แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจ
เขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”
ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”
มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ่อ”
วิกเตอร์เบิกตากว้าง พยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาไม่ตอบสนอง เขาทำได้เพียงสบตาลูกชายด้วยความตกใจและสิ้นหวัง “แก...แกเป็นลูกของฉัน!”
“ลูกของคุณเหรอ?” มาร์คัสหัวเราะเสียงดังลั่น ราวกับคำพูดนั้นเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลก “ลูกของคุณคงเป็นคนที่คุณมองด้วยความภาคภูมิใจใช่ไหม? ลูกของคุณคงเป็นไอเดน ไอ้เด็กกำพร้าหน้าไหว้หลังหลอกที่คุณอยากมอบทุกอย่างให้มากกว่า! ผมคือลูกที่คุณไม่เคยเหลียวแล ผมคือลูกที่คุณมองว่าไร้ค่า! และวันนี้...วันนี้คุณจะต้องจ่ายราคาของมัน!”
เสียงของมาร์คัสดังขึ้นและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ผมคือคนที่แพร่ข่าวลือเรื่องสวน ผมคือคนที่ล่ออัศวินออกจากที่ซ่อน ผมคือคนที่ส่งข่าวลวงให้ไอเดนวิ่งเข้าหากับดัก และผมจะส่งมันไปลงนรก!”
วิกเตอร์พยายามจะพูด แต่เสียงของเขาแผ่วเบาเกินไป มาร์คัสโน้มตัวไปใกล้ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความสะใจ “กลัวเหรอครับ? ไม่ต้องห่วง ผมจะส่งไอเดนไปหาคุณในนรก เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่า ผมคือผู้ชนะ!”
ทันใดนั้น พ่อบ้านผู้จงรักภักดีก็ผลักประตูเข้ามา เสียงของเขาดังก้องด้วยความโกรธ “คุณมาร์คัส! ท่านเป็นบ้าไปแล้ว ปีศาจในร่างมนุษย์! นี่คือสิ่งที่นายท่านต้องเจอเพราะความชั่วของท่าน!”
มาร์คัสหันไปหาพ่อบ้าน ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “แกกล้าดียังไงมาขัดขวางฉัน!”
พ่อบ้านจ้องกลับอย่างไม่ลดละ “รู้ไหมว่าทำไมทุกคนถึงยอมรับท่านไอเดน? เพราะเขามีหัวใจ มีความกล้าหาญและศักดิ์ศรี ซึ่งท่านไม่เคยมี! ท่านคือความล้มเหลวของนายท่าน... และท่านไม่มีวันเป็นอะไรไปได้นอกจากเงามืดของเขา!”
คำพูดนั้นเหมือนเติมน้ำมันลงบนกองเพลิงในหัวใจของมาร์คัส เขากำหมัดแน่น สั่งลูกน้องที่เฝ้าอยู่นอกประตูเสียงดัง “เอาตัวมันออกไป! กำจัดมันซะ! และถ้าใครกล้าขัดคำสั่งฉัน ก็กำจัดมันให้หมด!”
“แกคือปีศาจที่ไม่มีใครต้องการ และแกจะไม่มีวันได้ครองสิ่งที่นายท่านสร้างขึ้น!” พ่อบ้านถูกลากออกไป แต่น้ำเสียงของเขายังเย้ยหยัน
มาร์คัสหันกลับมาหาวิกเตอร์ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสะใจยิ่งขยายกว้าง “พ่อเห็นไหม? ไม่มีใครหยุดผมได้แล้ว ไม่ว่าจะพ่อหรือไอ้สวะไอเดน! และเมื่อพ่อตาย...ทุกอย่างจะเป็นของผม!”
เสียงหัวเราะของมาร์คัสดังก้องในห้อง ราวกับปีศาจที่กำลังฉลองชัยชนะ วิกเตอร์หลับตาลงด้วยความเสียใจ ความคิดสุดท้ายของเขาคือย้อนนึกไปถึงความผิดพลาดของตน ซึ่งตอนนี้ได้สร้างสัตว์ร้ายที่เขาไม่อาจควบคุมได้ขึ้นมา
เสียงหัวเราะของมาร์คัสยังคงดังก้องในความมืด ราวกับคำประกาศของปีศาจที่จะไม่หยุดยั้งจนกว่าโลกจะลุกเป็นไฟ
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ความมืดเข้าครอบงำเหมือนผ้าห่มสีดำที่คลุมเมืองอาราเลีย มาร์คัสยืนอยู่กลางห้องประชุมใหญ่ในซินดิเคท ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว รอยยิ้มของเขาโฉดชั่วเหมือนดาบสองคม พร้อมจะเฉือนทุกอย่างที่ขวางทาง
“ฉันต้องการรายชื่อทั้งหมด คนที่ภักดีต่อไอเดน หรือแม้แต่คนที่เคยพูดถึงมันในแง่ดี” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธแค้น ราวกับเพลิงไฟที่ไม่เคยดับ “อย่าให้ใครเหลือรอดไปได้”
คำสั่งนั้นเหมือนระฆังที่ส่งสัญญาณแห่งความหายนะ การกวาดล้างเริ่มต้นขึ้นทันที ลูกน้องของมาร์คัสกระจายตัวไปทั่ว กำจัดคนที่มีความเกี่ยวข้องกับไอเดนเหมือนกับการกวาดใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีน้ำตาลหม่นปลิดปลิวและร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เช่นเดียวกับผู้คนที่ล้มลงทีละคน ท่ามกลางความโหดเหี้ยมที่กระจายไปทั่วซินดิเคท
เสียงกรีดร้องจากมุมหนึ่งของฐานดังขึ้นก่อนจะเงียบลงทันที เช่นเดียวกับแสงเทียนที่ดับไปในพริบตา แม้จะมีรายงานภารกิจสำเร็จถูกส่งมา ทว่ามาร์คัสกลับไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
“เราได้ตัวคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วครับ นายท่าน” น้ำเสียงของลูกน้องนั้นเต็มไปด้วยความประจบประแจง
“ดี” มาร์คัสตอบสั้น ๆ ก่อนเหยียดยิ้มบาง “แต่จำไว้…หากมีใครคิดจะซ่อนมันไว้ ฉันจะกำจัดพวกมันไปพร้อมกัน”
เคียแรน หนึ่งในคนสนิทที่ภักดีต่อไอเดนที่สุด เป้าหมายสำคัญในรายการของมาร์คัส เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก้องดังขึ้นจากทางเดินนอกห้อง เสียงตะโกนออกคำสั่งของทหารดังเข้ามา
“จับตัวมันไว้! อย่าให้หนีไปได้!”
เคียแรนรีบคว้าดาบและกระเป๋าเล็ก ๆ ที่ใส่เอกสารสำคัญ เสียงกระแทกประตูดังสนั่นจนแทบทะลุ ลมหายใจของเขาหนักหน่วงและตื่นตระหนก ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งโผล่มาจากทางลับด้านหลังห้อง เขาเป็นชายที่เคียแรนเคยช่วยชีวิตไว้จากการถูกลูกน้องของมาร์คัสข่มเหง
“รีบหนีไปทางนี้!” ชายคนนั้นกระซิบเสียงเบาด้วยความร้อนรน “พวกมันจะฆ่านาย!”
“แต่ไอเดน—” เคียแรนพยายามแย้ง ความเป็นห่วงปรากฏชัดในดวงตา
“ไม่มีเวลาแล้ว! ไอเดนเป็นความหวังเดียวของเรา นายต้องรอดเพื่อเตือนเขา รีบไปเถอะ!” ชายคนนั้นไม่รอคำตอบ ดันเคียแรนเข้าไปในทางลับที่ซ่อนอยู่หลังกำแพง
เสียงประตูดังสนั่น ทหารบุกเข้ามาในห้อง แต่ไม่พบใครนอกจากชายที่ยังยืนอยู่ในห้อง
“เจ้า ทรยศ!” หัวหน้าทหารตวาด ก่อนลงดาบใส่ชายผู้เสียสละ
ทหารของมาร์คัสกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับโทสะของมาร์คัสที่ปล่อยให้เคียแรนหนีไปได้ หัวหน้าทหารตัดสินใจกุเรื่อง
“พวกเรากำจัดมันเรียบร้อยแล้วครับ” เขารายงานเมื่อกลับไปหามาร์คัส
“เจ้าแน่ใจ?” มาร์คัสกดเสียงต่ำ พร้อมจ้องด้วยสายตาที่เยือกเย็นจนคนรายงานตัวสั่น
“ครับนายท่าน เราทำลายฐานที่ตั้งของมันทั้งหมด ไม่มีใครเหลือรอด” ทหารตอบพร้อมก้มหน้าหลีกเลี่ยงสายตาที่น่ากลัวของมาร์คัส
“ดี…” มาร์คัสตอบเรียบ ๆ ก่อนยกยิ้มชั่วร้าย “เผามันให้สิ้นซาก อย่าให้เหลืออะไรที่บ่งบอกว่ามันเคยมีตัวตน”
ไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ควันดำพวยพุ่งราวกับกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า เถ้าถ่านปลิวไหวในสายลมเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นลงพื้นในฤดูใบไม้ร่วง ซินดิเคทเข้าสู่การกวาดล้างที่ไม่มีวันหวนกลับ เคียแรนที่หลบหนีออกมาได้ มองกลับไปยังเปลวเพลิงนั้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความมุ่งมั่น
“ไอเดน…นายยังเหลือฉัน ฉันต้องหาทางบอกนายให้ได้…” เคียแรนพูดกับตัวเอง ก่อนออกวิ่งไปในเงามืด ความหวังเดียวของเขาคือการพบไอเดนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ภายในห้องประชุมที่เปื้อนเลือด มาร์คัสเดินไปมาอย่างเยือกเย็น เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องไปทั่วห้อง ความเงียบสงัดเหมือนป่าช้า เขาหันมามองลูกน้องที่กำลังรายงานถึงผลลัพธ์ของการกวาดล้าง
“นายท่าน คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกกำจัดแล้ว” เสียงรายงานดังขึ้นพร้อมการประจบ
มาร์คัสยืนมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้า สายลมยามค่ำคืนพัดพาเถ้าถ่านลอยขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความสะใจ
“พวกมันก็แค่ใบไม้แห้งที่หมดประโยชน์แล้ว” เขากล่าวกับตัวเอง
“และฉันคือสายลมที่กวาดล้างทุกสิ่งเพื่อเปิดทางให้กับความยิ่งใหญ่”
มาร์คัสยืนนิ่งสักครู่ “เหลือแค่ไอเดน…พวกเราจะกำจัดมันให้สิ้นซาก”
สายตาของเขาเปรียบเสมือนเงื้อมมือมรณะที่พร้อมจะคว้าทุกสิ่งตามปรารถนา “คืนนี้คือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ฉันจะเขียนมันด้วยมือของตัวเอง และไม่มีใครหยุดฉันได้!”
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่