช่วยลดความตึงเครียดในบ้านชั่วคราว
แม้มาร์คัสจะทำตามคำสั่งและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ แต่ภายในใจยังคงสะสมความแค้นที่มีต่อไอเดน ความเกลียดชังไม่ได้ลดลง แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น
“ฉันจะเรียนทุกสิ่งที่พ่อสอน แต่ไม่ใช่เพื่อพ่อ” มาร์คัสพึมพำกับตัวเองขณะนั่งอยู่ในห้องหนังสือ “ฉันจะเรียนรู้เพื่อทำลายทุกคนที่คิดจะขวางทาง โดยเฉพาะแก ไอเดน”
ในสายตาของวิกเตอร์ มาร์คัสดูเหมือนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ในความจริง เด็กหนุ่มกำลังเตรียมตัวสำหรับวันหนึ่ง วันที่เขาจะไม่ต้องอยู่ใต้เงาของใครอีกต่อไป
วันเวลาผ่านไปทั้งสองเติบโตขึ้น ในส่วนของมาร์คัสเองก็สะสมความแค้นที่มีต่อไอเดนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเห็นไอ้เด็กคนนั้นได้รับความรัก ความเอาใจใส่ และการยกย่องจากคนรอบตัว ทำให้เขาเหมือนถูกกัดกร่อนจากภายใน
ในวันหนึ่ง มาร์คัสเดินเข้ามาในลานฝึกขณะที่ไอเดนกำลังฝึกดาบคนเดียว แสงแดดที่แผดจ้าไม่อาจส่องทะลุความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัว
“แกมันแค่แมลงสกปรกที่พ่อฉันเก็บมาเลี้ยง” มาร์คัสกดเสียงต่ำซึ่งเต็มไปด้วยความดูถูก เขาเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของเขาเปี่ยมด้วยไฟแค้นที่คุกรุ่น “แกคิดว่าแกจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุขเหรอ? จำไว้เถอะ แกจะไม่มีวันแทนที่ฉันได้!”
ไอเดนสบตากับมาร์คัส ดวงตาของเขามีประกายความท้าทายเล็กน้อย “ฉันไม่ได้อยากแทนที่นาย ฉันแค่อยากทำในส่วนของตัวเองเท่านั้น”
“ส่วนของแก!?” มาร์คัสระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “มันไม่มีส่วนอะไรของแกที่นี่ แกมันแค่เศษขยะ ไอ้เด็กเหลือขอ แกคิดว่าแกมีค่าพอให้ฉันจำชื่อแกด้วยซ้ำหรือ?”
เขาผลักไอเดนไปชนกำแพง ก่อนจะกระซิบใกล้ ๆ หูด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง “แกมันเป็นแค่ฝันร้ายที่จะถูกกำจัดไม่วันใดก็วันหนึ่ง คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้แกอยากหายไปจากโลกนี้ด้วยมือฉันเอง”
มาร์คัสเริ่มใช้พวกพ้องและลูกน้องของตนเพื่อกลั่นแกล้งและทำร้ายไอเดน ในบางครั้งเขาก็สั่งให้ลูกน้องแอบวางกับดัก หรือขัดขวางการฝึกของไอเดน แม้แต่คำพูดของเขาก็เหมือนอาวุธที่แทงลึกไปถึงจิตใจ
“แกมันไม่มีอะไรเลย ไอเดน” มาร์คัสพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะขณะที่เห็นไอเดนล้มลงจากการโดนกับดักของเขา “อย่าได้คิดแม้แต่วินาทีเดียวว่าพ่อฉันจะเลือกแก เขาแค่สงสารแกเท่านั้นเอง”
แม้ไอเดนจะไม่ตอบโต้ แต่คำพูดของมาร์คัสกลับฝังลึกลงไปในจิตใจ ราวกับเงาที่คอยตามหลอกหลอนในทุกย่างก้าว
เย็นวันหนึ่ง หลังจากการเผชิญหน้าที่โหดร้ายเป็นพิเศษ ไอเดนเดินกลับไปที่ห้อง รอยฟกช้ำเริ่มปรากฏบนร่างกาย มาร์คัสดักเขาไว้ตรงทางเดินที่เงียบสงบ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความชั่วร้าย
ไอเดนพยายามผลักกลับ แต่มาร์คัสแข็งแรงกว่า เขาชกอย่างแรงไปที่ท้องของไอเดน ทำให้อีกฝ่ายตัวงอด้วยความเจ็บปวด
“แกจะไม่มีวันเป็นพวกเรา” มาร์คัสพูดเสียงเหี้ยม หวดเตะไอเดนขณะที่เขานอนอยู่บนพื้น “จำไว้!”
การโจมตีไม่เพียงแค่ทางร่างกาย แต่ยังใช้วิธีทางจิตวิทยาด้วย มาร์คัสมักจะแพร่ข่าวลือที่โหดร้ายเกี่ยวกับไอเดน ทำให้คนอื่นในซินดิเคทตีตัวออกหาก ไอเดนรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางที่แห่งนี้
วันหนึ่งขณะที่ไอเดนกำลังช่วยวิคเตอร์ในห้องทำงาน วิคเตอร์สังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่คอของไอเดนที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อ ดวงตาของเขาหรี่ลง แสดงความเป็นห่วงและสงสัยในเวลาเดียวกัน
“ไอเดน” วิคเตอร์พูดด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ “เกิดอะไรขึ้นกับคอของเธอ?”
หัวใจของไอเดนเต้นระรัว แต่เขารีบยิ้มและทำท่าทีปกติ “โอ้ ไม่มีอะไรครับท่าน ผมแค่...ล้มตอนฝึกซ้อม ท่านก็รู้ว่าผมซุ่มซ่ามแค่ไหน”
วิคเตอร์มองไอเดนโดยไม่วางตา ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อ มาร์คัสที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แสยะยิ้มอย่างพอใจ
“แน่ใจนะ ไอเดน?” วิคเตอร์ถามเสียงเข้ม “ฉันไม่ต้องการให้ใครที่นี่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะเธอ”
ไอเดนกลืนน้ำลาย รู้สึกถึงสายตาของมาร์คัสที่จ้องมองมา “ครับท่าน ผมสบายดี จริงๆ ครับ”
วิคเตอร์ถอนหายใจ พยักหน้าช้าๆ “ตกลง แต่ถ้ามีอะไรที่เธอต้องการบอกก็มาหาฉัน เข้าใจไหม?”
“ครับท่าน ขอบคุณครับ” ไอเดนพยักหน้า รู้สึกโล่งใจขึ้น
เมื่อวิคเตอร์หันหลังไป มาร์คัสเข้ามาใกล้ไอเดนแล้วกระซิบข้างหู “แสดงได้ดีนะ ไอเดน แต่จำไว้ว่าไม่มีใครเชื่อแกหรอก ไอ้หน้าเหม็นอย่างแกไม่มีค่าอะไรที่นี่”
ไอเดนกำหมัดแน่น ความโกรธและความหงุดหงิดระอุอยู่ในใจ แต่เขาอดกลั้นไว้ รู้ว่ามันจะทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิม
ในคืนนั้น เคียแรนพบไอเดนในห้องฝึก เขาเข้ามานั่งข้าง ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไอเดน นายต้องอดทน ชีวิตที่นี่มันยาก แต่นายต้องเข้มแข็ง นายต้องไม่ให้พวกเขาทำลายได้”
“ผมจะเข้มแข็ง พี่เคียแรน ผมสัญญา” ไอเดนมองเพื่อนที่อยู่เคียงข้าง น้ำตาเริ่มหยุดไหล ก่อนจะพยักหน้าตอบ
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่