“เจ้าพูดจริงหรือ ฮ่า ฮ่า” เหลียงเฟิงหวงหัวเราะจนไหล่โยก เรื่องราวที่เขาได้รับรู้ทั้งหมด มันช่างทำให้สำราญใจยิ่งนัก
“เสด็จลุงสือเอ๋อร์ไม่มีทางโกหกแน่นอนเพคะ” เยว่สือหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่ หลายวันมานี้นางเทียวเข้าเทียวออกวังเหลียงอ๋องอยู่บ่อยครั้ง ทำให้อีกฝ่ายหัวเสียไม่น้อยที่ถูกแย่งเวลาของภรรยาไป
“แล้วที่เจ้าพูดว่ากำลังจะมีหลานจริงหรือ มิได้หลอกตาแก่อย่างข้าให้ดีใจเล่นหรอกนะ” ความเป็นจริงแล้ว แม้พระองค์จะมีหลานที่เกิดจากโอรสพระธิดาแล้วหลายคน แต่คนที่เฝ้ารอมากที่สุดก็คงจะเป็นเหลียงเฟิงบุตรชายที่เกิดจากสตรีที่ตนรักมากที่สุด คนเป็นพ่อไม่ต้องการอะไรมากแค่เพียงได้เห็นบุตรของตนเอง มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาเท่านั้นก็พอใจแล้ว
“เป็นความจริงเพคะ ตอนนี้น่าจะราว ๆ สี่เดือนเห็นจะได้” ดูจากหน้าท้องที่นูนขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด ก็มิอาจจะปิดกั้นสายตาหมอหญิงอย่างนางได้ อีกทั้งเรื่องราวทั้งหมด ได้มีการยืนยันอย่างแน่ชัดจากท่านหมอต้วนแล้วด้วย
“มิน่าเล่าเจ้านั่นถึงได้รีบถ่อมาขอตำแหน่งให้พี่สะใภ้เจ้า พอข้าไม่อนุญาต เจ้านั่นจากไปไม่เหลียวหลังไม่พูดกับข้าสักคำ” เมื่อนึกถึงวันที่โอรสเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานตำแหน่งหวังเฟย พระองค์ก็อดที่จะเคืองไม่ได้ ด้วยวันนั้นเหลียงเฟิงเดินออกไปไม่เหลียวหลัง ไม่เห็นหัวพ่อคนนี้เลยสักนิด
“เสด็จลุงพี่สะใภ้น่ารักมากเลยเพคะ ทำของอร่อยให้หม่อมฉันกิน แม้หม่อมฉันจะแกล้งเสแสร้งเพียงใดพี่สะใภ้ก็ยังวางตัวได้ดี ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดพี่เฟิงตามใจทุกอย่าง ดูแล้วทั้งคู่คงรักกันมากเลยนะเพคะ”
“ไม่คิดว่าเจ้าคนดื้อด้านเช่นนั้นจะยอมอ่อนให้สตรี” เหลียงเฟิงหวงลูบเคราสีดอกเลาพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก พึงพอใจกับสิ่งที่พระองค์ได้รับฟัง
“แล้วเสด็จลุงจะให้สือเอ๋อร์เลิกแกล้งพี่เฟิงได้หรือยังเพคะ หม่อมฉันอยากจะสนิทกับพี่สะใภ้มากกว่า ไม่อยากให้นางเกลียดหม่อมฉันเพคะ” การได้แกล้งพี่ชายก็ดีอยู่หรอก แต่ก็กลัวจะทำให้พี่สะใภ้เกลียดนางเสียก่อนที่แผนจะสิ้นสุดน่ะสิ ถึงตอนนั้นคงจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
“ตามใจเจ้าเถอะ ถ้ามีเรื่องดี ๆ ก็อย่าลืมมาบอกตาแก่คนนี้บ้างล่ะ” วันทั้งวันอยู่แต่ภายในวัง น้อยนักที่จะมีโอกาสได้สำราญกับเรื่องนอกวังเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นบิดาไม่ได้เรื่อง แต่ความรักที่มีให้โอรสและพระธิดาไม่ได้ลดน้อยไปกว่าบิดาคนอื่น ๆ เลย
“เพคะเสด็จลุง” เยว่สืออยู่พูดคุยกับเสด็จลุงของนางไม่นาน นางจึงขอตัวลากลับจวน การเล่นละครบังหน้าที่ผ่านมา ถึงคราวต้องล้มเลิกเสียที
ยามซวี (19.00-20.59 น.)
หนิงเซียนที่เพิ่งดื่มนมก่อนนอนกำลังเดินรอบ ๆ ห้อง เพื่อออกกำลังกายย่อยอาหารก่อนเข้านอน อีกทั้งตอนนี้นางเริ่มรู้สึกว่าตนเองอ้วนฉุขึ้นมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก ออกแรงมากเหมือนเมื่อก่อนไม่ค่อยได้ และยังเหนื่อยง่าย
ในระหว่างเดินย่อยอาหารเสียงเดินเป็นขบวนจากด้านนอกตำหนัก ทำให้หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าเหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ หรือจะเรียกให้ดีก็คงจะเป็นขบวนได้กระมัง เพราะมีเพิ่มขึ้นมาจากเดิมห้าคนบัดนี้มีทั้งหมดแปดคน
นางกำนัลแต่ละคนล้วนแล้วแต่รู้หน้าที่ ไม่ยุ่งวุ่นวายสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย อีกทั้งไม่มีนางกำนัลคนใดมองหนิงเซียนด้วยความเดียดฉันท์เหมือนดังก่อนหน้า ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้หนิงเซียนสงสัยเช่นกัน มันช่างแตกต่างจากนิยายไปโดยสิ้นเชิง ท่านอ๋องเอาแต่ใจนิสัยโหดร้าย ยิ่งบ่าวรับใช้ภายในวังด้วยแล้วก่อนนางจะเข้ามาสวมร่าง หนิงเซียนคนเก่าถูกรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนผู้เป็นนายแม้จะเห็นเหตุการณ์ทว่าก็นิ่งเฉยมิได้เข้ามาช่วยเหลือแต่อย่างใด
เสียงวางถังน้ำและสิ่งของ จากนั้นไม่นานประตูได้ถูกปิดลง ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปให้ความสนใจ ทุกคืนก่อนนอนมักจะมีนางกำนัลเข้ามาปรนนิบัติ นำน้ำอุ่นเข้ามาให้นางแช่เท้าและนวดเท้าให้ แต่คราวนี้พวกนางนำเพียงอุปกรณ์วางไว้ให้ แล้วก็ออกจากห้องไปจนหมด เหลือไว้เพียงท่านอ๋องตัวร้ายให้อยู่กับนางสองต่อสอง
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน