หน้าหลัก / วาย / เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde / บทที่ 6 เลือดไหลนองไปทั่วอาราเลีย

แชร์

บทที่ 6 เลือดไหลนองไปทั่วอาราเลีย

ผู้เขียน: Snowflake on Cherry Blossom
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-25 13:00:04

ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง

“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ

“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”

แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลีย

หนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด มีรายงานว่าผู้บริสุทธิ์กำลังถูกทำร้าย!”

“ก่อจลาจลงั้นหรือ? เกิดขึ้นได้อย่างไร?” โรซาลียืนขึ้นทันที ความวิตกกังวลในใจของเธอเพิ่มมากขึ้น

“เราไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ กลุ่มคนร้ายกำลังทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และ...เราได้ยินว่ามีคนติดอยู่ในเมือง รวมถึงเด็กหนุ่มชื่อเคล ธอร์นด้วยครับ เขาถูกล้อมอยู่ในย่านการค้า”

โรซาลีหันไปหาหัวหน้าอัศวิน พ่อของเคล “คุณต้องไปช่วยพวกเขา รวมถึงเคลด้วย”

“แต่ฝ่าบาท...” หัวหน้าอัศวินกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล “ถ้าเราส่งอัศวินออกไป สวนจะเหลือกำลังป้องกันเพียงน้อยนิด มันเสี่ยงเกินไปหากศัตรูโจมตีในตอนนี้”

โรซาลีสูดลมหายใจลึก เธอรู้ดีถึงความเสี่ยง แต่เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อผู้บริสุทธิ์ที่กำลังทุกข์ทรมาน “ความปลอดภัยของผู้คนในเมืองสำคัญยิ่งนัก ฉันจะดูแลสวนเอง คุณนำกำลังที่ดีที่สุดไปช่วยพวกเขา และอย่าให้เคลเป็นอะไรไป”

แม้จะกังวลแต่หัวหน้าอัศวินก็พยักหน้าด้วยความเคารพ ก่อนนำอัศวินส่วนใหญ่ของสวนออกจากพื้นที่ มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์

ขณะเดียวกัน ในความมืดของป่าโดยรอบ วิกเตอร์ยืนอยู่ท่ามกลางลูกน้องของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นแสงไฟและควันไฟจากการจลาจลที่เขาวางแผนเอง

“พวกมันหลงกล” วิกเตอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “อัศวินส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมือง สวนรัตติกาลเหลือเพียงกำลังป้องกันเล็กน้อย ตอนนี้...มันเป็นของเรา”

เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ลูกน้องเริ่มเคลื่อนไหว คนในชุดดำกระจายตัวเงียบ ๆ ไปทั่วสวน เหมือนเงาที่คืบคลานเข้ามา ดอกไม้ที่เคยบานสะพรั่งเริ่มหุบตัว เหมือนรับรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังมาเยือน

รินกำลังเล่นใกล้ ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงดังของแม่ ซึ่งปกติจะมีเสียงที่เรียบ อบอุ่น และปลอบโยน ทว่ายามนี้กลับเต็มไปด้วยความเร่งด่วนและความกลัว

“ริน รีบซ่อนตัว อยู่ที่ซ่อนให้ดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” โรซาลีบอกเขา ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอผลักเขาเข้าไปในที่ซ่อนเล็ก ๆ

รินเชื่อฟัง หัวใจเต้นรัวขณะที่มองดูแม่ของเขาเผชิญหน้ากับผู้ชายของซินดิเคท วิกเตอร์ ซึ่งเป็นผู้นำการจู่โจม ยืนอยู่หน้าโรซาลีพร้อมรอยยิ้มที่โหดร้าย

โรซาลียืนรออยู่แล้ว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การโจมตีแบบสุ่ม แต่มันคือการวางแผนอย่างรอบคอบ และเป้าหมายของพวกมันก็คือสวนแห่งนี้

“ราชินีแห่งสวนรัตติกาล” วิกเตอร์กล่าว น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความดูถูก “แกปกป้องที่นี่ได้ดี แต่คืนนี้...จะเป็นคืนสุดท้ายของการปกครองของแก!”

โรซาลียืนตรง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เขาอย่างมั่นคง “ที่นี่ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น และไม่มีวันตกเป็นของพวกคุณ”

“โอ้ แต่ฉันต่างออกไป” วิกเตอร์กล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าของเขาเหมือนเสียงกระทืบที่บดขยี้ความสงบ “ฉันมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง และไม่สนว่าใครจะต้องเสียสละเพื่อมัน”

ชายชุดดำของซินดิเคทก้าวออกมาจากเงามืด แต่ละคนถืออาวุธที่เปื้อนเลือดอยู่ในมือ บางคนหัวเราะในลำคอ บางคนกระซิบกันด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำกับสวนและผู้พิทักษ์ของมัน

“เรามาเล่นเกมกันดีกว่า” วิกเตอร์กล่าว เขาหันไปหาลูกน้อง “จับมันไว้ให้แน่น แต่จำไว้ว่าต้องไม่ทำให้มันตาย…จนกว่าข้าจะได้สิ่งที่ต้องการ”

ลูกน้องของเขาไม่รอช้า พวกมันพุ่งเข้าไปล้อมโรซาลี เธอปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาเป็นเกราะป้องกัน สวนรัตติกาลสั่นสะเทือน ดอกไม้เรืองแสงสว่างจ้าราวกับจะช่วยเธอสู้ แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป และเวทมนตร์ของเธอเริ่มอ่อนแรงลง

“ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของเรา อ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก! คิดว่าฉันจะปล่อยให้ร่ายเวทมนตร์ต่อเหรอ แกคิดผิดแล้ว” วิกเตอร์หัวเราะ

เขาเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเธอที่ทรุดอยู่บนพื้น “แกจะต้องพาฉันไปยังต้นไม้ลับ และเปิดเผยพลังของมัน หรือไม่…ฉันจะทำให้ลูกชายของแกเป็นคนสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้”

คำขู่นั้นทำให้โรซาลีเบิกตากว้าง เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ “อย่าแตะต้องเขา…”

“ฉันจะทำอะไรก็ตามที่จำเป็น” วิกเตอร์กล่าว เสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ดังนั้น จงเลือกให้ดี แกจะยอมทำตาม หรือจะให้ทุกสิ่งที่แกรักถูกทำลายต่อหน้าต่อตา”

โรซาลีสบตากับเขา สายตาของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะไม่มีวันยอมให้พลังของสวนตกอยู่ในมือของคนอย่างแก”

“งั้นก็จบสิ” วิกเตอร์กระซิบ พร้อมหันไปสั่งลูกน้อง “ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้ ก็ทำลายมันซะ!”

ลูกน้องของเขาเริ่มทำลายสวน ดอกไม้ที่เคยงดงามถูกเหยียบย่ำ เถาวัลย์ถูกตัดจนขาดสะบั้น โรซาลีสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างเกราะป้องกันบางส่วนของสวน เธอปิดผนึกความลับของสวนไว้กับต้นโอ๊ก ร่างของเธอเปล่งแสงสีทอง ก่อนที่พลังนั้นจะหมดลง

วิกเตอร์มองดูเธอล้มลง รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “ในที่สุด…ราชินีผู้ไร้พลัง”

โรซาลีต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่เธอมี ใช้เวทมนตร์ทั้งหมดเพื่อปกป้องสวนและลูกชายของเธอ แต่ด้วยคนที่มากกว่าเธอถูกล้อมและอัศวินของเธอไม่อยู่ในขณะนั้น ทำให้เธอถูกเอาชนะ ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอร่ายเวทมนตร์สุดท้ายเพื่อปิดผนึกความลับของสวน ตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความรักขณะที่เธอกระซิบ “เพื่อลูก ริน ที่รัก เพื่อลูกเสมอ”

เมื่อวิกเตอร์เห็นเช่นนั้น จึงตะโกน “ดี! ถ้าเราไม่ได้พลัง คนอื่นก็ห้ามเอามันไป ฆ่ามันซะ”

รินมองด้วยความตกใจอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เห็นแม่ของตนล้มลงกับพื้น น้ำตาไหลลงใบหน้าเขากัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น น้ำหนักของช่วงเวลานั้นบดขยี้เขา ด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ รินวิ่งออกจากที่ซ่อนด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อออกจากสวน เขาไม่หยุด ไม่หันกลับมามอง หลบหนีเข้าสู่ความมืดด้วยความกลัวที่เป็นเพื่อนคนเดียวของเขา

เมื่อพ่อของเคลและทหารที่เหลือกลับมาถึงสวน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น ร่างของโรซาลีผู้เป็นที่รักนอนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางลานที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับเย็นเยียบและเงียบงัน จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่แตกสลายของทุกคน

“ฝ่าบาท...” พ่อของเคลกระซิบ เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนสายลมที่ขาดห้วง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดเกราะทรุดลงคุกเข่า มือที่เคยมั่นคงสั่นระริกเมื่อยื่นออกไปสัมผัสร่างของราชินีที่เขาเทิดทูน

“กระหม่อม…มาสายเกินไป” เขากล่าวด้วยเสียงสะอื้น ราวกับคำพูดนั้นตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าเมื่อสัมผัสกับความเย็นจากผิวเธอ “กระหม่อมสาบานว่าจะปกป้องฝ่าบาท...แต่กระหม่อมล้มเหลว กระหม่อมขออภัย… กระหม่อมขออภัยจริง ๆ”

ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ เขาโอบร่างของโรซาลีไว้ในอ้อมแขน มืออีกข้างลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทเสียสละทุกอย่างเพื่อปกป้องสวน...กระหม่อมกลับไร้ความสามารถแม้แต่จะช่วยชีวิตฝ่าบาท”

ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นเคลตัวน้อยที่ยืนอยู่ห่างออกไป เด็กชายจ้องมองร่างไร้ชีวิตของโรซาลีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ขาของเขาสั่นเหมือนจะทรุดลงทุกเมื่อ

“ราชินี...” เคลกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงของเขาแตกพร่า ขณะที่ร่างเล็ก ๆ พยายามก้าวเข้าไปใกล้ พ่อของเคลรีบเอื้อมมือไปจับตัวลูกชายไว้ โอบเขาแน่นในอ้อมกอด

“อย่า…อย่าดูเลยลูก” เขากระซิบ น้ำเสียงสั่นเครือราวกับคนหัวใจใกล้จะแตกสลาย “มันไม่ใช่ความผิดของลูก…มันเป็นความผิดของพ่อ…”

ทหารคนอื่น ๆ ที่กลับมาพร้อมกันต่างยืนนิ่ง ทุกคนต่างก้มหน้า หลายคนปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มในความเงียบที่โศกเศร้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด เพราะไม่มีคำใดที่สามารถบรรเทาความสูญเสียนี้ได้

ทันใดนั้น หนึ่งในทหารพยายามตั้งสติและเอ่ยขึ้น “แล้ว… เจ้าชายล่ะ? เจ้าชายอยู่ที่ไหน?”

คำถามนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางวง ทุกคนชะงักและมองไปรอบ ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขาเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ขาดหายไป เจ้าชายริน ซึ่งเป็นความหวังเดียวของสวนแห่งนี้

“เจ้าชาย!” เสียงของทหารอีกคนดังขึ้น “เราต้องหาเจ้าชาย! เขาอาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวน”

พ่อของเคลรีบลุกขึ้น แม้หัวใจจะหนักอึ้ง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าหน้าที่ของตนยังไม่จบ

“กระจายกำลังออกไปค้นหาเจ้าชายทันที!” เขาสั่ง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเร่งด่วนและกังวล “อย่าให้มีมุมใดของสวนที่ไม่ถูกตรวจสอบ เจ้าชายต้องอยู่ที่นี่…ต้องอยู่ที่นี่…”

“เจ้าชาย! ท่านอยู่ที่ไหน!” ทหารทุกคนเริ่มออกค้นหา พวกเขาเรียกชื่อรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงสะท้อนก้องไปทั่วสวนรัตติกาล แต่ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีสัญญาณของเจ้าชายที่พวกเขาปกป้องด้วยชีวิต

เมื่อการค้นหาผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไร้วี่แววของเจ้าชาย พวกเขากลับมายังลานที่ร่างของโรซาลีนอนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเหนื่อยล้า แต่ไม่มีใครยอมละทิ้งความพยายามที่จะหาเจ้าชาย

“กระหม่อมขอโทษ ฝ่าบาท…กระหม่อมไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปกป้องฝ่าบาท แต่กระหม่อมยังปล่อยให้เจ้าชายหายไป…” พ่อของเคลคุกเข่าลงข้างร่างของโรซาลีอีกครั้ง ก่อนมองใบหน้านิ่งสงบของเธอ น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมความมุ่งมั่นที่แตกสลาย

“แต่กระหม่อมสัญญา…กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ความเสียสละของฝ่าบาทไร้ความหมาย กระหม่อมจะหาเจ้าชายให้พบก่อนที่อะไรเลวร้ายจะเกิดขึ้น…กระหม่อมจะปกป้องพระองค์ในฐานะอัศวิน…และในฐานะคนที่เทิดทูนฝ่าบาทที่สุดในชีวิต”

เขาเงยขึ้นมองทหารที่ล้อมรอบ ใบหน้าของเขาเปื้อนน้ำตา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เจ้าชายคืออนาคตของสวนนี้ คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา พวกเจ้าได้ยินไหม? เราจะหาเจ้าชายให้พบ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน หรือเจอกับอะไรก็ตาม”

“พวกเราจะหาเจ้าชายให้พบ!” ทหารทุกคนพยักหน้า น้ำตาเอ่อในดวงตา แต่พวกเขากล่าวปฏิญาณพร้อมกันอย่างมุ่งมั่น

เมื่อทุกคนช่วยกันฝังร่างของโรซาลีในที่ที่เธอรักที่สุด ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉารอบ ๆ เหมือนจะยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ราวกับแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย แสงจันทร์สาดส่องลงบนหลุมศพของเธออย่างอ่อนโยน เสียงลมที่พัดผ่านเหมือนเสียงกระซิบอันเศร้าสร้อยของสวน

พ่อของเคลลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฝ่าบาท…กระหม่อมสัญญา สวนนี้และเจ้าชายของฝ่าบาท… กระหม่อมจะปกป้องพวกเขาจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของกระหม่อมจะหมดลง”

สวนรัตติกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน เสียงนั้นราวกับเป็นคำตอบรับจากดินแดนที่เคยเป็นของราชินีที่พวกเขารัก

“เคล” เขาเริ่มพูดเบาๆ ราวกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง” ครอบครัวของเราถูกเลือกให้เป็นอัศวินของสวนนี้มาหลายชั่วอายุคน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะปกป้องมันและผู้ที่เชื่อมโยงกับมัน เมื่อพ่อไม่อยู่ หน้าที่นี้จะตกเป็นของลูก ลูกต้องหาตัวเจ้าชายและปกป้องเขา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”

เขารู้ว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าชายน้อยหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง การหาตัวเขาจะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของเด็กชายเท่านั้น แต่เพื่ออนาคตของสวนเอง

หลายปีผ่านไป เคลเติบโตขึ้นมาเป็นผู้พิทักษ์ของสวน แต่เขายังได้ยินคำพูดของพ่อที่ก้องอยู่ในใจ เขาใช้เวลามากมายหลายค่ำคืนในการตามหาเจ้าชายที่สูญหาย หวังจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์

เคลมักจะพบว่าตัวเองอยู่ในสวน สถานที่ที่พ่อของเขาเคยยืน คิดถึงสิ่งที่เขาต้องปกป้องไว้ เขาเคยพบชื่อโรซาลีหลายครั้งในบันทึกโบราณของสวน และยิ่งเขาเรียนรู้มากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกถึงภาระหน้าที่ของตนมากขึ้นเท่านั้น

สวนที่มีบรรยากาศลึกลับและความลับที่ฝังลึกยังคงเป็นที่หลบภัย ภารกิจของเคลชัดเจน เพื่อปกป้องสวนและมรดกของโรซาลี เพื่อให้แน่ใจว่าซินดิเคทจะไม่สามารถเข้าถึงพลังของมัน เขารู้ว่าการหาตัวรินและปกป้องเป็นชะตากรรมของตนเช่นเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อได้ทำนายไว้

คืนหนึ่ง ขณะที่เคลยืนอยู่ข้างต้นไม้ลับ พลันรู้สึกถึงการปรากฏตัวที่คุ้นเคย เขาเคยสงสัยว่าจิตวิญญาณของพ่อยังเฝ้าดูสวนอยู่หรือไม่ คืนนี้เขารู้สึกถึงมันอย่างแรงกล้า

“ผมจะหาตัวเขาให้เจอครับ พ่อ” เคลกระซิบบอกต้นไม้ลับ” ผมจะปกป้องเขาและสวน ผมสัญญา”

ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่างอยู่เบื้องบน สวนดูเหมือนจะส่งเสียงพึมพำด้วยความเห็นชอบ กุหลาบต้องห้ามที่ซ่อนลึกในสวนเริ่มแสดงสัญญาณของชีวิต กลีบดอกเริ่มคลี่ออกอย่างช้า ๆ ใต้แสงจันทร์

เคลรู้ว่าการเดินทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความทรงจำของพ่อและคำสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ ทำให้เขาพร้อมเผชิญกับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า พลังและความลับของสวนจะยังคงได้รับการปกป้อง และเขาจะหาตัวเจ้าชายให้เจอ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 33 วิหารเงาแสงสะท้อนแสงแห่งชีวิต

    ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 32 อาณาจักรของสวนรัตติกาล

    เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 31 ปัญหาเรื่องเดิมอีกครั้ง

    หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 30 หัวใจแห่งอาราเลีย

    เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 29 อำนาจที่ไม่เคยได้รับ ความรักที่ไม่เคยได้ชม

    หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 28 ผู้อาวุโสผู้มาพร้อมกับข่าวร้าย

    เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status