“เจ้ามานั่งตรงนี้สิ” เหลียงเฟิงตรงเข้ามาประคองหนิงเซียนอย่างอ่อนโยน กายหนานั่งลงคุกเข่ากับพื้น ก่อนจะยกเท้าภรรยาลงถังน้ำที่ได้เตรียมเอาไว้สำหรับแช่เท้า
“ท่านอ๋องไม่ได้นะเพคะ ใครมาเห็นเข้ามันไม่ดีต่อท่าน” หลังจากหายตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย หนิงเซียนรีบคว้ามือหนาในตอนที่กำลังจะนวดเท้าให้นางไว้ได้ทัน
“ถ้าไม่อยากตายก็ให้มันผู้นั้นพูดไปสิ ข้านวดเท้าให้เจ้าจะเป็นไรไป ใช่เรื่องผิดเสียเมื่อไรกัน” เหลียงเฟิงดึงมือบางออกจากการเกาะกุม จากนั้นจึงค่อย ๆ วักน้ำรดเท้าเล็กของภรรยาให้ทั่ว แล้วลงมือนวดไปตามนิ้วเท้าเลยไปจนถึงฝ่าเท้า แต่กระนั้นก็มิวายทำให้หนิงเซียนต้องร้องเพราะความเจ็บอยู่ดี
“ท่านอ๋องเบากว่านี้ได้หรือไม่เพคะ” หญิงสาวร้องซี๊ดเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบทุกครั้งที่นิ้วกดลงผิวหนัง
“ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ” ชายหนุ่มลดแรงการกดจุดลงอีกเท่าตัว เมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายของภรรยา ก็ทำให้เขารู้ว่าตนเองทำถูกใจนางแล้ว จึงนวดเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
หนิงเซียนเฝ้ามองอีกคนอย่างเผลอไผล ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กำลังตั้งใจนวดให้นางอย่างสุดความสามารถ ใครจะไปคิดเล่าท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ จะลดตัวลงมาทำเช่นนี้ให้นางอย่างไม่รังเกียจ แล้วอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้กัน ท่านอ๋องต้องทำตัวโหด ใจดำอำมหิตแบบฉบับของตัวร้ายสิถึงจะถูกตาม แล้วคนที่อยู่ตรงหน้านางคือผู้ใด
“หนิงเซียน ข้าถามได้หรือไม่เจ้าโกรธข้าเรื่องอะไร” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เหลียงเฟิงจึงได้เปิดถามสิ่งที่เขาอยากรู้
“พระองค์ทำอะไรกับหม่อมฉันไว้ล่ะเพคะ โดยเฉพาะเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้อย่างไร” เรื่องที่นางท้องก็ยังไม่กระจ่าง และยังจะมีเรื่องนางเอกเพิ่มเข้ามาอีก ทั้งที่นางพยายามจะหลีกหนีให้พ้นแล้วก็ตาม หากไม่ต้องการตั้งแต่แรก มิสู้ปล่อยให้นางและลูกไปตามทางไม่ดีกว่าหรือ
“เช่นนั้นเจ้าตอบคำถามข้าสักข้อได้หรือไม่ แล้วข้าจะตอบคำถามเจ้าทั้งหมด”
“อะไรหรือเพคะ”
“เจ้าเป็นใคร”
“ม่ะ หม่อมฉันก็หนิงเซียนอย่างไรเล่าเพคะ” หญิงสาวตอบด้วยคำถามได้ไม่เต็มเสียงนัก และยังรู้สึกตกใจกับคำถามที่ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะสงสัยตนเอง หรือว่านางพลาดอะไรไปให้เขาจับได้กันแน่
“เจ้าไม่ใช่ แม้หน้าตาจะคล้ายหนิงเซียน แต่เจ้าไม่ใช่”
วันนั้นเขาได้พบนางโดยบังเอิญข้างสระบัวท้ายจวนด้วยท่าทางเหม่อลอย ผ่านไปไม่กี่วันซ่งกงกงกลับมารายงานอนุคนใหม่นอนแน่นิ่งอยู่ภายในห้อง
ในตอนนั้นตนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซ่งกงกงจัดการ จนกระทั่งได้พบนางอีกครั้งกับความรู้สึกที่แปลกใหม่เพียงชั่วพริบตาที่ได้เห็น นำพาไปสู่การสั่งให้คนพานางเข้าถวายตัวภายในคืนนั้น
อุ่นเตียงครั้งแรกยังไม่มั่นใจเท่าใดนัก แต่เมื่อได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งที่สอง และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนานนับเดือน ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าสตรีผู้นี้มิใช่หนิงเซียนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะตำหนิตรงไฝใต้ตาเม็ดเล็ก ๆ นั่น
เดิมทีหนิงเซียนมีไฝใต้ตาด้านซ้าย แต่คนตรงหน้าเขากลับไม่ใช่ นางมีมันอยู่ด้านขวา กระนั้นแทนที่เหลียงเฟิงกลับถูกใจนางมากกว่าคนเก่าเป็นไหน ๆ
หญิงสาวเอาแต่นิ่งตัวแข็งทื่ออย่างคาดไม่ถึง ทั้งที่นางคิดว่าตนเองรู้ดีที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้อยู่แล้วหรือเรื่องที่นางไม่ใช่ตัวจริง หนิงเซียนหลบสายตาชายหนุ่มไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดเผยความจริงให้อีกฝ่ายได้รู้ทั้งหมด เพราะถ้าไม่บอกตอนนี้สักวันก็ต้องบอกอยู่ดี
“หม่อมฉันไม่ใช่คนในโลกนี้เพคะ เป็นเพียงคนที่เข้ามาสวมร่างผู้อื่นเท่านั้น”
“ไม่ใช่คนในโลกนี้ แล้วโลกของเจ้าเป็นเช่นไร ต่างกันอย่างไรกับที่นี่” เหลียงเฟิงไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่นางบอกเท่าใดนัก แม้จะฟังดูเหนือธรรมชาติแต่ก็มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้
“ที่นี่เป็นโลกนิยายเพคะ ส่วนหม่อมฉันมาจากโลกแห่งความเป็นจริง” ในขณะที่กำลังพูด หญิงสาวก็เฝ้าสังเกตสีหน้าอ๋องหนุ่มไปด้วย นางไม่คาดหวังให้เขาเชื่อ แต่ก็รับไม่ได้หากต้องเจอกับสายตาที่มองมาราวกับตนเองเป็นตัวประหลาด
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน