ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก
“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”
โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดิน
เด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ
“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
“ผะ...ผมแค่...” ไอเดนอ้ำอึ้ง พยายามจะตอบแต่เหมือนคำพูดติดค้างอยู่ในลำคอ
เคียแรนหัวเราะเบา ๆ “นายเหมือนกระต่ายที่หลงทางในถ้ำหมาป่า นายไม่รู้หรือว่าการแอบแบบนั้นมันยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยกว่าเดิม!”
ไอเดนมองเคียแรนอย่างระแวง แต่ก็อดรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยไม่ได้ เขาไม่เคยคิดว่าที่แห่งนี้จะมีใครที่ดูร่าเริงแบบนี้ “ผมแค่...ผมกำลัง...”
“หนีอะไรบางอย่างใช่ไหม?” เคียแรนขัดขึ้น รอยยิ้มของเขายังคงอยู่ “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่บอกใครหรอก เอาละ ออกมาจากมุมนั้นก่อน นายเหมือนจะละลายกลายเป็นเงาไปแล้ว”
ไอเดนลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยอมก้าวออกมาจากมุม เขายืนตัวตรง แต่ยังไม่ยอมสบตา เคียแรนยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้า “ฉันชื่อเคียแรน แล้วนายเล่า? หรือว่าพวกเขายังไม่ได้บอกชื่อให้นายด้วยซ้ำ?”
“ผม...” ไอเดนเริ่มพูด แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคออีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าควรแนะนำตัวเองว่าอย่างไร
“เอาเถอะ ถ้านายยังไม่อยากบอกชื่อ งั้นฉันจะเรียกนายว่า ‘เจ้ากระต่าย’ ไปก่อนดีไหม?” เคียแรนแกล้งพูดล้อเล่น “นายเหมาะกับชื่อนี้จริง ๆ นะ ดูนายสิ ทั้งตัวสั่นเหมือนกลัวจะโดนจับกินเข้าไปทั้งตัว”
เสียงหัวเราะของเคียแรนดังขึ้น มันเป็นเสียงหัวเราะที่จริงใจและสดใส ทำให้ไอเดนหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ความอบอุ่นในเสียงหัวเราะนั้นเหมือนแสงไฟเล็ก ๆ ที่ช่วยปลอบประโลมใจไอเดนในความมืดมิด
หลังจากที่ไอเดนเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เคียแรนก็ดึงมือเขาเบา ๆ “มานี่สิ ฉันจะพานายไปที่ ๆ นายไม่ต้องกลัวใคร แถมยังเล่นสนุกได้อีกด้วย”
“ที่ไหน?” ไอเดนถามอย่างระแวง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามไป
เคียแรนพาไอเดนไปยังลานกว้างด้านหลังอาคารใหญ่ สถานที่ที่คนไม่ค่อยมา “ที่นี่เงียบสงบ และไม่มีพวกบ้ากล้ามาไล่นาย ฉันใช้ที่นี่ฝึกโยนหิน นายเคยลองไหม?”
“โยนหิน?” ไอเดนถามอย่างสงสัย
“ใช่! มันคือศิลปะอย่างหนึ่งนะ ถ้าทำถูกต้อง หินที่โยนจะลอยไปไกลเหมือนลูกธนูเลย นายอยากลองไหม?” เคียแรนยื่นก้อนหินให้ไอเดน
ไอเดนรับมาอย่างลังเล แต่เมื่อเขาโยนออกไป หินก็กระเด้งไปเพียงไม่กี่ที เคียแรนหัวเราะลั่น “นายยังต้องฝึกอีกเยอะ!”
ไอเดนหันมามองเขา รอยยิ้มจาง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผมก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“งั้นก็ฝึกไปกับฉัน!” เคียแรนพูดพร้อมกับโยนหินของตัวเองที่ลอยไปไกลจนเกือบชนกำแพง ไอเดนอ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะของเด็กทั้งสองดังขึ้นในมุมเล็ก ๆ ของซินดิเคท มันเป็นช่วงเวลาที่สดใสท่ามกลางความมืดมิด ไอเดนเริ่มรู้สึกว่าบางทีเขาอาจมีที่ยืนอยู่ในโลกที่แสนโหดร้ายนี้
นอกจากเคียแรน คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายไอเดนก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อพบว่าเด็กชายคนนี้แตกต่างจากมาร์คัสโดยสิ้นเชิง ไอเดนมักกล่าวคำขอบคุณทุกครั้งที่ได้รับความช่วยเหลือ ท่าทางสุภาพและอ่อนโยนของเขาสร้างความประทับใจในหมู่คนรับใช้
“ขอบคุณครับ” ไอเดนพูดพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ หลังจากที่ได้รับผ้าห่มสะอาดจากคนรับใช้
เสียงกระซิบในหมู่คนรับใช้เริ่มเปลี่ยนไป “คุณชายน้อยคนนี้ดูสุภาพและใจดี…ต่างจากมาร์คัสมาก”
พ่อบ้านที่เฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้อยู่เงียบ ๆ เริ่มพิจารณาเด็กชายคนนี้อย่างจริงจัง ดวงตาที่เฉียบคมของเขาสังเกตเห็นความอ่อนโยนและมารยาทที่แตกต่างจากคนอื่นในซินดิเคท
“เด็กคนนี้...” เขาคิดในใจ “ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เมื่อเห็นไอเดนหัวเราะและเล่นสนุกกับเคียแรน หรือเห็นเขากล่าวขอบคุณคนรับใช้ทุกครั้ง พ่อบ้านก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าไอเดนไม่ใช่เด็กธรรมดา เขามีบางอย่างที่ดึงดูดและเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างได้ แม้แต่ในสถานที่มืดหม่นเช่นนี้
เคียแรนมักใช้เวลาว่างสอนไอเดนเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องที่จริงจัง เช่น การป้องกันตัว ไปจนถึงเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้ชีวิตในซินดิเคทง่ายขึ้น ทั้งสองมักจะอ่านหนังสือด้วยกันในห้องสมุดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบของอาคาร
“ไอเดน นายเข้าใจตรงนี้ไหม?” เคียแรนถามขณะชี้ไปยังแผนที่ในหนังสือประวัติศาสตร์
“ผมเข้าใจ” ไอเดนพยักหน้า พร้อมกับจดบันทึกเล็ก ๆ ลงในสมุดที่เขาถืออยู่ “แต่พี่เคียแรน…พวกเขาอยู่รอดในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง?”
เคียแรนยิ้มและยีผมของไอเดนเบา ๆ “นายอยากรู้หรือว่าอยากถามคำถามเพื่อจะได้นอนหลับไปทั้งที่ยังถือหนังสืออยู่?”
“ผมเปล่า!” ไอเดนโต้กลับ แต่ไม่ทันไรก็เผลอหลับคาหนังสืออย่างที่เคียแรนเดาไว้จริง ๆ
เคียแรนยิ้มกว้าง ขยับหนังสือออกและจัดผ้าห่มให้ไอเดนก่อนจะเอนตัวหลับไปข้าง ๆ เสียงลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานกันในค่ำคืนที่เงียบสงบ
แม้ทั้งสองจะมีมุมจริงจังเวลาที่เรียนรู้ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มักสร้างความวุ่นวายให้พ่อบ้านปวดหัวเสมอ
“เคียแรน! ไอเดน! คุณสองคนทำอะไรกันอีกแล้ว!” เสียงพ่อบ้านดังลั่นไปทั่วโถง เมื่อเขาพบว่าเด็กหนุ่มทั้งสองกำลังแข่งกันวิ่งไล่จับในห้องรับรองที่เต็มไปด้วยของล้ำค่า
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่…” เคียแรนพยายามพูดแก้ตัว แต่เสียงแจกันที่ตกกระทบพื้นดังขึ้นขัดจังหวะ
“พวกคุณจะบอกว่าไม่มีอะไรหลังจากทำแจกันล้มเหรอ?” พ่อบ้านพูดพลางเท้าเอว มองทั้งสองด้วยสายตาดุ
“ผมขอโทษครับ พ่อบ้าน ผมไม่ตั้งใจ...” ไอเดนรีบพนมมือ
เคียแรนหันมามองพ่อบ้านพลางยิ้มเจื่อน “ผมจะช่วยทำความสะอาดเอง”
“ผมจะจำคำพูดของพวกคุณสองคนไว้ แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกทีหลังจากนี้” พ่อบ้านถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินออกไป
หลังจากพ่อบ้านจากไป เคียแรนหันมาหาไอเดนและพูดพลางหัวเราะ “เมื่อกี้นายทำหน้าตื่นเหมือนกระต่ายที่กำลังจะโดนจับกิน!”
“ผมก็แค่ไม่อยากให้พ่อบ้านโกรธ…” ไอเดนพูดพลางหัวเราะตาม
ยามที่โลกภายนอกเต็มไปด้วยความโหดร้าย ไอเดนมักรู้สึกว่าความรักจากเคียแรนทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น และเคียแรนเองก็ให้คำมั่นในใจเสมอว่าจะปกป้องไอเดนให้ดีที่สุด
“พี่ดีใจที่นายมาอยู่ที่นี่” เคียแรนพูดในคืนหนึ่งขณะที่ทั้งสองนั่งดูดาวผ่านหน้าต่าง
“แม้ที่นี่จะโหดร้าย?” ไอเดนถาม
“ใช่ แม้จะเป็นอย่างนั้น” เคียแรนตอบพร้อมกับวางมือบนไหล่ของไอเดน “แต่ตราบใดที่พี่อยู่ นายไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
คำพูดนั้นไม่จำเป็นต้องขยายความอีกต่อไป ไอเดนรู้ว่าเคียแรนหมายความตามที่พูดจริง ๆ
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด