ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง
“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ
“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”
แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลีย
หนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด มีรายงานว่าผู้บริสุทธิ์กำลังถูกทำร้าย!”
“ก่อจลาจลงั้นหรือ? เกิดขึ้นได้อย่างไร?” โรซาลียืนขึ้นทันที ความวิตกกังวลในใจของเธอเพิ่มมากขึ้น
“เราไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ กลุ่มคนร้ายกำลังทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และ...เราได้ยินว่ามีคนติดอยู่ในเมือง รวมถึงเด็กหนุ่มชื่อเคล ธอร์นด้วยครับ เขาถูกล้อมอยู่ในย่านการค้า”
โรซาลีหันไปหาหัวหน้าอัศวิน พ่อของเคล “คุณต้องไปช่วยพวกเขา รวมถึงเคลด้วย”
“แต่ฝ่าบาท...” หัวหน้าอัศวินกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล “ถ้าเราส่งอัศวินออกไป สวนจะเหลือกำลังป้องกันเพียงน้อยนิด มันเสี่ยงเกินไปหากศัตรูโจมตีในตอนนี้”
โรซาลีสูดลมหายใจลึก เธอรู้ดีถึงความเสี่ยง แต่เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อผู้บริสุทธิ์ที่กำลังทุกข์ทรมาน “ความปลอดภัยของผู้คนในเมืองสำคัญยิ่งนัก ฉันจะดูแลสวนเอง คุณนำกำลังที่ดีที่สุดไปช่วยพวกเขา และอย่าให้เคลเป็นอะไรไป”
แม้จะกังวลแต่หัวหน้าอัศวินก็พยักหน้าด้วยความเคารพ ก่อนนำอัศวินส่วนใหญ่ของสวนออกจากพื้นที่ มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์
ขณะเดียวกัน ในความมืดของป่าโดยรอบ วิกเตอร์ยืนอยู่ท่ามกลางลูกน้องของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นแสงไฟและควันไฟจากการจลาจลที่เขาวางแผนเอง
“พวกมันหลงกล” วิกเตอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “อัศวินส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมือง สวนรัตติกาลเหลือเพียงกำลังป้องกันเล็กน้อย ตอนนี้...มันเป็นของเรา”
เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ลูกน้องเริ่มเคลื่อนไหว คนในชุดดำกระจายตัวเงียบ ๆ ไปทั่วสวน เหมือนเงาที่คืบคลานเข้ามา ดอกไม้ที่เคยบานสะพรั่งเริ่มหุบตัว เหมือนรับรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังมาเยือน
รินกำลังเล่นใกล้ ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงดังของแม่ ซึ่งปกติจะมีเสียงที่เรียบ อบอุ่น และปลอบโยน ทว่ายามนี้กลับเต็มไปด้วยความเร่งด่วนและความกลัว
“ริน รีบซ่อนตัว อยู่ที่ซ่อนให้ดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” โรซาลีบอกเขา ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอผลักเขาเข้าไปในที่ซ่อนเล็ก ๆ
รินเชื่อฟัง หัวใจเต้นรัวขณะที่มองดูแม่ของเขาเผชิญหน้ากับผู้ชายของซินดิเคท วิกเตอร์ ซึ่งเป็นผู้นำการจู่โจม ยืนอยู่หน้าโรซาลีพร้อมรอยยิ้มที่โหดร้าย
โรซาลียืนรออยู่แล้ว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การโจมตีแบบสุ่ม แต่มันคือการวางแผนอย่างรอบคอบ และเป้าหมายของพวกมันก็คือสวนแห่งนี้
“ราชินีแห่งสวนรัตติกาล” วิกเตอร์กล่าว น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความดูถูก “แกปกป้องที่นี่ได้ดี แต่คืนนี้...จะเป็นคืนสุดท้ายของการปกครองของแก!”
โรซาลียืนตรง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เขาอย่างมั่นคง “ที่นี่ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น และไม่มีวันตกเป็นของพวกคุณ”
“โอ้ แต่ฉันต่างออกไป” วิกเตอร์กล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าของเขาเหมือนเสียงกระทืบที่บดขยี้ความสงบ “ฉันมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง และไม่สนว่าใครจะต้องเสียสละเพื่อมัน”
ชายชุดดำของซินดิเคทก้าวออกมาจากเงามืด แต่ละคนถืออาวุธที่เปื้อนเลือดอยู่ในมือ บางคนหัวเราะในลำคอ บางคนกระซิบกันด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำกับสวนและผู้พิทักษ์ของมัน
“เรามาเล่นเกมกันดีกว่า” วิกเตอร์กล่าว เขาหันไปหาลูกน้อง “จับมันไว้ให้แน่น แต่จำไว้ว่าต้องไม่ทำให้มันตาย…จนกว่าข้าจะได้สิ่งที่ต้องการ”
ลูกน้องของเขาไม่รอช้า พวกมันพุ่งเข้าไปล้อมโรซาลี เธอปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาเป็นเกราะป้องกัน สวนรัตติกาลสั่นสะเทือน ดอกไม้เรืองแสงสว่างจ้าราวกับจะช่วยเธอสู้ แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป และเวทมนตร์ของเธอเริ่มอ่อนแรงลง
“ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของเรา อ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก! คิดว่าฉันจะปล่อยให้ร่ายเวทมนตร์ต่อเหรอ แกคิดผิดแล้ว” วิกเตอร์หัวเราะ
เขาเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเธอที่ทรุดอยู่บนพื้น “แกจะต้องพาฉันไปยังต้นไม้ลับ และเปิดเผยพลังของมัน หรือไม่…ฉันจะทำให้ลูกชายของแกเป็นคนสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้”
คำขู่นั้นทำให้โรซาลีเบิกตากว้าง เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ “อย่าแตะต้องเขา…”
“ฉันจะทำอะไรก็ตามที่จำเป็น” วิกเตอร์กล่าว เสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ดังนั้น จงเลือกให้ดี แกจะยอมทำตาม หรือจะให้ทุกสิ่งที่แกรักถูกทำลายต่อหน้าต่อตา”
โรซาลีสบตากับเขา สายตาของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะไม่มีวันยอมให้พลังของสวนตกอยู่ในมือของคนอย่างแก”
“งั้นก็จบสิ” วิกเตอร์กระซิบ พร้อมหันไปสั่งลูกน้อง “ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้ ก็ทำลายมันซะ!”
ลูกน้องของเขาเริ่มทำลายสวน ดอกไม้ที่เคยงดงามถูกเหยียบย่ำ เถาวัลย์ถูกตัดจนขาดสะบั้น โรซาลีสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างเกราะป้องกันบางส่วนของสวน เธอปิดผนึกความลับของสวนไว้กับต้นโอ๊ก ร่างของเธอเปล่งแสงสีทอง ก่อนที่พลังนั้นจะหมดลง
วิกเตอร์มองดูเธอล้มลง รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “ในที่สุด…ราชินีผู้ไร้พลัง”
โรซาลีต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่เธอมี ใช้เวทมนตร์ทั้งหมดเพื่อปกป้องสวนและลูกชายของเธอ แต่ด้วยคนที่มากกว่าเธอถูกล้อมและอัศวินของเธอไม่อยู่ในขณะนั้น ทำให้เธอถูกเอาชนะ ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอร่ายเวทมนตร์สุดท้ายเพื่อปิดผนึกความลับของสวน ตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความรักขณะที่เธอกระซิบ “เพื่อลูก ริน ที่รัก เพื่อลูกเสมอ”
เมื่อวิกเตอร์เห็นเช่นนั้น จึงตะโกน “ดี! ถ้าเราไม่ได้พลัง คนอื่นก็ห้ามเอามันไป ฆ่ามันซะ”
รินมองด้วยความตกใจอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เห็นแม่ของตนล้มลงกับพื้น น้ำตาไหลลงใบหน้าเขากัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น น้ำหนักของช่วงเวลานั้นบดขยี้เขา ด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ รินวิ่งออกจากที่ซ่อนด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อออกจากสวน เขาไม่หยุด ไม่หันกลับมามอง หลบหนีเข้าสู่ความมืดด้วยความกลัวที่เป็นเพื่อนคนเดียวของเขา
เมื่อพ่อของเคลและทหารที่เหลือกลับมาถึงสวน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น ร่างของโรซาลีผู้เป็นที่รักนอนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางลานที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับเย็นเยียบและเงียบงัน จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่แตกสลายของทุกคน
“ฝ่าบาท...” พ่อของเคลกระซิบ เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนสายลมที่ขาดห้วง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดเกราะทรุดลงคุกเข่า มือที่เคยมั่นคงสั่นระริกเมื่อยื่นออกไปสัมผัสร่างของราชินีที่เขาเทิดทูน
“กระหม่อม…มาสายเกินไป” เขากล่าวด้วยเสียงสะอื้น ราวกับคำพูดนั้นตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าเมื่อสัมผัสกับความเย็นจากผิวเธอ “กระหม่อมสาบานว่าจะปกป้องฝ่าบาท...แต่กระหม่อมล้มเหลว กระหม่อมขออภัย… กระหม่อมขออภัยจริง ๆ”
ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ เขาโอบร่างของโรซาลีไว้ในอ้อมแขน มืออีกข้างลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทเสียสละทุกอย่างเพื่อปกป้องสวน...กระหม่อมกลับไร้ความสามารถแม้แต่จะช่วยชีวิตฝ่าบาท”
ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นเคลตัวน้อยที่ยืนอยู่ห่างออกไป เด็กชายจ้องมองร่างไร้ชีวิตของโรซาลีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ขาของเขาสั่นเหมือนจะทรุดลงทุกเมื่อ
“ราชินี...” เคลกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงของเขาแตกพร่า ขณะที่ร่างเล็ก ๆ พยายามก้าวเข้าไปใกล้ พ่อของเคลรีบเอื้อมมือไปจับตัวลูกชายไว้ โอบเขาแน่นในอ้อมกอด
“อย่า…อย่าดูเลยลูก” เขากระซิบ น้ำเสียงสั่นเครือราวกับคนหัวใจใกล้จะแตกสลาย “มันไม่ใช่ความผิดของลูก…มันเป็นความผิดของพ่อ…”
ทหารคนอื่น ๆ ที่กลับมาพร้อมกันต่างยืนนิ่ง ทุกคนต่างก้มหน้า หลายคนปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มในความเงียบที่โศกเศร้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด เพราะไม่มีคำใดที่สามารถบรรเทาความสูญเสียนี้ได้
ทันใดนั้น หนึ่งในทหารพยายามตั้งสติและเอ่ยขึ้น “แล้ว… เจ้าชายล่ะ? เจ้าชายอยู่ที่ไหน?”
คำถามนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางวง ทุกคนชะงักและมองไปรอบ ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขาเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ขาดหายไป เจ้าชายริน ซึ่งเป็นความหวังเดียวของสวนแห่งนี้
“เจ้าชาย!” เสียงของทหารอีกคนดังขึ้น “เราต้องหาเจ้าชาย! เขาอาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวน”
พ่อของเคลรีบลุกขึ้น แม้หัวใจจะหนักอึ้ง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าหน้าที่ของตนยังไม่จบ
“กระจายกำลังออกไปค้นหาเจ้าชายทันที!” เขาสั่ง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเร่งด่วนและกังวล “อย่าให้มีมุมใดของสวนที่ไม่ถูกตรวจสอบ เจ้าชายต้องอยู่ที่นี่…ต้องอยู่ที่นี่…”
“เจ้าชาย! ท่านอยู่ที่ไหน!” ทหารทุกคนเริ่มออกค้นหา พวกเขาเรียกชื่อรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงสะท้อนก้องไปทั่วสวนรัตติกาล แต่ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีสัญญาณของเจ้าชายที่พวกเขาปกป้องด้วยชีวิต
เมื่อการค้นหาผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไร้วี่แววของเจ้าชาย พวกเขากลับมายังลานที่ร่างของโรซาลีนอนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเหนื่อยล้า แต่ไม่มีใครยอมละทิ้งความพยายามที่จะหาเจ้าชาย
“กระหม่อมขอโทษ ฝ่าบาท…กระหม่อมไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปกป้องฝ่าบาท แต่กระหม่อมยังปล่อยให้เจ้าชายหายไป…” พ่อของเคลคุกเข่าลงข้างร่างของโรซาลีอีกครั้ง ก่อนมองใบหน้านิ่งสงบของเธอ น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมความมุ่งมั่นที่แตกสลาย
“แต่กระหม่อมสัญญา…กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ความเสียสละของฝ่าบาทไร้ความหมาย กระหม่อมจะหาเจ้าชายให้พบก่อนที่อะไรเลวร้ายจะเกิดขึ้น…กระหม่อมจะปกป้องพระองค์ในฐานะอัศวิน…และในฐานะคนที่เทิดทูนฝ่าบาทที่สุดในชีวิต”
เขาเงยขึ้นมองทหารที่ล้อมรอบ ใบหน้าของเขาเปื้อนน้ำตา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เจ้าชายคืออนาคตของสวนนี้ คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา พวกเจ้าได้ยินไหม? เราจะหาเจ้าชายให้พบ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน หรือเจอกับอะไรก็ตาม”
“พวกเราจะหาเจ้าชายให้พบ!” ทหารทุกคนพยักหน้า น้ำตาเอ่อในดวงตา แต่พวกเขากล่าวปฏิญาณพร้อมกันอย่างมุ่งมั่น
เมื่อทุกคนช่วยกันฝังร่างของโรซาลีในที่ที่เธอรักที่สุด ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉารอบ ๆ เหมือนจะยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ราวกับแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย แสงจันทร์สาดส่องลงบนหลุมศพของเธออย่างอ่อนโยน เสียงลมที่พัดผ่านเหมือนเสียงกระซิบอันเศร้าสร้อยของสวน
พ่อของเคลลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฝ่าบาท…กระหม่อมสัญญา สวนนี้และเจ้าชายของฝ่าบาท… กระหม่อมจะปกป้องพวกเขาจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของกระหม่อมจะหมดลง”
สวนรัตติกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน เสียงนั้นราวกับเป็นคำตอบรับจากดินแดนที่เคยเป็นของราชินีที่พวกเขารัก
“เคล” เขาเริ่มพูดเบาๆ ราวกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง” ครอบครัวของเราถูกเลือกให้เป็นอัศวินของสวนนี้มาหลายชั่วอายุคน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะปกป้องมันและผู้ที่เชื่อมโยงกับมัน เมื่อพ่อไม่อยู่ หน้าที่นี้จะตกเป็นของลูก ลูกต้องหาตัวเจ้าชายและปกป้องเขา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
เขารู้ว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าชายน้อยหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง การหาตัวเขาจะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของเด็กชายเท่านั้น แต่เพื่ออนาคตของสวนเอง
หลายปีผ่านไป เคลเติบโตขึ้นมาเป็นผู้พิทักษ์ของสวน แต่เขายังได้ยินคำพูดของพ่อที่ก้องอยู่ในใจ เขาใช้เวลามากมายหลายค่ำคืนในการตามหาเจ้าชายที่สูญหาย หวังจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์
เคลมักจะพบว่าตัวเองอยู่ในสวน สถานที่ที่พ่อของเขาเคยยืน คิดถึงสิ่งที่เขาต้องปกป้องไว้ เขาเคยพบชื่อโรซาลีหลายครั้งในบันทึกโบราณของสวน และยิ่งเขาเรียนรู้มากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกถึงภาระหน้าที่ของตนมากขึ้นเท่านั้น
สวนที่มีบรรยากาศลึกลับและความลับที่ฝังลึกยังคงเป็นที่หลบภัย ภารกิจของเคลชัดเจน เพื่อปกป้องสวนและมรดกของโรซาลี เพื่อให้แน่ใจว่าซินดิเคทจะไม่สามารถเข้าถึงพลังของมัน เขารู้ว่าการหาตัวรินและปกป้องเป็นชะตากรรมของตนเช่นเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อได้ทำนายไว้
คืนหนึ่ง ขณะที่เคลยืนอยู่ข้างต้นไม้ลับ พลันรู้สึกถึงการปรากฏตัวที่คุ้นเคย เขาเคยสงสัยว่าจิตวิญญาณของพ่อยังเฝ้าดูสวนอยู่หรือไม่ คืนนี้เขารู้สึกถึงมันอย่างแรงกล้า
“ผมจะหาตัวเขาให้เจอครับ พ่อ” เคลกระซิบบอกต้นไม้ลับ” ผมจะปกป้องเขาและสวน ผมสัญญา”
ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่างอยู่เบื้องบน สวนดูเหมือนจะส่งเสียงพึมพำด้วยความเห็นชอบ กุหลาบต้องห้ามที่ซ่อนลึกในสวนเริ่มแสดงสัญญาณของชีวิต กลีบดอกเริ่มคลี่ออกอย่างช้า ๆ ใต้แสงจันทร์
เคลรู้ว่าการเดินทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความทรงจำของพ่อและคำสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ ทำให้เขาพร้อมเผชิญกับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า พลังและความลับของสวนจะยังคงได้รับการปกป้อง และเขาจะหาตัวเจ้าชายให้เจอ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด