เสียงเอะอะจากทางเข้าสวนดังแว่วมา รินที่กำลังจัดเรียงดอกไม้อยู่สะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมองด้วยความสงสัย ใจเต้นแรงด้วยความกังวล
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังที่มาของเสียง
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้รินขมวดคิ้ว เคลยืนอยู่ในท่าทางตึงเครียด จับจ้องไปที่ชายแปลกหน้าซึ่งถูกเอร่าจับแขนไว้แน่น ส่วนจินเจอร์ที่พุงกลม ๆ ของมันห้อยจนเกือบถึงพื้น กำลังยืนโยกตัวอยู่บนพื้นราวกับกำลังฉลองชัยชนะ
“เกิดอะไรขึ้น?” รินถามเสียงดัง ขณะที่กวาดตามองไปที่ทุกคน
“โอ้ ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก แค่เจอคนแปลกหน้าที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถวนี้ ฉันเลยช่วยจัดการสักหน่อย” เอร่าหันมาพร้อมรอยยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์
“ช่วยจัดการ?” รินถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ เขามองชายแปลกหน้าที่ถูกจับอยู่ “แล้วจินเจอร์…ทำอะไร?”
“อ้อ เจ้าจินเจอร์นี่สิ กระโดดแตะหน้าเขาเหมือนฮีโรเลยละ!” เอร่าพูดพลางหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันไปลูบหัวจินเจอร์ “ใช่ไหม คนเก่ง?”
จินเจอร์ร้องเหมียวอย่างภาคภูมิใจ พร้อมถูไถตัวกับขาของเอร่า ขณะที่รินส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ เขาขยับเข้าไปใกล้ชายแปลกหน้าคนนั้น รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง
“เดี๋ยว…” รินพูดเสียงเบาและเดินเข้าไปใกล้ เมื่อมองชัดขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “พี่เคียแรน!”
เขาร้องลั่นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและตื้นตัน เสียงของรินดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น รินวิ่งเข้าไปกอดชายแปลกหน้าคนนั้นแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา
“พี่จริง ๆ ใช่ไหม?” เขาถามพลางซบลงที่ไหล่ของชายคนนั้น
“ไอเดน?” เคียแรนยืนตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า น้ำเสียงสั่นเครือเรียกชื่อเก่าของรินด้วยความคุ้นเคย
คำว่า “ไอเดน” ทำให้รินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อย เขามองเคียแรนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนปนเศร้า
“ตอนนี้ผมชื่อรินครับ...แต่ใช่ ผมเอง” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย
ขณะที่ทั้งสองโอบกอดกันอีกครั้ง เคลที่ยืนอยู่ไม่ไกลเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แววตาของเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจและความหึงหวงที่เริ่มก่อตัว
“คุณรู้จักเขา?” เขาถามเสียงเข้ม น้ำเสียงนิ่งและแฝงด้วยความกดดัน
“เขาคือเคียแรน พี่ชายของผม” รินหันกลับมาหาเคล ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตายังคงมีรอยยิ้ม “ผมคิดว่าผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว…”
“พี่ชายเหรอ?” เอร่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้ม “รู้ใช่ไหมว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ?”
น้ำเสียงของเอร่าทำให้เคลเหลือบมองอย่างระแวง เอร่าหัวเราะเบา ๆ “แค่อยากให้เคลรู้ไว้ อย่าเพิ่งวางใจเกินไป”
“เอร่า ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม?” เคลกลอกตาและพูดด้วยเสียงเย็นชา แต่ในใจเขารู้ว่า เอร่ากำลังเติมเชื้อไฟให้ความกังวลยิ่งโหมกระพือ
จินเจอร์กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเอร่า เสียงเหมียวของมันเหมือนกำลังสนับสนุนการกระเซ้าของเอร่า เอร่าหัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นอีก “ดูสิ พวกเขากอดกันแน่นเลยนะเคล ระวังไว้หน่อยนะ”
รินได้ยินบทสนทนา แต่ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะกำลังตื่นเต้นที่ได้เจอเคียแรน “ผมมีคำถามที่อยากถามพี่เยอะเลย…เกิดอะไรขึ้นในปีที่ผ่านมา? ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่?”
“พี่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ริน แต่ตอนนี้พี่แค่ดีใจที่ได้เจอนายอีกครั้ง” เคียแรนถอนหายใจลึก มองรินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เสียงของเขาแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“งั้นเราคุยกันที่ลานกลางสวน ผมอยากฟังทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” เคลมองทั้งสองคนขณะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาพยายามควบคุมความหึงหวงในใจ และพยายามที่จะเข้าใจความสัมพันธ์นี้ให้มากขึ้น
ในมุมสงบของสวนรัตติกาล ล้อมรอบด้วยดอกไม้ที่แบ่งบานและสายลมอ่อนที่พัดผ่าน รินนั่งลงระหว่างเคลและเคียแรน ใบหน้าของรินดูเต็มไปด้วยความสับสนปนดีใจ ขณะที่เขาเตรียมจะเล่าเรื่องราวในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งเต็มไปด้วยการพลัดพรากและการตามหา
เคียแรนที่ยังไม่ละสายตาจากน้องชาย ค่อย ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย
“นายไม่รู้เลยว่าพี่ดีใจแค่ไหนที่ได้เจอนายอีกครั้ง...ไอเดน” เขาเรียกชื่อเดิมด้วยความรู้สึกผูกพัน “พี่เฝ้าฝันถึงวันนี้มาตลอด...ฝันว่าสักวันพี่จะได้กอดนายอีกครั้ง”
รินยิ้มเศร้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเบา ๆ “พี่เคียแรน...ตอนนี้ผมชื่อรินครับ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังเป็นน้องชายของพี่เหมือนเดิม”
“ริน...ชื่อนี้เหมาะกับนายมาก” เคียแรนยิ้มทั้งน้ำตา ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและโล่งใจ เขาหยุดชั่วครู่เพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด ความเจ็บปวดในใจเหมือนถูกปลดปล่อยออกมา “นายรู้ไหมว่าพี่ต้องเจอกับอะไรบ้างในคืนที่มาร์คัสเริ่มการล้างบาง ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย พี่เห็นเพื่อนของเราถูกลากตัวไป คนแล้วคนเล่า...พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนี”
“ผมขอโทษ...ถ้าผมไม่หายตัวไป...พวกเขาอาจไม่ต้องเสียชีวิตแบบนั้น” รินหลับตาลง น้ำตาเอ่อไหลช้า ๆ
“อย่าพูดแบบนั้น!” เคียแรนพูดเสียงหนักแน่น เขาบีบมือรินแน่นขึ้น “สิ่งที่ผิดคือสิ่งที่พวกมันทำ ไม่ใช่นาย! พี่รู้เสมอว่านายยังมีชีวิตอยู่ และการตามหานายเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่มีแรงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับวันใหม่”
เคลที่นั่งเงียบมานาน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยความหนักแน่น “รินไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วครับเคียแรน เขาเป็นของผม และผมจะปกป้องเขาไม่ว่าต้องเจอกับอะไร”
เขาสบตาเคียแรนอย่างมั่นคง แม้ภายในใจจะมีความหึงหวงที่ปิดไม่มิด เคียแรนมองเคลอย่างพิจารณาก่อนจะหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขันและยอมรับ
“พี่ดีใจที่รินมีคนดูแลแบบนาย...แต่เคล นายต้องเข้าใจนะ พี่จะไม่มีวันทิ้งน้องชายของพี่ พี่จะอยู่ข้างเขาเสมอในฐานะพี่ชาย”
“โอ้โห ดรามากันดีจริง ๆ นี่ถ้าฉันยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉันคงคิดว่านี่เป็นละครฉากรักสามเส้า” เอร่าที่นั่งมองไม่ไกลหัวเราะเสียงดัง พูดแซวอย่างขี้เล่น เขาทำท่าจับจินเจอร์เหมือนกำลังดูละครอย่างจริงจัง
“เอร่า นายชอบทำให้เรื่องเสียขบวนตลอด” เคลหันไปมองเอร่าด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาพูดเสียงต่ำ แต่นั่นกลับทำให้เอร่ายิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้น
“แค่บอกให้รู้นะเคล” เอร่าพูดพลางโบกมือไปทางเคียแรน “เขากอดกันแน่นเลยนะ ฉันละอยากรู้จริง ๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนรักของริน”
เคลกัดฟันแน่น ร่างกายเขาขยับเข้าไปใกล้รินมากขึ้น ราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ รินส่ายหน้าเล็กน้อยและหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของทุกคน
รินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตนเองบ้าง “พี่เคียแรน...ผมต้องเล่าอะไรให้พี่ฟังเยอะมาก ตั้งแต่คืนที่ผมหนีออกจากสวน...ผมจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำของผมเหมือนถูกลบจนหมด ผมถูกเลี้ยงดูในฐานะเด็กกำพร้าภายใต้ชื่อไอเดน”
เขาหยุดเล็กน้อยเพื่อเช็ดน้ำตาแล้วเล่าต่อ “หลังจากนั้น...ผมมาอยู่กับวิกเตอร์ อยู่กับพี่ และในคืนที่โกดังร้างนั้น...ผมก็ต้องหนีมาอีกครั้ง ผมกลายเป็นศิลปินที่ใช้ชื่อว่าริน ผมพยายามสร้างชีวิตใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมค้นพบว่าผมไม่ใช่แค่คนธรรมดา...ผมคือลูกชายของราชินีโรซาลี เป็นผู้สืบทอดของสวนรัตติกาล”
“ผู้สืบทอดของสวน? หมายความว่าไงริน? นาย...นายได้รับพลังของสวนหรือเปล่า?” เคียแรนมองน้องชายด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ใช่...ผมเริ่มรู้สึกถึงมันตั้งแต่ความทรงจำเริ่มกลับมา สวนตอบสนองกับผม...ไม่ใช่แค่ต้นไม้หรือดอกไม้ที่ขยับเมื่อผมอยู่ใกล้ แต่เหมือนกับว่ามัน...พูดกับผม” รินพยักหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่แม่ตั้งใจไว้ แม่ต้องการให้ผมใช้พลังนี้เพื่อปกป้องสวน...เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน”
“ริน คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญเรื่องนี้คนเดียว ผมอยู่ตรงนี้...และเราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่ใช่เพราะคุณเป็นเจ้าชายหรือผู้สืบทอดของสวน แต่เพราะคุณคือรินของผม” เคลที่นั่งเงียบมองรินด้วยความรู้สึกท่วมท้น เขาเอื้อมมือไปกุมมือของรินไว้แน่น
“นายนี่มัน...เหลือเชื่อจริง ๆ ริน” เคียแรนยิ้มบาง ๆ แต่ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเอื้อมมือไปแตะแขนของน้องชาย “นายไม่ได้แค่สืบทอดสวน แต่ยังเป็นแสงสว่างที่ราชินีทิ้งไว้ นายรู้ไหมว่าแม้แต่ตอนที่พี่อยู่ในกลุ่ม พี่ก็ยังได้ยินเรื่องของอัศวินแห่งสวนและพลังของผู้สืบทอดเสมอ”
“แต่พี่ก็เป็นคนที่ช่วยผมมากที่สุด...ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงไม่มาถึงวันนี้ ผมขอบคุณที่พี่ไม่เคยหยุดตามหาผม” รินมองพี่ชายด้วยสายตาอบอุ่น
“พี่ไม่เคยหยุดเพราะนายคือครอบครัวของพี่ และตอนนี้ พี่เห็นแล้วว่านายไม่ใช่แค่เจ้าชาย แต่เป็นคนที่คู่ควรกับตำแหน่งผู้สืบทอด” เคียแรนหัวเราะเบา ๆ พลางบีบไหล่ริน
เอร่าที่แอบฟังอยู่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดแทรก “โอ้ เจ้าชาย ผู้สืบทอด แสงสว่าง...จากนี้ฉันคงต้องเรียกนายว่า ‘ท่านรินผู้ยิ่งใหญ่’ แล้วละ”
จินเจอร์กระโดดขึ้นมานั่งบนตักริน ส่งเสียงร้องเหมือนจะเห็นด้วย รินหัวเราะขณะลูบขนจินเจอร์ “ไม่ต้องเรียกแบบนั้นหรอกเอร่า ผมก็ยังเป็นรินคนเดิม เป็นน้องชายของพี่เคียแรน และคนรักของเคล”
เคลกระชับมือของรินแน่นขึ้น พร้อมกับพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “และผมก็ภูมิใจในตัวคุณทุกอย่าง ไม่ว่าจะในฐานะผู้สืบทอดหรือในฐานะริน...คุณคือทุกอย่างของผม”
เคียแรนมองรินอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะยิ้ม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ “พี่ดีใจที่เห็นนายมีความสุข...มากกว่าตอนที่อยู่ที่กลุ่มเสียอีก พี่ไม่เคยเห็นนายมีชีวิตชีวาแบบนี้มาก่อน”
“โอเค ๆ พอแล้ว ฉันคิดว่ามื้ออาหารก่อนหน้านี้หวานจนเลี่ยนไปแล้ว นายไม่คิดจะผ่อนปรนให้เพื่อนอย่างฉันบ้างเลยหรือยังไง” เอร่าที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้น คำพูดของเอร่าทำให้ทุกคนหัวเราะคลายบรรยากาศตึงเครียดลง
ยามนี้ในหัวใจของพวกเขา มีทั้งความเจ็บปวด ความดีใจ และความหวังที่กำลังกำเนิดขึ้นมาใหม่
ในยามบ่ายของวันอันเงียบสงบ รินนั่งอยู่ข้างเคลใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เคียแรนและเอร่าที่กำลังคุยกันไม่ไกล เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังแว่วมาท่ามกลางสายลมเอื่อย รินยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเคล“เคล คุณเห็นไหม?” รินพูดพลางพยักเพยิดไปทางทั้งสองคน “พี่ดูมีความสุขนะเวลาคุยกับเอร่า ผมไม่ได้เห็นเขาหัวเราะแบบนี้มาตั้งแต่...ตั้งแต่ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลาย”เคลเหลือบมองแล้วพยักหน้า “อืม ดูเหมือนเอร่าจะทำให้เขาผ่อนคลายได้จริง ๆ แต่คุณคิดว่ามันจะดีไหม? คุณรู้ว่าเอร่าน่ะ...” เขาหยุดชั่วครู่ “ค่อนข้างซนเกินไปหน่อย”รินหัวเราะเบา ๆ “ซน? นั่นเป็นคำพูดที่สุภาพเกินไป ผมคิดว่าเอร่าคือพายุในร่างมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่พี่ต้องการ ใครสักคนที่ทำให้เขาหยุดคิดมากและเริ่มใช้ชีวิตจริง ๆ”เคลเอนตัวพิงต้นไม้แล้วถอนหายใจ “ผมคิดว่าคุณพูดถูก บางทีพวกเขาอาจจะช่วยเติมเต็มกันและกัน... หรือไม่ก็สร้างความวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”
เช้าวันใหม่ในสวนรัตติกาลเต็มไปด้วยความสดใส สำหรับเคียแรน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง เมื่อชายที่เคยจับดาบต่อสู้ในสนามรบต้องมายืนจ้องเครื่องมือทำสวนอย่างงุนงง เขาถอนหายใจหนัก ก่อนจะหันไปมองเอร่าที่กำลังหมุนคราดในมือเหมือนโชว์มายากล“นี่คือเสียม...แล้วนี่ก็คือคราด นายต้องไม่ใช้มันเหมือนอาวุธ เข้าใจใช่ไหม?” เอร่ายิ้มพลางยื่นคราดให้“นายคิดว่าผมโง่หรือไง?” เคียแรนจ้องเขม็ง“ไม่เลย! ฉันแค่มั่นใจว่านายจะแยกความแตกต่างระหว่างดาบกับคราดได้จริง ๆ” เอร่าตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับบ่งบอกว่าเขาแค่ต้องการแหย่“แล้วนายแน่ใจหรือว่าทำงานนี้เป็น?” เคียแรนถามกลับ พลางคว้าเสียมมาขุดดินอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เอร่าเห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะลั่นเอร่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่แฝงไว้ด้วยความท้าทาย “ขอบอกเลยนะ เคียแรน ผมน่ะไม่ได้เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่ยังเป็นอัศวินด้วย! ด้านดา
รินมองไปที่พี่ชายด้วยความกังวลใจ “แล้วตอนนี้พี่พักอยู่ที่ไหน?” รินถามขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใย“ก็...เพื่อนในเมืองให้พักอยู่ที่ห้องเล็ก ๆ หลังร้านค้า แต่ไม่สะดวกเท่าไร” เคียแรนตอบ พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “พี่พยายามหลีกเลี่ยงการไปในที่ที่คนพลุกพล่าน กลัวว่าจะมีใครจำพี่ได้ ซินดิเคทมีอำนาจอยู่มาก”“ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่ล่ะ? ที่สวนปลอดภัยกว่า และไม่มีใครเข้ามาได้ง่าย ๆ โดยไม่ผ่านพวกเรา” รินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยชวนคำพูดของรินทำให้เคลชะงัก เขาหันมามองรินทันที แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เอร่าก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียนที่เป็นเอกลักษณ์“ใช่เลย! นายคือเจ้าของสวนที่ถูกต้องนี่นา ริน นายจะให้ใครอยู่หรือไป มันก็ขึ้นอยู่กับนายหมดเลย” เอร่าพูดพลางยักคิ้วให้เคียแรน “แต่...ตอนนี้ห้องพักเต็มหมดแล้วนี่? จะให้นอนกับฉัน...ก็กลัวเคียแรนจะหนาว”“หนาว?” เคลหันไปมองเอร่า คิ้วกระตุก &l
เสียงเอะอะจากทางเข้าสวนดังแว่วมา รินที่กำลังจัดเรียงดอกไม้อยู่สะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมองด้วยความสงสัย ใจเต้นแรงด้วยความกังวล“เกิดอะไรขึ้น?” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังที่มาของเสียงภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้รินขมวดคิ้ว เคลยืนอยู่ในท่าทางตึงเครียด จับจ้องไปที่ชายแปลกหน้าซึ่งถูกเอร่าจับแขนไว้แน่น ส่วนจินเจอร์ที่พุงกลม ๆ ของมันห้อยจนเกือบถึงพื้น กำลังยืนโยกตัวอยู่บนพื้นราวกับกำลังฉลองชัยชนะ“เกิดอะไรขึ้น?” รินถามเสียงดัง ขณะที่กวาดตามองไปที่ทุกคน“โอ้ ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก แค่เจอคนแปลกหน้าที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถวนี้ ฉันเลยช่วยจัดการสักหน่อย” เอร่าหันมาพร้อมรอยยิ้มกว้างเจ้าเล่ห์“ช่วยจัดการ?” รินถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ เขามองชายแปลกหน้าที่ถูกจับอยู่ “แล้วจินเจอร์…ทำอะไร?”“อ้อ เจ้าจินเจอร์นี่สิ กระโดดแตะหน้าเขาเหมือนฮีโรเลยละ!” เอร่าพูดพลางหัวเราะเสียงด
รุ่งอรุณของสวนรัตติกาลถูกแต่งแต้มด้วยความหอมหวานที่อบอวลในอากาศ รินและเคลนั่งอยู่ใกล้กันใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาของทั้งคู่สะท้อนแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ใบหน้าของรินระเรื่อเล็กน้อยเมื่อนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา แต่เขาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเคลยื่นมือมาสัมผัสแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา“เมื่อคืน...คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุดในโลก” รินพูดเบา ๆ สายตาสองคู่ประสานกัน ความอบอุ่นในคำพูดทำให้หัวใจของเคลเต้นรัว“ใช่เพราะคุณเป็นจริงๆ ริน ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ” เคลยิ้มอ่อนโยน พลางลูบแก้มรินด้วยปลายนิ้ว“คุณรู้ไหมว่าคุณพูดแบบนี้แล้วผมจะไม่อยากลุกไปไหนเลย คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” รินหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับพิงไหล่ของเคล“งั้นเราจะนั่งตรงนี้ทั้งวันก็ได้” เคลแซวกลับพร้อมหัวเราะ รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ“นี่คุณทำให้ผมกลายเป็นคนติดหวานไปแล้ว คุณคิดว่ามันจะดีเห
หลังจากคำสารภาพที่จริงใจและอบอุ่น ริมฝีปากของเคลและรินค่อย ๆ เข้าหากัน ราวกับวินาทีนั้นโลกทั้งใบได้หยุดหมุน ในความคิดของเคล ความอบอุ่นของรินคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันถึง เสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากแตะกัน เขารู้สึกเหมือนพลังงานบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้กำลังหลั่งไหลผ่านเข้ามา เคลสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากริน ความละมุนละไมที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์และความรัก“ริน…ผมรู้แล้วว่าความหมายของชีวิตคือการได้อยู่เคียงข้างคุณ” เขาคิดขณะที่ปล่อยให้ริมฝีปากกำลังประทับกันในความคิดของริน เขารับรู้ถึงน้ำหนักของจูบนี้ น้ำหนักของคำสัญญาและความรู้สึกทั้งหมดที่เคลมอบให้ รินรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นไหวน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความอบอุ่นที่เคลมอบให้ ริมฝีปากของเคลเปรียบเสมือนเปลวไฟอ่อน ๆ ที่หลอมละลายความหนาวเหน็บในหัวใจเขา“เคล…คุณไม่ใช่เพียงอัศวิน แต่คุณคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร” รินคิดในขณะที่ปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายการจูบขอ