เสียงเอะอะจากทางเข้าสวนดังแว่วมา รินที่กำลังจัดเรียงดอกไม้อยู่สะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมองด้วยความสงสัย ใจเต้นแรงด้วยความกังวล
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังที่มาของเสียง
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้รินขมวดคิ้ว เคลยืนอยู่ในท่าทางตึงเครียด จับจ้องไปที่ชายแปลกหน้าซึ่งถูกเอร่าจับแขนไว้แน่น ส่วนจินเจอร์ที่พุงกลม ๆ ของมันห้อยจนเกือบถึงพื้น กำลังยืนโยกตัวอยู่บนพื้นราวกับกำลังฉลองชัยชนะ
“เกิดอะไรขึ้น?” รินถามเสียงดัง ขณะที่กวาดตามองไปที่ทุกคน
“โอ้ ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก แค่เจอคนแปลกหน้าที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถวนี้ ฉันเลยช่วยจัดการสักหน่อย” เอร่าหันมาพร้อมรอยยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์
“ช่วยจัดการ?” รินถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ เขามองชายแปลกหน้าที่ถูกจับอยู่ “แล้วจินเจอร์…ทำอะไร?”
“อ้อ เจ้าจินเจอร์นี่สิ กระโดดแตะหน้าเขาเหมือนฮีโรเลยละ!” เอร่าพูดพลางหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันไปลูบหัวจินเจอร์ “ใช่ไหม คนเก่ง?”
จินเจอร์ร้องเหมียวอย่างภาคภูมิใจ พร้อมถูไถตัวกับขาของเอร่า ขณะที่รินส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ เขาขยับเข้าไปใกล้ชายแปลกหน้าคนนั้น รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง
“เดี๋ยว…” รินพูดเสียงเบาและเดินเข้าไปใกล้ เมื่อมองชัดขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “พี่เคียแรน!”
เขาร้องลั่นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและตื้นตัน เสียงของรินดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น รินวิ่งเข้าไปกอดชายแปลกหน้าคนนั้นแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา
“พี่จริง ๆ ใช่ไหม?” เขาถามพลางซบลงที่ไหล่ของชายคนนั้น
“ไอเดน?” เคียแรนยืนตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า น้ำเสียงสั่นเครือเรียกชื่อเก่าของรินด้วยความคุ้นเคย
คำว่า “ไอเดน” ทำให้รินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อย เขามองเคียแรนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนปนเศร้า
“ตอนนี้ผมชื่อรินครับ...แต่ใช่ ผมเอง” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย
ขณะที่ทั้งสองโอบกอดกันอีกครั้ง เคลที่ยืนอยู่ไม่ไกลเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แววตาของเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจและความหึงหวงที่เริ่มก่อตัว
“คุณรู้จักเขา?” เขาถามเสียงเข้ม น้ำเสียงนิ่งและแฝงด้วยความกดดัน
“เขาคือเคียแรน พี่ชายของผม” รินหันกลับมาหาเคล ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตายังคงมีรอยยิ้ม “ผมคิดว่าผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว…”
“พี่ชายเหรอ?” เอร่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้ม “รู้ใช่ไหมว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ?”
น้ำเสียงของเอร่าทำให้เคลเหลือบมองอย่างระแวง เอร่าหัวเราะเบา ๆ “แค่อยากให้เคลรู้ไว้ อย่าเพิ่งวางใจเกินไป”
“เอร่า ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม?” เคลกลอกตาและพูดด้วยเสียงเย็นชา แต่ในใจเขารู้ว่า เอร่ากำลังเติมเชื้อไฟให้ความกังวลยิ่งโหมกระพือ
จินเจอร์กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเอร่า เสียงเหมียวของมันเหมือนกำลังสนับสนุนการกระเซ้าของเอร่า เอร่าหัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นอีก “ดูสิ พวกเขากอดกันแน่นเลยนะเคล ระวังไว้หน่อยนะ”
รินได้ยินบทสนทนา แต่ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะกำลังตื่นเต้นที่ได้เจอเคียแรน “ผมมีคำถามที่อยากถามพี่เยอะเลย…เกิดอะไรขึ้นในปีที่ผ่านมา? ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่?”
“พี่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ริน แต่ตอนนี้พี่แค่ดีใจที่ได้เจอนายอีกครั้ง” เคียแรนถอนหายใจลึก มองรินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เสียงของเขาแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“งั้นเราคุยกันที่ลานกลางสวน ผมอยากฟังทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” เคลมองทั้งสองคนขณะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาพยายามควบคุมความหึงหวงในใจ และพยายามที่จะเข้าใจความสัมพันธ์นี้ให้มากขึ้น
ในมุมสงบของสวนรัตติกาล ล้อมรอบด้วยดอกไม้ที่แบ่งบานและสายลมอ่อนที่พัดผ่าน รินนั่งลงระหว่างเคลและเคียแรน ใบหน้าของรินดูเต็มไปด้วยความสับสนปนดีใจ ขณะที่เขาเตรียมจะเล่าเรื่องราวในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งเต็มไปด้วยการพลัดพรากและการตามหา
เคียแรนที่ยังไม่ละสายตาจากน้องชาย ค่อย ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย
“นายไม่รู้เลยว่าพี่ดีใจแค่ไหนที่ได้เจอนายอีกครั้ง...ไอเดน” เขาเรียกชื่อเดิมด้วยความรู้สึกผูกพัน “พี่เฝ้าฝันถึงวันนี้มาตลอด...ฝันว่าสักวันพี่จะได้กอดนายอีกครั้ง”
รินยิ้มเศร้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเบา ๆ “พี่เคียแรน...ตอนนี้ผมชื่อรินครับ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังเป็นน้องชายของพี่เหมือนเดิม”
“ริน...ชื่อนี้เหมาะกับนายมาก” เคียแรนยิ้มทั้งน้ำตา ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและโล่งใจ เขาหยุดชั่วครู่เพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด ความเจ็บปวดในใจเหมือนถูกปลดปล่อยออกมา “นายรู้ไหมว่าพี่ต้องเจอกับอะไรบ้างในคืนที่มาร์คัสเริ่มการล้างบาง ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย พี่เห็นเพื่อนของเราถูกลากตัวไป คนแล้วคนเล่า...พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนี”
“ผมขอโทษ...ถ้าผมไม่หายตัวไป...พวกเขาอาจไม่ต้องเสียชีวิตแบบนั้น” รินหลับตาลง น้ำตาเอ่อไหลช้า ๆ
“อย่าพูดแบบนั้น!” เคียแรนพูดเสียงหนักแน่น เขาบีบมือรินแน่นขึ้น “สิ่งที่ผิดคือสิ่งที่พวกมันทำ ไม่ใช่นาย! พี่รู้เสมอว่านายยังมีชีวิตอยู่ และการตามหานายเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่มีแรงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับวันใหม่”
เคลที่นั่งเงียบมานาน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยความหนักแน่น “รินไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วครับเคียแรน เขาเป็นของผม และผมจะปกป้องเขาไม่ว่าต้องเจอกับอะไร”
เขาสบตาเคียแรนอย่างมั่นคง แม้ภายในใจจะมีความหึงหวงที่ปิดไม่มิด เคียแรนมองเคลอย่างพิจารณาก่อนจะหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขันและยอมรับ
“พี่ดีใจที่รินมีคนดูแลแบบนาย...แต่เคล นายต้องเข้าใจนะ พี่จะไม่มีวันทิ้งน้องชายของพี่ พี่จะอยู่ข้างเขาเสมอในฐานะพี่ชาย”
“โอ้โห ดรามากันดีจริง ๆ นี่ถ้าฉันยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉันคงคิดว่านี่เป็นละครฉากรักสามเส้า” เอร่าที่นั่งมองไม่ไกลหัวเราะเสียงดัง พูดแซวอย่างขี้เล่น เขาทำท่าจับจินเจอร์เหมือนกำลังดูละครอย่างจริงจัง
“เอร่า นายชอบทำให้เรื่องเสียขบวนตลอด” เคลหันไปมองเอร่าด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาพูดเสียงต่ำ แต่นั่นกลับทำให้เอร่ายิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้น
“แค่บอกให้รู้นะเคล” เอร่าพูดพลางโบกมือไปทางเคียแรน “เขากอดกันแน่นเลยนะ ฉันละอยากรู้จริง ๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนรักของริน”
เคลกัดฟันแน่น ร่างกายเขาขยับเข้าไปใกล้รินมากขึ้น ราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ รินส่ายหน้าเล็กน้อยและหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของทุกคน
รินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตนเองบ้าง “พี่เคียแรน...ผมต้องเล่าอะไรให้พี่ฟังเยอะมาก ตั้งแต่คืนที่ผมหนีออกจากสวน...ผมจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำของผมเหมือนถูกลบจนหมด ผมถูกเลี้ยงดูในฐานะเด็กกำพร้าภายใต้ชื่อไอเดน”
เขาหยุดเล็กน้อยเพื่อเช็ดน้ำตาแล้วเล่าต่อ “หลังจากนั้น...ผมมาอยู่กับวิกเตอร์ อยู่กับพี่ และในคืนที่โกดังร้างนั้น...ผมก็ต้องหนีมาอีกครั้ง ผมกลายเป็นศิลปินที่ใช้ชื่อว่าริน ผมพยายามสร้างชีวิตใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมค้นพบว่าผมไม่ใช่แค่คนธรรมดา...ผมคือลูกชายของราชินีโรซาลี เป็นผู้สืบทอดของสวนรัตติกาล”
“ผู้สืบทอดของสวน? หมายความว่าไงริน? นาย...นายได้รับพลังของสวนหรือเปล่า?” เคียแรนมองน้องชายด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ใช่...ผมเริ่มรู้สึกถึงมันตั้งแต่ความทรงจำเริ่มกลับมา สวนตอบสนองกับผม...ไม่ใช่แค่ต้นไม้หรือดอกไม้ที่ขยับเมื่อผมอยู่ใกล้ แต่เหมือนกับว่ามัน...พูดกับผม” รินพยักหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่แม่ตั้งใจไว้ แม่ต้องการให้ผมใช้พลังนี้เพื่อปกป้องสวน...เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน”
“ริน คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญเรื่องนี้คนเดียว ผมอยู่ตรงนี้...และเราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่ใช่เพราะคุณเป็นเจ้าชายหรือผู้สืบทอดของสวน แต่เพราะคุณคือรินของผม” เคลที่นั่งเงียบมองรินด้วยความรู้สึกท่วมท้น เขาเอื้อมมือไปกุมมือของรินไว้แน่น
“นายนี่มัน...เหลือเชื่อจริง ๆ ริน” เคียแรนยิ้มบาง ๆ แต่ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเอื้อมมือไปแตะแขนของน้องชาย “นายไม่ได้แค่สืบทอดสวน แต่ยังเป็นแสงสว่างที่ราชินีทิ้งไว้ นายรู้ไหมว่าแม้แต่ตอนที่พี่อยู่ในกลุ่ม พี่ก็ยังได้ยินเรื่องของอัศวินแห่งสวนและพลังของผู้สืบทอดเสมอ”
“แต่พี่ก็เป็นคนที่ช่วยผมมากที่สุด...ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงไม่มาถึงวันนี้ ผมขอบคุณที่พี่ไม่เคยหยุดตามหาผม” รินมองพี่ชายด้วยสายตาอบอุ่น
“พี่ไม่เคยหยุดเพราะนายคือครอบครัวของพี่ และตอนนี้ พี่เห็นแล้วว่านายไม่ใช่แค่เจ้าชาย แต่เป็นคนที่คู่ควรกับตำแหน่งผู้สืบทอด” เคียแรนหัวเราะเบา ๆ พลางบีบไหล่ริน
เอร่าที่แอบฟังอยู่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดแทรก “โอ้ เจ้าชาย ผู้สืบทอด แสงสว่าง...จากนี้ฉันคงต้องเรียกนายว่า ‘ท่านรินผู้ยิ่งใหญ่’ แล้วละ”
จินเจอร์กระโดดขึ้นมานั่งบนตักริน ส่งเสียงร้องเหมือนจะเห็นด้วย รินหัวเราะขณะลูบขนจินเจอร์ “ไม่ต้องเรียกแบบนั้นหรอกเอร่า ผมก็ยังเป็นรินคนเดิม เป็นน้องชายของพี่เคียแรน และคนรักของเคล”
เคลกระชับมือของรินแน่นขึ้น พร้อมกับพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “และผมก็ภูมิใจในตัวคุณทุกอย่าง ไม่ว่าจะในฐานะผู้สืบทอดหรือในฐานะริน...คุณคือทุกอย่างของผม”
เคียแรนมองรินอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะยิ้ม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ “พี่ดีใจที่เห็นนายมีความสุข...มากกว่าตอนที่อยู่ที่กลุ่มเสียอีก พี่ไม่เคยเห็นนายมีชีวิตชีวาแบบนี้มาก่อน”
“โอเค ๆ พอแล้ว ฉันคิดว่ามื้ออาหารก่อนหน้านี้หวานจนเลี่ยนไปแล้ว นายไม่คิดจะผ่อนปรนให้เพื่อนอย่างฉันบ้างเลยหรือยังไง” เอร่าที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้น คำพูดของเอร่าทำให้ทุกคนหัวเราะคลายบรรยากาศตึงเครียดลง
ยามนี้ในหัวใจของพวกเขา มีทั้งความเจ็บปวด ความดีใจ และความหวังที่กำลังกำเนิดขึ้นมาใหม่
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่