Share

บทที่ 5 เงามืดของซินดิเคท

last update Last Updated: 2025-06-24 13:00:21

อาราเลียมีด้านมืดของมัน แต่ไม่มีด้านไหนที่ลึกและมืดเท่าซินดิเคท ภายใต้การนำที่ไร้ความปรานีของวิกเตอร์ พ่อของมาร์คัส ซินดิเคทเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจและความกลัว วิกเตอร์มีรูปร่างสูงใหญ่และมีดวงตาที่คำนวณทุกอย่างไร้ความปรานี ปกครองผู้คนด้วยไม้แข็ง ใช้การข่มขู่และความรุนแรงทำให้พวกเขาภักดี ความทะเยอทะยานของวิกเตอร์ไม่มีขอบเขต เขาปรารถนาที่จะควบคุมสวนรัตติกาลด้วย

ในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหานครอาราเลีย แสงไฟสลัวจากโคมระย้าห้อยต่ำ สะท้อนผิวโลหะของโต๊ะยาว ตัวห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจและความกลัวที่จับต้องได้ บนผนังมีแผนที่ของเมืองอาราเลียถูกปักหมุดไว้ หลายพื้นที่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงการยึดครองของซินดิเคท

วิกเตอร์ยืนตระหง่านตรงหัวโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ลุกโชนด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยม ใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนถูกแกะสลักจากหินเย็นยะเยือก แต่กลับแฝงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมารอบตัว

ประตูห้องประชุมเปิดออก ชายคนหนึ่งถูกลูกน้องสองคนของวิกเตอร์ลากเข้ามา เขาคือหนึ่งในสมาชิกระดับกลางของซินดิเคท ซึ่งทำผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจมืดขององค์กร ใบหน้าของเขาซีดเผือดและเต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะถูกโยนลงกับพื้นตรงหน้าวิกเตอร์

“แกคิดว่าแกสามารถทำพลาดและเดินหนีจากมันได้งั้นหรือ?” วิกเตอร์กล่าว น้ำเสียงเรียบง่าย แต่คำพูดของเขาหนักแน่นเหมือนค้อนที่ทุบลงบนหิน “แกรู้ไหมว่าความพลาดของแกทำให้พวกเราเสียหายแค่ไหน?”

ชายคนนั้นพยายามคลานไปข้างหน้า พร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ได้โปรด...ผม...ผมจะชดใช้ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขครับ!”

วิกเตอร์ยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย มันเป็นรอยยิ้มของผู้ล่า

“ชดใช้? คำว่าชดใช้สำหรับคนที่ยังมีคุณค่า แต่แก…?” เขาเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ “แกไม่มีคุณค่าอีกแล้ว”

เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องลากชายคนนั้นไปยังมุมห้องที่เต็มไปด้วยเงามืด ชายคนนั้นกรีดร้องและอ้อนวอน แต่คนในห้องไม่มีแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียง ความเงียบเข้าครอบงำห้องประชุม ราวกับอากาศทั้งหมดถูกดูดหายไป

ไม่มีใครแม้แต่จะหายใจแรง ทุกลมหายใจถูกกลืนกินด้วยความหวาดกลัว ผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนต้องกำหมัดแน่น จนเล็บจิกลงบนฝ่ามือเพื่อไม่ให้มือสั่น บางคนจ้องมองตรงไปข้างหน้า ราวกับว่าการสบตากับวิกเตอร์จะเป็นการลงนามในคำสั่งประหารชีวิตของตัวเอง

เสียงร้องครั้งสุดท้ายของชายที่ถูกลากเงียบหายไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าที่อัดแน่นด้วยความตึงเครียด ไม่มีใครในห้องกล้าแม้แต่จะแสดงความเห็นใจ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีหัวใจ แต่เพราะพวกเขารู้ดีว่าความเห็นใจที่แสดงออกมาเพียงน้อยนิดนั้นสามารถนำภัยมาถึงตัวได้ แม้จะไม่มีความผิด แต่พวกเขาอาจถูกลากลงไปสู่ชะตากรรมเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น

วิกเตอร์เดินกลับไปยังหัวโต๊ะ จังหวะก้าวที่มั่นคงและเงียบเชียบของเขายิ่งทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้น ราวกับทุกก้าวของเขาเป็นการกระชากสายลมแห่งความหวังออกจากห้องนี้ ดวงตากวาดมองทุกคนในห้อง ใบหน้าที่เย็นชาของเขาเหมือนกับน้ำแข็งที่ไม่อาจหลอมละลายได้

“จงจำไว้ให้ดี” วิกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเหมือนมีดเล่มคม “ที่นี่ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาด ไม่มีข้ออ้าง และไม่มีความปรานี ทุกคนอยู่ที่นี่เพราะยังมีค่า ถ้าทำให้ตัวเองไร้ค่า พวกแกก็จะจบลงเหมือนมัน”

บรรยากาศในห้องกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ราวกับคำพูดของเขาเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการทุกคนไว้ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว ทุกการกระทำต้องอยู่ในกรอบของความระมัดระวังสูงสุด

วิกเตอร์ยืนมองแผนที่ของอาราเลีย ดวงตาที่เหมือนเปลวไฟลุกโชนจับจ้องไปยังจุดเล็ก ๆ ที่เป็นที่ตั้งของสวนรัตติกาล เสียงรองเท้าของเขากระทบพื้นห้องดังก้องในความเงียบ สร้างความตึงเครียดที่ยากจะทนได้

“เป้าหมายต่อไปของเราชัดเจน” เขากล่าว น้ำเสียงเยือกเย็นราวกับมีดที่บาดลึกในจิตใจ “สวนรัตติกาล มันคือหัวใจของเมืองนี้ และข้าจะเอามันมาเป็นของข้า”

หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะค่อย ๆ ยกมือขึ้น เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยขณะเอ่ย “แต่วิกเตอร์…สวนรัตติกาลไม่ใช่แค่สถานที่ มันถูกปกป้องด้วยอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในอาราเลีย พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์ธรรมดา ๆ”

“และนายกำลังจะบอกว่าฉันควรกลัวคนพวกนั้นหรือ?” วิกเตอร์หันไปหาชายคนนั้น สายตาของเขาเหมือนคมมีดที่กรีดผ่านทุกคำพูด

“ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ชายคนนั้นรีบตอบ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ “ผมแค่หมายถึง เราควรมีแผนการที่รอบคอบ หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง เราอาจ…”

“ล้มเหลว?” วิกเตอร์แทรกขึ้น คำพูดของเขาเหมือนกรงเล็บที่บีบอัดหัวใจของชายคนนั้น “ถ้าแกกลัวล้มเหลว ก็ควรออกจากห้องนี้เสีย และปล่อยให้คนที่มีความกล้าจริง ๆ เข้ามาทำงานแทน”

ความเงียบปกคลุมห้องอีกครั้ง ทุกคนก้มหน้า ไม่มีใครกล้าสบตา วิกเตอร์หันกลับมาหาแผนที่ น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นหนักแน่นและจริงจัง

“พวกมันมีอัศวิน...และราชินี” วิกเตอร์กล่าว พลางใช้นิ้วลากผ่านเส้นทางต่าง ๆ บนแผนที่ “แต่พวกมันก็เป็นเพียงมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนนั้นมีจุดอ่อน พวกมันอาจแข็งแกร่งในสวน แต่ถ้าเราดึงพวกมันออกมา...ทิ้งราชินีไว้ลำพัง เราจะทำลายพวกมันได้”

“ท่านต้องการสร้างสถานการณ์ที่ดึงพวกอัศวินออกมาหรือครับ?” หนึ่งในลูกน้องที่มีท่าทีมั่นใจเอ่ยถาม

วิกเตอร์พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความทะเยอทะยาน “ใช่ เราจะสร้างปัญหาในที่ที่พวกมันไม่อาจเพิกเฉยได้ ก่อวินาศกรรมในเมือง กระจายความโกลาหลให้มากที่สุด แต่อย่าให้มันดูเหมือนเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง เราจะล่อพวกมันออกมาเหมือนแมลงที่บินเข้ากองไฟ”

“แล้วถ้าราชินีส่งอัศวินแค่บางส่วนล่ะครับ?” ลูกน้องอีกคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเจือความลังเล

วิกเตอร์หันมามอง รอยยิ้มที่ไร้ความปรานีค่อย ๆ ปรากฏขึ้น “ถ้าพวกมันฉลาดพอที่จะระวังตัว เราก็ทำให้พวกมันไม่มีทางเลือก สร้างความเสียหายให้มากพอจนพวกมันต้องส่งทุกคนออกมา แม้กระทั่งตัวราชินีเองก็อาจถูกดึงออกจากสวนด้วย”

เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าใกล้แผนที่ ใช้มือแตะไปที่จุดศูนย์กลางของสวน “เมื่อไม่มีอัศวินเหลืออยู่ในสวน และราชินีหมดแรงจากการต่อสู้ เราจะเข้าควบคุมต้นโอ๊ก พลังของมันจะกลายเป็นของเรา และอาราเลียจะสยบแทบเท้าเรา“

น้ำเสียงของเขาเหมือนคำพิพากษา ทุกคนในห้องรู้ดีว่าไม่มีใครหยุดวิกเตอร์ได้เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนต่างรีบพยักหน้าและเริ่มจดจำคำสั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะตั้งคำถามอีกต่อไป

วิกเตอร์ยืนตรง จ้องมองสมาชิกในห้องด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นและความโหดเหี้ยม “ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาดอีกต่อไป ครั้งนี้เราจะได้สิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยเลือดหรือชีวิตของใครก็ตาม”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 5 เงามืดของซินดิเคท

    อาราเลียมีด้านมืดของมัน แต่ไม่มีด้านไหนที่ลึกและมืดเท่าซินดิเคท ภายใต้การนำที่ไร้ความปรานีของวิกเตอร์ พ่อของมาร์คัส ซินดิเคทเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจและความกลัว วิกเตอร์มีรูปร่างสูงใหญ่และมีดวงตาที่คำนวณทุกอย่างไร้ความปรานี ปกครองผู้คนด้วยไม้แข็ง ใช้การข่มขู่และความรุนแรงทำให้พวกเขาภักดี ความทะเยอทะยานของวิกเตอร์ไม่มีขอบเขต เขาปรารถนาที่จะควบคุมสวนรัตติกาลด้วยในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหานครอาราเลีย แสงไฟสลัวจากโคมระย้าห้อยต่ำ สะท้อนผิวโลหะของโต๊ะยาว ตัวห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจและความกลัวที่จับต้องได้ บนผนังมีแผนที่ของเมืองอาราเลียถูกปักหมุดไว้ หลายพื้นที่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงการยึดครองของซินดิเคทวิกเตอร์ยืนตระหง่านตรงหัวโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ลุกโชนด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยม ใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนถูกแกะสลักจากหินเย็นยะเยือก แต่กลับแฝงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวประตูห้องประชุมเปิดออก ชายคนหนึ่งถูกลูกน้องสองคนของวิกเตอร์ลากเข้ามา เขาคือหนึ่งในสมาชิกร

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 4 ความทรงจำฟื้นคืน

    แม้จะมีคนอยู่เป็นเพื่อน แต่เมื่อรินเข้านอนก็มักจะฝันร้ายอยู่เสมอ เขาได้ยินชื่อผู้หญิง ‘โรซาลี’ ในความฝันและตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ภาพเหล่านั้นคือความทรงจำในวัยเด็ก คืนที่เขาต้องวิ่งหนีสุดชีวิตท่ามกลางสายฝนกระหน่ำคืนนั้นเคลเองก็ถูกกวนใจด้วยความฝันเช่นกัน ภาพพ่อของเขาพยายามพูดบางอย่าง ในขณะที่ชี้ไปยังต้นไม้ลับในสวน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะค้นหาความจริง เคลเริ่มทำการสืบสวนคืนหนึ่งขณะที่สวนรัตติกาลเงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์ เคลและรินนั่งอยู่ข้างสระน้ำ ไหล่ของพวกเขาสัมผัสกัน อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่บานในตอนกลางคืน สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เคลมองไปที่ริน สังเกตเห็นว่าแสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายนุ่มนวลขึ้น“ริน” เคลพูดเบาๆ “ผมดีใจจริงๆ ที่คุณอยู่ที่นี่ คุณนำสิ่งพิเศษมาสู่ที่นี่”รินหันมาหาเคล ดวงตาของเขาเปล่งประกาย “ผมก็รู้สึกเหมือนกัน เคล สวนนี้…และคุณ…มันเหมือนผมได้พบชิ้นส่วนของตัวเองที่ไม่รู้ว่าขาดหายไป”หัวใจของเคลเต้นแรงเมื่ออีกฝ่ายเอนเข้ามาใกล้ ใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่กี่นิ้ว ชั่วขณะหนึ่งโลกดูเหมือนจะหยุดหายใจ พวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นคล้ายมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเส

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 3 การเริ่มต้นใหม่ในสวน

    รินยืนอยู่ตรงทางเข้าสวนรัตติกาล ดวงตาจับจ้องไปยังสวนที่เปล่งประกายใต้แสงจันทร์ หัวใจของเขาเต้นระรัว ความหวังผสมปนเปกับความกลัว มือกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ราวกับลังเลที่จะเข้าไป“นายจะทำอะไร? ไปบอกเขาว่านายไม่มีที่ไป? นายอาจถูกปฏิเสธก็ได้ เขาแทบไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว“แต่เขาก็เคยชวนมาสวนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาดูเป็นคนที่พึ่งพาได้ นายรู้สึกได้ว่าที่นี่ปลอดภัย” อีกเสียงหนึ่งที่ฟังนุ่มนวลกว่าเถียงกลับ แต่ก็เจือไปด้วยความกังวล“ถ้าผิดล่ะ? ถ้าเขาไม่ยอมให้อยู่ นายจะทำยังไง? แต่...ที่นี่...มันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าสถานที่ไหนที่นายเคยไปมา” รินหลับตาลง พยายามหาคำตอบเสียงหนึ่งในหัวหัวเราะหยัน “นั่นแหละคือปัญหา นายกำลังเชื่อในความรู้สึกโง่ ๆ ที่นายไม่สามารถอธิบายได้ นายเพิ่งเจอเขาแค่ครั้งเดียวเอง!”รินสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความวุ่นวายในจิตใจ “มันอาจจะเป็นเรื่องโง่จริง ๆ แต่...มันคือโอกาสสุดท้ายของฉัน ฉันไม่มีที่อื่นจะไปแล้ว”เขาลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววแน่วแน่ ทว่าก็ยังแฝงด้วยความลังเลอยู่ลึก ๆ เขาตัดสินใจก้าวเข้าไป

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 2 สวนรัตติกาล

    พวกเขามาถึงประตูที่ซ่อนอยู่หลังกลุ่มไม้เลื้อย เคลเปิดมันออก เผยให้เห็นสวนรัตติกาลภายใต้แสงจันทร์ สวนดูเหมือนจะมีแสงส่องประกาย ดอกไม้หลากหลายชนิดที่บานเฉพาะตอนกลางคืนแย้มรับแสงจันทร์ พืชพรรณแปลกใหม่ที่มีใบเรืองแสงดูเหมือนจะเต้นรำตามสายลมอ่อน ๆ อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิและดอกไผ่กลางคืน สวนนี้เป็นซิมโฟนีของสีสันและกลิ่นหอม เป็นโอเอซิสที่มีเวทมนตร์กลางใจเมืองสวนรัตติกาลไม่ใช่แค่สถานที่ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพลังงาน สวนนี้มีเวทมนตร์ที่ช่วยปกป้องเมืองจากพลังมืดและสร้างความสมดุลในอาราเลีย กล่าวกันว่ารากของสวนแผ่ลึกลงไปในดิน เชื่อมโยงกับหัวใจของอาราเลีย และพลังงานของมันไหลผ่านเมืองเหมือนเส้นชีพจรรินก้าวเข้ามาในสวนด้วยความประหลาดใจ สวนดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่อรินปรากฏตัว ดอกไม้บานอย่างมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของดอกไม้ชัดเจนขึ้น และบรรยากาศที่ดูเหมือนจะรายล้อมไปด้วยพลังงาน ราวกับว่าสวนสื่อสารกับรินได้และกำลังต้อนรับเขากลับบ้าน“ว้าว” รินพูดเบา ๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มหัศจรรย์จริงๆ”เคลยิ้ม แม้จะมีความสงสัยอยู่ในใจ “นี่คือที่พักพิงของผม ผมมาที่นี่เพ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 1 การพบกันโดยบังเอิญ

    อาราเลีย เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งความทันสมัยและประวัติศาสตร์ที่ถักทอเป็นหนึ่งเดียวกัน เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซราฟีน แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านกลางเมือง แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง เชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่มีทั้งความเก่าแก่และความทันสมัย คล้ายกับผสานอดีตและปัจจุบันไว้ด้วยกันย่านใจกลางเมืองเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงตระหง่าน ท้องฟ้าที่สะท้อนกับกระจกของอาคารทำให้ดูเหมือนว่าตึกเหล่านี้กลืนรวมกับท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตึกทั้งหลายเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ ศูนย์การค้า และโรงแรมหรู ถนนในย่านนี้ปูด้วยแผ่นหินเรียบเนียน มีทางเดินเท้ากว้างขวาง ต้นไม้ที่เรียงรายตามทางเดินและสวนสาธารณะพร้อมน้ำพุให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เสียงน้ำกระเซ็นจากน้ำพุและเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนที่เดินผ่านไปมาสร้างบรรยากาศที่คึกคักแต่สงบสุขแต่เมื่อเข้าสู่ย่านเมืองเก่า ถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหินโบราณและอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐแดงและหินสีอ่อนนำพาความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป อาคารเหล่านี้ทรุดโทรมตามกาลเวลา บ้างมีเถาไม้เลื้อยเกาะเต็มกำแพง บ่งบอกถึงความเก่าแก่และเรื่องราวที่ถูกลืม ถนนในย่านนี้คดเคี้ยวและซับซ้อน ทำให

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status