แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจ
เขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”
ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”
มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ่อ”
วิกเตอร์เบิกตากว้าง พยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาไม่ตอบสนอง เขาทำได้เพียงสบตาลูกชายด้วยความตกใจและสิ้นหวัง “แก...แกเป็นลูกของฉัน!”
“ลูกของคุณเหรอ?” มาร์คัสหัวเราะเสียงดังลั่น ราวกับคำพูดนั้นเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลก “ลูกของคุณคงเป็นคนที่คุณมองด้วยความภาคภูมิใจใช่ไหม? ลูกของคุณคงเป็นไอเดน ไอ้เด็กกำพร้าหน้าไหว้หลังหลอกที่คุณอยากมอบทุกอย่างให้มากกว่า! ผมคือลูกที่คุณไม่เคยเหลียวแล ผมคือลูกที่คุณมองว่าไร้ค่า! และวันนี้...วันนี้คุณจะต้องจ่ายราคาของมัน!”
เสียงของมาร์คัสดังขึ้นและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ผมคือคนที่แพร่ข่าวลือเรื่องสวน ผมคือคนที่ล่ออัศวินออกจากที่ซ่อน ผมคือคนที่ส่งข่าวลวงให้ไอเดนวิ่งเข้าหากับดัก และผมจะส่งมันไปลงนรก!”
วิกเตอร์พยายามจะพูด แต่เสียงของเขาแผ่วเบาเกินไป มาร์คัสโน้มตัวไปใกล้ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความสะใจ “กลัวเหรอครับ? ไม่ต้องห่วง ผมจะส่งไอเดนไปหาคุณในนรก เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่า ผมคือผู้ชนะ!”
ทันใดนั้น พ่อบ้านผู้จงรักภักดีก็ผลักประตูเข้ามา เสียงของเขาดังก้องด้วยความโกรธ “คุณมาร์คัส! ท่านเป็นบ้าไปแล้ว ปีศาจในร่างมนุษย์! นี่คือสิ่งที่นายท่านต้องเจอเพราะความชั่วของท่าน!”
มาร์คัสหันไปหาพ่อบ้าน ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “แกกล้าดียังไงมาขัดขวางฉัน!”
พ่อบ้านจ้องกลับอย่างไม่ลดละ “รู้ไหมว่าทำไมทุกคนถึงยอมรับท่านไอเดน? เพราะเขามีหัวใจ มีความกล้าหาญและศักดิ์ศรี ซึ่งท่านไม่เคยมี! ท่านคือความล้มเหลวของนายท่าน... และท่านไม่มีวันเป็นอะไรไปได้นอกจากเงามืดของเขา!”
คำพูดนั้นเหมือนเติมน้ำมันลงบนกองเพลิงในหัวใจของมาร์คัส เขากำหมัดแน่น สั่งลูกน้องที่เฝ้าอยู่นอกประตูเสียงดัง “เอาตัวมันออกไป! กำจัดมันซะ! และถ้าใครกล้าขัดคำสั่งฉัน ก็กำจัดมันให้หมด!”
“แกคือปีศาจที่ไม่มีใครต้องการ และแกจะไม่มีวันได้ครองสิ่งที่นายท่านสร้างขึ้น!” พ่อบ้านถูกลากออกไป แต่น้ำเสียงของเขายังเย้ยหยัน
มาร์คัสหันกลับมาหาวิกเตอร์ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสะใจยิ่งขยายกว้าง “พ่อเห็นไหม? ไม่มีใครหยุดผมได้แล้ว ไม่ว่าจะพ่อหรือไอ้สวะไอเดน! และเมื่อพ่อตาย...ทุกอย่างจะเป็นของผม!”
เสียงหัวเราะของมาร์คัสดังก้องในห้อง ราวกับปีศาจที่กำลังฉลองชัยชนะ วิกเตอร์หลับตาลงด้วยความเสียใจ ความคิดสุดท้ายของเขาคือย้อนนึกไปถึงความผิดพลาดของตน ซึ่งตอนนี้ได้สร้างสัตว์ร้ายที่เขาไม่อาจควบคุมได้ขึ้นมา
เสียงหัวเราะของมาร์คัสยังคงดังก้องในความมืด ราวกับคำประกาศของปีศาจที่จะไม่หยุดยั้งจนกว่าโลกจะลุกเป็นไฟ
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ความมืดเข้าครอบงำเหมือนผ้าห่มสีดำที่คลุมเมืองอาราเลีย มาร์คัสยืนอยู่กลางห้องประชุมใหญ่ในซินดิเคท ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว รอยยิ้มของเขาโฉดชั่วเหมือนดาบสองคม พร้อมจะเฉือนทุกอย่างที่ขวางทาง
“ฉันต้องการรายชื่อทั้งหมด คนที่ภักดีต่อไอเดน หรือแม้แต่คนที่เคยพูดถึงมันในแง่ดี” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธแค้น ราวกับเพลิงไฟที่ไม่เคยดับ “อย่าให้ใครเหลือรอดไปได้”
คำสั่งนั้นเหมือนระฆังที่ส่งสัญญาณแห่งความหายนะ การกวาดล้างเริ่มต้นขึ้นทันที ลูกน้องของมาร์คัสกระจายตัวไปทั่ว กำจัดคนที่มีความเกี่ยวข้องกับไอเดนเหมือนกับการกวาดใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีน้ำตาลหม่นปลิดปลิวและร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เช่นเดียวกับผู้คนที่ล้มลงทีละคน ท่ามกลางความโหดเหี้ยมที่กระจายไปทั่วซินดิเคท
เสียงกรีดร้องจากมุมหนึ่งของฐานดังขึ้นก่อนจะเงียบลงทันที เช่นเดียวกับแสงเทียนที่ดับไปในพริบตา แม้จะมีรายงานภารกิจสำเร็จถูกส่งมา ทว่ามาร์คัสกลับไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
“เราได้ตัวคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วครับ นายท่าน” น้ำเสียงของลูกน้องนั้นเต็มไปด้วยความประจบประแจง
“ดี” มาร์คัสตอบสั้น ๆ ก่อนเหยียดยิ้มบาง “แต่จำไว้…หากมีใครคิดจะซ่อนมันไว้ ฉันจะกำจัดพวกมันไปพร้อมกัน”
เคียแรน หนึ่งในคนสนิทที่ภักดีต่อไอเดนที่สุด เป้าหมายสำคัญในรายการของมาร์คัส เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก้องดังขึ้นจากทางเดินนอกห้อง เสียงตะโกนออกคำสั่งของทหารดังเข้ามา
“จับตัวมันไว้! อย่าให้หนีไปได้!”
เคียแรนรีบคว้าดาบและกระเป๋าเล็ก ๆ ที่ใส่เอกสารสำคัญ เสียงกระแทกประตูดังสนั่นจนแทบทะลุ ลมหายใจของเขาหนักหน่วงและตื่นตระหนก ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งโผล่มาจากทางลับด้านหลังห้อง เขาเป็นชายที่เคียแรนเคยช่วยชีวิตไว้จากการถูกลูกน้องของมาร์คัสข่มเหง
“รีบหนีไปทางนี้!” ชายคนนั้นกระซิบเสียงเบาด้วยความร้อนรน “พวกมันจะฆ่านาย!”
“แต่ไอเดน—” เคียแรนพยายามแย้ง ความเป็นห่วงปรากฏชัดในดวงตา
“ไม่มีเวลาแล้ว! ไอเดนเป็นความหวังเดียวของเรา นายต้องรอดเพื่อเตือนเขา รีบไปเถอะ!” ชายคนนั้นไม่รอคำตอบ ดันเคียแรนเข้าไปในทางลับที่ซ่อนอยู่หลังกำแพง
เสียงประตูดังสนั่น ทหารบุกเข้ามาในห้อง แต่ไม่พบใครนอกจากชายที่ยังยืนอยู่ในห้อง
“เจ้า ทรยศ!” หัวหน้าทหารตวาด ก่อนลงดาบใส่ชายผู้เสียสละ
ทหารของมาร์คัสกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับโทสะของมาร์คัสที่ปล่อยให้เคียแรนหนีไปได้ หัวหน้าทหารตัดสินใจกุเรื่อง
“พวกเรากำจัดมันเรียบร้อยแล้วครับ” เขารายงานเมื่อกลับไปหามาร์คัส
“เจ้าแน่ใจ?” มาร์คัสกดเสียงต่ำ พร้อมจ้องด้วยสายตาที่เยือกเย็นจนคนรายงานตัวสั่น
“ครับนายท่าน เราทำลายฐานที่ตั้งของมันทั้งหมด ไม่มีใครเหลือรอด” ทหารตอบพร้อมก้มหน้าหลีกเลี่ยงสายตาที่น่ากลัวของมาร์คัส
“ดี…” มาร์คัสตอบเรียบ ๆ ก่อนยกยิ้มชั่วร้าย “เผามันให้สิ้นซาก อย่าให้เหลืออะไรที่บ่งบอกว่ามันเคยมีตัวตน”
ไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ควันดำพวยพุ่งราวกับกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า เถ้าถ่านปลิวไหวในสายลมเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นลงพื้นในฤดูใบไม้ร่วง ซินดิเคทเข้าสู่การกวาดล้างที่ไม่มีวันหวนกลับ เคียแรนที่หลบหนีออกมาได้ มองกลับไปยังเปลวเพลิงนั้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความมุ่งมั่น
“ไอเดน…นายยังเหลือฉัน ฉันต้องหาทางบอกนายให้ได้…” เคียแรนพูดกับตัวเอง ก่อนออกวิ่งไปในเงามืด ความหวังเดียวของเขาคือการพบไอเดนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ภายในห้องประชุมที่เปื้อนเลือด มาร์คัสเดินไปมาอย่างเยือกเย็น เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องไปทั่วห้อง ความเงียบสงัดเหมือนป่าช้า เขาหันมามองลูกน้องที่กำลังรายงานถึงผลลัพธ์ของการกวาดล้าง
“นายท่าน คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกกำจัดแล้ว” เสียงรายงานดังขึ้นพร้อมการประจบ
มาร์คัสยืนมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้า สายลมยามค่ำคืนพัดพาเถ้าถ่านลอยขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความสะใจ
“พวกมันก็แค่ใบไม้แห้งที่หมดประโยชน์แล้ว” เขากล่าวกับตัวเอง
“และฉันคือสายลมที่กวาดล้างทุกสิ่งเพื่อเปิดทางให้กับความยิ่งใหญ่”
มาร์คัสยืนนิ่งสักครู่ “เหลือแค่ไอเดน…พวกเราจะกำจัดมันให้สิ้นซาก”
สายตาของเขาเปรียบเสมือนเงื้อมมือมรณะที่พร้อมจะคว้าทุกสิ่งตามปรารถนา “คืนนี้คือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ฉันจะเขียนมันด้วยมือของตัวเอง และไม่มีใครหยุดฉันได้!”
ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่
แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ
มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง
ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว