เช้าวันใหม่ในสวนรัตติกาลเต็มไปด้วยความสดใส สำหรับเคียแรน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง เมื่อชายที่เคยจับดาบต่อสู้ในสนามรบต้องมายืนจ้องเครื่องมือทำสวนอย่างงุนงง เขาถอนหายใจหนัก ก่อนจะหันไปมองเอร่าที่กำลังหมุนคราดในมือเหมือนโชว์มายากล
“นี่คือเสียม...แล้วนี่ก็คือคราด นายต้องไม่ใช้มันเหมือนอาวุธ เข้าใจใช่ไหม?” เอร่ายิ้มพลางยื่นคราดให้
“นายคิดว่าผมโง่หรือไง?” เคียแรนจ้องเขม็ง
“ไม่เลย! ฉันแค่มั่นใจว่านายจะแยกความแตกต่างระหว่างดาบกับคราดได้จริง ๆ” เอร่าตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับบ่งบอกว่าเขาแค่ต้องการแหย่
“แล้วนายแน่ใจหรือว่าทำงานนี้เป็น?” เคียแรนถามกลับ พลางคว้าเสียมมาขุดดินอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เอร่าเห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะลั่น
เอร่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่แฝงไว้ด้วยความท้าทาย “ขอบอกเลยนะ เคียแรน ผมน่ะไม่ได้เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่ยังเป็นอัศวินด้วย! ด้านดาบ ผมก็เก่งพอสมควรนะ ถ้านายสงสัย เรามาประลองกันเมื่อไรก็ได้!”
เคียแรนเลิกคิ้ว พลางยิ้มมุมปาก “ประลองกับนายหรือ? ผมสงสัยว่าต้องเตรียมยาทาแผลหรือเปล่า หรือนายจะใช้สมุนไพรปรุงขึ้นเองล่ะ?”
“อย่าประเมินต่ำไป! จำไว้เลยนะ ศิษย์เอกของผม จินเจอร์ เจ้าแมวอ้วนกลมที่นายเพิ่งโดนลูกแตะไปน่ะ มันฝึกกับผมมาเต็มที่ นายควรรู้แล้วว่าความร้ายกาจของผมร้ายแรงแค่ไหน!” เอร่าหัวเราะดังลั่น แกล้งทำหน้าบึ้งใส่
จินเจอร์ที่กำลังเลียขนตัวเองหันมาร้องเมี้ยวเหมือนรับคำ เคียแรนหลุดหัวเราะ “ศิษย์เอก? ถ้าจินเจอร์คือศิษย์เอกของนาย ผมควรกังวลไหมว่าผมจะโดนอะไรอีก?”
เอร่าแกล้งโค้งตัวเล็กน้อย ทำท่าประหนึ่งอัศวินผู้ชนะ “ผมบอกเลยว่าควรกังวล เพราะนายยังไม่เห็นฝีมือเต็มที่ของผม ถ้านายอยากลอง ผมพร้อมเสมอ!”
เคียแรนยิ้มกว้าง พร้อมยกมือขึ้นในเชิงยอมแพ้ “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเวลาซักซ้อมก่อน นายคงไม่อยากให้ผมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มใช่ไหม?”
เอร่ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่เคียแรนก็ยังคาใจเรื่องสมุนไพรอยู่ดี พร้อมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดโต้กลับ
“ว่าแต่...ผมสงสัยเคลที่เป็นทั้งหัวหน้าอัศวิน นักพฤกษศาสตร์ และอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง ยังดูยุ่งตลอดเวลา แล้วนายน่ะ เอร่า วัน ๆ นอกจากป่วนรินกับเคล ยังทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง?”
เอร่าหัวเราะดังลั่น พร้อมแกล้งทำหน้าบึ้งเล็กน้อย “นายดูถูกผมเกินไปแล้ว! รู้ไหมว่าผมน่ะคือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของสวนนี้ สมุนไพรที่ผมปลูกและปรุงส่งไปขายทั่วอาณาจักรอาราเลีย ทำรายได้ให้สวนมากขนาดไหน!”
“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็บอกผมมา สมุนไพรที่คุณเพิ่งส่งออกไปเมื่อวานมีสรรพคุณอะไร?” เคียแรนมองเอร่าอย่างจับผิด
เอร่าไม่รอช้า คว้ากำสมุนไพรจากกระเป๋าผ้าของตัวเองแล้วเริ่มอธิบาย “นี่คือรากโกลเดนเบลล์ บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนใบนี้นะ แค่บดละเอียดทาแผล กำจัดเชื้อได้ในไม่กี่วัน ดูซิ ผมรู้ทุกอย่าง!”
“นายน่าจะเปิดร้านขายของเองไปเลยนะ” เคียแรนประชดพลางยิ้ม
“ก็ไม่แน่! แต่เอาจริง ๆ นายอย่าลืมว่าผลงานของผมทำให้สวนนี้มีกินมีใช้ ถ้าไม่มีผม นายกับเคลคงต้องปลูกผักกินเองแล้วละ”
เคียแรนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดล้อ “ผมคงไม่รอด ถ้าต้องพึ่งนายทำอาหาร แต่เรื่องสมุนไพรนี่ดูภูมิใจนักหนา”
เอร่าหยิบสมุนไพรอีกกำขึ้นมา “ภูมิใจสิ! เห็นนี่ไหม สมุนไพรดรีมบลูม ใช้ชงชา ช่วยผ่อนคลาย นายอาจต้องการมันมากหน่อยนะ เพราะชีวิตของนายดูเครียดเกินไป”
จินเจอร์กระโดดขึ้นมานั่งบนไหล่เอร่า ร้องเหมียวอย่างเห็นด้วย
“ผมไม่รู้ว่าใครซนกว่ากันระหว่างนาย หรือแมวตัวนี้” เคียแรนส่ายหัว
“ก็ทั้งสองแหละ! แต่อย่าลืมว่าทั้งผมและจินเจอร์นี่แหละทำให้สวนรัตติกาลมีสีสัน!” เอร่าทำหน้าใสซื่อ
บ่ายวันหนึ่งในสวนรัตติกาล เคียแรนและเอร่ากำลังช่วยกันขุดดินเพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ใหม่ บรรยากาศในสวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยอวล เอร่าที่ไม่เคยพลาดโอกาสเล่นซน เริ่มแหย่เคียแรนทันทีที่ได้จอบในมือ
“ดูนายเหมือนกำลังขุดหาขุมทรัพย์ลับยังไงยังงั้น” เอร่าพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน พร้อมทำท่าเหมือนนักสำรวจถือแผนที่
“หุบปากแล้วทำงานของตัวเองซะ” เคียแรนตอบเสียงเข้ม แต่ในแววตากลับแฝงรอยยิ้มบาง ๆ เอร่าที่เห็นแบบนั้นยิ่งได้ใจ
“งั้นถ้าผมขุดเจอสมบัติจริง นายจะทำยังไง?” เอร่าพูดพลางใช้จอบเขียนรูปหัวใจบนพื้นดินอย่างภาคภูมิใจ “ดูนี่สิ ศิลปะของผม!”
“นายกำลังทำให้ดินเละ ไม่ใช่ศิลปะสักหน่อย” เคียแรนส่ายหัว พร้อมถอนหายใจยาว
“ผมต่างหากที่เป็นศิลปินตัวจริงในสวนแห่งนี้! ไม่ใช่ริน!” เอร่าหัวเราะก่อนจะปั้นดินเป็นก้อนกลม ๆ และโยนใส่เคียแรนเบา ๆ
เคียแรนปัดดินออกจากเสื้อด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าเป็นนักพฤษศาสตร์จริง หรือเป็นนักแสดงตลกที่หลงมาสวนกันแน่”
“นักแสดงตลกอะไร ผมน่ะนักพฤษศาสตร์อันดับหนึ่งของที่นี่!” เอร่าเชิดหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง “ดูต้นไม้ต้นนั้นสิ! ผมปลูกเองกับมือ มันถึงได้สูงใหญ่และงดงามแบบนี้”
เคียแรนมองตามแล้วเลิกคิ้ว “นั่นมันต้นไม้ที่ดูเหมือนจะแห้งตายมากกว่าจะงดงาม นายแน่ใจหรือว่าปลูกเอง?”
“อะแฮ่ม! ผมกำลังจะปลูกมันใหม่ต่างหาก อย่ามากล่าวหาซี้ซั้ว!” เอร่าหันขวับมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“งั้นแสดงว่าต้นไม้ต้นนั้นคงตายเพราะมือนายแน่” เคียแรนยิ้มมุมปาก “เก่งจริง ๆ เลยนะเอร่า”
“โอ๊ย! ผมจะร้องไห้จริง ๆ แล้วนะ เคียแรน นายนี่ช่างใจร้ายเกินไป!” เอร่าแกล้งทำท่าจับอก
จินเจอร์ที่นั่งมองอยู่บนต้นไม้ร้องเมี้ยวเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงมาและกระโจนใส่เคียแรนเต็มแรง เคียแรนที่ไม่ทันตั้งตัวเซไปด้านหลัง พร้อมกับเสียงหัวเราะของเอร่า
“ดูสิ จินเจอร์ยังเข้าข้างผม!” เอร่าพูดพลางยกมือขึ้นเหมือนชูถ้วยรางวัล “ผมชนะแล้ว!”
รินที่กำลังจัดเรียงกระถางดอกไม้อยู่หันมองไปทางเสียงหัวเราะของทั้งคู่ เขาเห็นเคียแรนที่หัวเราะอย่างสดใส รอยยิ้มที่เคยเลือนหายไปตั้งแต่ครั้งที่พวกเขาอยู่ในกลุ่มซินดิเคทปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“พี่เคียแรนดูมีความสุขจัง” รินพูดเบา ๆ พลางมองด้วยสายตาอบอุ่น
เคลที่อยู่ข้าง ๆ แอบชำเลืองมองริน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความน้อยใจ “คุณมองแต่เคียแรน ไม่มองผมบ้างเหรอ?”
รินหัวเราะเบา ๆ และหันไปจับมือเคล “ผมมองคุณอยู่ตลอดเวลา ผมจะลืมได้ยังไง?”
“จริงเหรอ? ผมรู้สึกเหมือนคุณสนใจแต่คนอื่น” เคลทำเสียงงอน แต่ในแววตามีประกายขี้เล่น
รินยิ้ม พลางเขย่งขึ้นไปจูบจมูกของเคลเบา ๆ “งั้นคืนนี้ผมจะชดเชยให้ก็แล้วกัน เอาให้เลิกงอนเลย”
“คุณพูดเองนะ จำคำพูดนี้ไว้” เคลหลุดยิ้ม หัวเราะเบา ๆ พร้อมดึงรินเข้ามากอด
ทั้งสองหัวเราะด้วยกัน ก่อนที่เสียงของเอร่าจะดังขึ้นจากระยะไกล “พวกนายจะหยุดสวีตกันได้ไหม? ผมกำลังโดนเคียแรนไล่โยนดินใส่อยู่นี่!”
จินเจอร์ที่วิ่งตรงไปสมทบวงสงครามดิน ทำให้เคลและรินหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
สวนรัตติกาลที่เคยเงียบเหงาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นจากทุกคนในวันนี้
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่