รินมองไปที่พี่ชายด้วยความกังวลใจ “แล้วตอนนี้พี่พักอยู่ที่ไหน?” รินถามขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใย
“ก็...เพื่อนในเมืองให้พักอยู่ที่ห้องเล็ก ๆ หลังร้านค้า แต่ไม่สะดวกเท่าไร” เคียแรนตอบ พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “พี่พยายามหลีกเลี่ยงการไปในที่ที่คนพลุกพล่าน กลัวว่าจะมีใครจำพี่ได้ ซินดิเคทมีอำนาจอยู่มาก”
“ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่ล่ะ? ที่สวนปลอดภัยกว่า และไม่มีใครเข้ามาได้ง่าย ๆ โดยไม่ผ่านพวกเรา” รินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยชวน
คำพูดของรินทำให้เคลชะงัก เขาหันมามองรินทันที แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เอร่าก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียนที่เป็นเอกลักษณ์
“ใช่เลย! นายคือเจ้าของสวนที่ถูกต้องนี่นา ริน นายจะให้ใครอยู่หรือไป มันก็ขึ้นอยู่กับนายหมดเลย” เอร่าพูดพลางยักคิ้วให้เคียแรน “แต่...ตอนนี้ห้องพักเต็มหมดแล้วนี่? จะให้นอนกับฉัน...ก็กลัวเคียแรนจะหนาว”
“หนาว?” เคลหันไปมองเอร่า คิ้วกระตุก “ทำไมต้องหนาว?”
“ก็ห้องมันติดริมบ่อปลา อากาศชื้นตลอดคืน” เอร่าทำหน้าตาใสซื่อ “หรือให้นอนกับนายแทนล่ะ เคล?”
คำพูดนั้นทำให้เคลนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะตอบ เอร่าก็เสริมต่อด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือให้นอนกับรินเลยก็ได้นะ พี่ชายน้องชายอยู่ด้วยกัน มันเหมาะสมออก”
เคลแทบอยากจะลุกขึ้นคว้าคอเอร่าแล้วโยนออกนอกสวน เขารีบตอบออกมาเสียงดัง “ไม่ต้อง! ให้รินย้ายมานอนกับผมดีกว่า แล้วให้เคียแรนใช้ห้องของรินแทน”
“ย้ายมานอนกับคุณ?” รินเบิกตากว้าง หันไปมองเคลด้วยความงุนงง
“ก็เพื่อความสะดวก” เคลตอบเสียงอ้อมแอ้ม ใบหน้าขึ้นสีชัดเจน “ห้องผมกว้างกว่าห้องคุณ...น่าจะพอสำหรับสองคน”
“โอ้โห ดูสิ เคลของเรานี่เสียการควบคุมไปแล้ว! ใจเย็นนะเคล ฉันล้อเล่น!” เอร่าระเบิดหัวเราะทันที
“เมี้ยว~” ขณะที่เอร่ายังหัวเราะต่อเนื่อง จินเจอร์ก็ร้อง คล้ายสนับสนุนเอร่า
ส่วนเคียแรนที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดยิ้มขบขัน “ดูเหมือนพี่จะเป็นตัวสร้างความปั่นป่วนอีกแล้วนะ”
เคียแรนเหลือบมองรินก่อนจะพูดแซวเบา ๆ “แต่นอนกับรินก็ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้กอดนายตอนหลับมานานแล้วนะ คิดถึงสมัยเด็ก ๆ นายชอบละเมอมากอดพี่ตลอด จำได้ไหม? เวลาฝนตกฟ้าร้อง นายวิ่งมากอดพี่ทุกครั้ง พี่ต้องทั้งกอดทั้งปลอบกว่าจะยอมนอน”
“พี่ไม่ต้องเล่าเรื่องแบบนั้นให้ใครฟังเลยนะ!” รินหน้าแดงจัด รีบหันไปโต้กลับทันที
“อ้าว ก็จริงนี่นา” เคียแรนตอบพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ตอนนี้เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีเรื่องให้คุยกันเยอะเลย”
“โอ้โห รินนี่น่ารักตั้งแต่เด็กเลยนะ แบบนี้เองเคลถึงหวงหนักมาก!” เอร่าที่นั่งฟังอยู่หัวเราะจนต้องกุมท้อง
“เอร่า! พอได้แล้ว นายไม่ต้องเติมเชื้อไฟแล้ว” เคลที่นั่งฟังทั้งสองคนโต้ตอบกันเริ่มสีหน้าเครียดขึ้นเรื่อย ๆ
เอร่าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ก็แค่พูดความจริงเองนะ แต่เคลเอ๋ย...ดูเหมือนคู่แข่งของนายจะเพิ่มขึ้นแล้วนะ!” เอร่าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร งั้นก็ให้พี่เคียแรนมาอยู่ด้วยเถอะ ผมอยากให้พี่ปลอดภัยจริง ๆ” รินหัวเราะเบา ๆ มองเคลด้วยความเอ็นดู
“ผมไม่ว่าอะไร...ถ้าคุณสบายใจ ผมก็โอเค” เคลตอบในที่สุด แม้ในใจจะรู้สึกหวงเล็ก ๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการ
“งั้นตกลงตามนี้! ย้ายของกันเลยดีไหม? หรือเคียแรนอยากพักก่อน” เอร่าตบมือและจัดแจงเสร็จสรรพ
“ผมคิดว่า...ขอพักก่อนดีกว่า” เคียแรนหัวเราะ ก่อนหันไปมองรินด้วยสายตาอ่อนโยน “ขอบคุณมากนะ นายช่วยพี่ไว้อีกแล้ว”
“เราเป็นครอบครัวนี่ครับ พี่มาอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกังวลอะไรอีก” รินยิ้มตอบ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ “ว่าแต่พี่มีเสื้อผ้ามาด้วยหรือเปล่า?”
“ก็มีแค่เสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชุดเอง พี่ไม่ได้เตรียมอะไรมาก” เคียแรนส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มบา
“โห น่าสงสารจริง ๆ งั้นแบบนี้ต้องไปขุดหาเสื้อผ้าของอัศวินคนอื่นที่ขนาดใกล้เคียงกันก่อน ใส่ชั่วคราวได้นะ จะได้ไม่ต้องลำบากไปหาในตอนนี้” เอร่าที่นั่งฟังอยู่รีบแทรกขึ้นมา
“ดีเหมือนกัน” รินพยักหน้าเห็นด้วย “พี่คงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวผมช่วยเตรียมอาหารให้พี่เอง เอาไว้เติมพลัง”
“รินจะทำอาหาร?” เคลหรี่ตามองริน “ไม่ใช่ว่าครั้งล่าสุดที่เข้าครัว มีควันโขมงทั้งห้องหรอกเหรอ?”
“เคล!” รินหันไปตีแขนคนรักเบา ๆ พร้อมทำหน้ามุ่ย “ผมแค่...อาจจะไม่เก่งเรื่องทำอาหาร แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจนะ”
เอร่ายกมือขึ้นสูงเหมือนเด็กในห้องเรียน “งั้นให้ผมดูแลเรื่องหาเสื้อผ้าให้เคียแรนเอง แล้วรินกับเคลไปทำอาหารกันดีไหม? เอาแบบชุดใหญ่เลยนะ จะได้ดูว่าเคลจะใจกล้าชิมฝีมือรินจริงหรือเปล่า”
“เอร่า!” เคลหันไปจ้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่เอร่ากลับยิ้มทะเล้นพร้อมยักไหล่ “ก็แค่ล้อเล่นน่ะ แต่เอาเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องเสื้อผ้าเอง เคียแรน นี่เป็นโอกาสดีที่จะพานายไปรู้จักห้องเก็บของลับในสวน!”
“ห้องเก็บของลับ?” เคียแรนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่! ลับสำหรับทุกคน ยกเว้นผม” เอร่าตอบอย่างภูมิใจ
“ดูเหมือนที่นี่จะสนุกกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ” เคียแรนหัวเราะเบา ๆ ขณะเดินตามเอร่าไป
รินมองพี่ชายและเอร่าที่เดินลับตาไป ก่อนจะหันไปมองเคล “แล้วตกลง...คุณจะช่วยผมทำอาหารหรือเปล่า?”
เคลถอนหายใจยาว แต่ในดวงตายังคงมีความอ่อนโยน “แน่นอนสิ ผมไม่ปล่อยให้คนแถวนี้ทำครัวคนเดียวหรอก”
ในขณะที่ทุกคนเตรียมตัวแยกย้าย เคลก็อดไม่ได้ที่จะมองเอร่าด้วยสายตาคมกริบ “ครั้งหน้าเลิกพูดอะไรแบบนั้นได้ไหม?”
“อ้าว แค่ช่วยนายเปิดโอกาสให้อยู่ใกล้รินมากขึ้นเองนะ จะขอบคุณกันหน่อยก็ไม่ว่าอะไรนะ” เอร่ายักไหล่
“เมี้ยว~” เคลถอนหายใจยาว จินเจอร์กระโดดขึ้นไปเกาะไหล่เอร่า เหมือนจะบอกว่า “ระวังจะไม่มีที่นอนเองนะ!”
“ดี งั้นเราไปกันเถอะ” รินยิ้มอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเดินนำเคลไปยังครัวเล็ก ๆ ในสวน ทิ้งให้เอร่าและเคียแรนจัดการกับภารกิจเสื้อผ้าชั่วคราวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความวุ่นวาย
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่