ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คน
วันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้
ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง
“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
เขาหยิบกระดานแผนที่ของพื้นที่ที่เป็นปัญหาขึ้นมา “ดูสิว่าแต่ละฝ่ายมีข้อได้เปรียบในส่วนไหน และจะส่งเสริมกันอย่างไรได้บ้าง หากเราร่วมมือกัน ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียม และเราสามารถหลีกเลี่ยงการเสียเวลาและทรัพยากรไปกับการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น”
จากนั้นเขาแจกแจงข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก พร้อมเสนอแผนงานที่เป็นกลางซึ่งจะตอบโจทย์ทุกฝ่าย น้ำเสียงที่ใช้เต็มไปด้วยเหตุผลและเยือกเย็น การมองการณ์ไกลของเขาทำให้ผู้คนรอบตัวรู้สึกถึงความน่าเชื่อถือ
หลังจากฟังการอธิบายของไอเดน ทั้งสองฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างช้า ๆ และยอมถอยจากความขัดแย้งเพื่อทดลองวิธีการที่ไอเดนเสนอ
แม้จะเป็นผู้นำที่อ่อนโยนในการประสานความขัดแย้ง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงโทษ ไอเดนกลับแสดงอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่ทั้งเด็ดขาดและไร้ความปรานี
ครั้งหนึ่ง ลูกน้องคนหนึ่งในทีมขนส่งทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง ส่งผลให้ซินดิเคทต้องเสียทรัพยากรมากมาย ไอเดนเรียกเขามายืนต่อหน้าในที่ประชุม ดวงตาที่มักฉายแววเมตตากลับเย็นเยือกราวน้ำแข็ง
“รู้ไหมว่าความผิดพลาดของนายไม่เพียงแต่ทำลายความไว้วางใจในทีมของเรา แต่ยังทำให้คนอื่นต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่นายเป็นคนก่อ?” ไอเดนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่าในที่แห่งนี้ ความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาทจะไม่ได้รับการให้อภัย”
จากนั้นเขาสั่งลงโทษด้วยวิธีที่เฉียบขาด เช่น การลดตำแหน่งและให้ทำงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบโดยตรง “นี่ไม่ใช่การลงโทษเพื่อทำร้ายนาย แต่เพื่อให้นายจำไว้ว่า การทำงานในที่แห่งนี้คือความไว้วางใจร่วมกัน หากนายทำลายมัน นายต้องชดใช้”
ผู้คนในที่ประชุมต่างนิ่งเงียบ แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทุกคนมองเห็นถึงความยุติธรรมและความเด็ดขาดที่ทำให้ไอเดนได้รับความนับถือมากขึ้น
ในวันหนึ่งที่เงียบสงบ วิกเตอร์เรียกประชุมใหญ่ในห้องโถงที่บรรยากาศมืดหม่นและกดดัน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินดังก้องไปทั่ว ขณะที่สมาชิกทุกคนทยอยเข้ามานั่งรอบโต๊ะประชุมตัวยาว
มาร์คัสเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจจนเกือบจะโอหัง เขาคิดว่างานขนส่งครั้งล่าสุดจะเป็นโอกาสพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพ่อ แต่บรรยากาศที่ตึงเครียดในห้องกลับทำให้ความมั่นใจของเขาสั่นคลอน ไอเดนเดินเข้ามาหลังจากนั้นด้วยท่าทางทีสงบ ท่ามกลางสายตานับถือจากผู้คนในห้อง
วิกเตอร์เริ่มการประชุมด้วยเสียงหนักแน่น ราวกับฟ้าผ่า “ฉันเพิ่งได้รับรายงานว่าของสำคัญจากการขนส่งครั้งล่าสุดได้หายไป ของรอบนี้มีมูลค่ามหาศาล และแก มาร์คัส เป็นคนรับผิดชอบการขนส่งนี้ ฉันต้องการคำอธิบาย!”
มาร์คัสพยายามกลั้นความตื่นตระหนกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ “ผม...ผมได้จัดการทุกอย่างตามแผนแล้ว แต่ว่า...บางทีอาจจะมีปัญหาในเส้นทาง...”
วิกเตอร์ไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ “เส้นทาง? แกหมายความว่ามีปัญหาในเส้นทางที่แกดูแลอย่างนั้นหรือ?” เขาโยนเอกสารบัญชีสินค้าลงบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้ทุกคนในห้องสะดุ้ง
“แล้วนี่มันอะไรกัน บัญชีสินค้าของแกมั่วเสียยิ่งกว่าสมุดโน้ตของเด็กเล่น!”
วิกเตอร์ลุกขึ้นยืน ท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นดุดัน “แกทำให้ชื่อเสียงของฉันเสียหาย! ฉันไว้ใจให้แกแสดงฝีมือ แต่นี่คือสิ่งที่แกแสดงออกมา? ชุ่ยและไร้ความรับผิดชอบ! แกเรียกตัวเองว่าผู้สืบทอดอย่างนั้นหรือ? แกไม่คู่ควรแม้แต่จะกวาดพื้นในสำนักงานนี้ด้วยซ้ำ!”
มาร์คัสหน้าซีด เขากำหมัดแน่นแต่ไม่กล้าพูดอะไร น้ำเสียงของพ่อไม่เพียงดุดัน แต่มันยังเต็มไปด้วยความเย็นชา ราวกับกรีดลึกลงไปในใจ
หลังจากตำหนิอย่างรุนแรง วิกเตอร์หันไปหาไอเดน ดวงตาของเขาที่เคยเต็มไปด้วยโทสะเริ่มอ่อนลง “แล้วเธอล่ะ ไอเดน ฉันมั่นใจว่าเธอคงมีคำอธิบายหรือคำแนะนำที่ดีกว่านี้”
ไอเดนลุกขึ้นอย่างสง่างาม เขาไม่ได้แสดงท่าทางอวดอ้าง แต่การยืนของเขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ “ผมไม่ได้ดูแลการขนส่งครั้งนี้โดยตรง แต่ผมได้ส่งคำแนะนำไปยังทีมงานให้มีการสุ่มตรวจในแต่ละจุด และสำรวจเส้นทางก่อนการเดินทางทุกครั้ง หากทุกคนทำตามขั้นตอนนี้ ปัญหานี้อาจไม่เกิด”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลแต่หนักแน่น ทุกคำพูดเปี่ยมไปด้วยเหตุผลและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ผู้คนในห้องต่างจับจ้องเขาด้วยสายตาชื่นชม
วิกเตอร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่คือสิ่งที่ฉันคาดหวังจากผู้นำที่แท้จริง ความรอบคอบ ความเข้าใจในปัญหา และการวางแผน ฉันจะให้เธอดูแลการขนส่งทั้งหมดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาจะไม่ซ้ำรอย”
คำพูดของวิกเตอร์เหมือนหอกที่ปักลงกลางใจของมาร์คัส ความอับอายที่ถูกตำหนิต่อหน้าทุกคน และการยกย่องไอเดนต่อหน้าต่อตา เขากำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง มาร์คัสเดินออกจากห้องด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยโทสะ เขาเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตูอย่างแรงจนเสียงดังสะท้อนไปทั่ว
มาร์คัสกวาดสิ่งของบนโต๊ะตกลงมาแตกกระจาย เศษแก้วและกระดาษปลิวว่อนไปทั่วห้อง “มันเป็นไปได้ยังไง! ไอเดน...เด็กกำพร้า มันทำอะไรถึงได้ทุกสิ่งที่ฉันควรได้รับ?”
เขาเตะเก้าอี้จนล้ม เสียงไม้กระแทกพื้นดังก้องในความเงียบ “ไม่ยอม! ไม่ว่าอย่างไร ฉันจะทำให้มันหายไปจากชีวิต! ต้องทำให้มันรู้ว่าฉันคือคนที่คู่ควร ไม่ใช่มัน!”
เขาเดินไปที่กระจก จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “คอยดูเถอะ ไอเดน ฉันจะล้มแกลงจากบัลลังก์เอง ฉันจะทำให้แกไม่เหลืออะไรสักอย่าง!”
จากสายตาของผู้ที่ครองอำนาจมานาน ทำให้เห็นว่ามาร์คัสกำลังจมอยู่ในความโกรธและความอิจฉา แต่วิคเตอร์เลือกที่จะไม่สนใจ
“มาร์คัสยังต้องเรียนรู้อีกมาก” วิกเตอร์กล่าวกับตัวเองในห้องทำงาน “แต่ฉันรู้ว่าความแค้นนี้อาจผลักดันให้เขาแข็งแกร่งขึ้น หรือไม่ก็ทำลายตัวเอง ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าตัว”
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด