“บัดซบเอ๊ย ทำไมฉันต้องมาเจอสองแม่ลูกนั้นที่นี่ด้วย” น้ำเสียงพิมพิศาเต็มไปด้วยความเดือดดาล เธอกัดฟันข่มโทสะที่กำลังลุกโชน พลางยกมือขึ้นกอดอกอย่างขัดเคืองใจ ใบหน้างามบูดบึ้งคล้ายคนไม่ได้ปลดทุกข์มาหลายวัน อยากจะวิ่งไปจับศีรษะน้องสาวต่างมารดาโขกกับโต๊ะอาหารจริงๆ
“หยุดเลยยัยพิมพ์ แกจะตามไปตบสองคนนั้นกลางร้านอาหารไม่ได้นะ”
“แกห้ามฉันทำไมยัยเอม ดูพวกมันสิยังกล้าใช้ชีวิตอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ได้ ในมโนสำนึกคงไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหลงเหลืออยู่เลยสินะ” ร่างบางปรายตามองคู่กรณีด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
“แกเคยได้ยินสุภาษิตนี้ไหม ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ถ้าแม่ของน้องสาวแกสั่งสอนมาดีจะเป็นแบบนี้หรือ ตบร้อยรอบก็ไม่สำนึกหรอกจะตบให้เสียมือทำไม” เอมิกาเตือนสติเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง พิมพิศาอะไรก็ดี เสียแต่อารมณ์ร้ายนี่แหละที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย ไม่ใช่ว่าเข้าข้างเพื่อนจนไม่ลืมหูลืมตา เธอเติบโตมาพร้อมกับพิมพิศาตั้งแต่เด็กๆ รู้จักนิสัยเพื่อนสนิทคนนี้ดี ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องก่อนพิมพิศาก็ไม่ยุ่งวุ่นวายกับใครหรอก ยกเว้นเสียแต่สองแม่ลูกนั่น เห็นทีไรเป็นต้องเดือดดาลทุกที
“อุ๊ย หนูพิมพ์มาทำอะไรที่นี่คะ พอดีว่าแม่ เอ๊ย น้ากับน้องแพรแวะมาทานข้าวรอคุณทัพทองเลิกงาน นั่งทานด้วยกันไหมคะ” กัญญาลอยหน้าลอยตาถามลูกเลี้ยงที่กำลังจะเดินออกจากร้านพลางเหยียดยิ้มเยาะหยัน
“เหอะ เรียกชื่อพ่อฉันคล่องปากเชียวนะ คุณป้าไม่เห็นหรือคะว่าคนอื่นเขาไม่อยากทักทาย อ้อแล้วก็จำไว้ด้วยว่าฉันมีแม่แค่คนเดียว อย่าถือตัวว่าเป็นเมียน้อยแล้วกระแดะแทนตัวเองว่าแม่ให้ฉันได้ยินอีก มันระคายหู” พิมพิศาตวาดเสียงดังพลางปรายตามองสองแม่ลูกที่เธอเกลียดชังราวกับขยะชิ้นหนึ่งก็มิปาน แถมยังเป็นขยะเปียกที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่ารบกวนชาวบ้านเขาไปทั่ว
“เกินไปแล้วนะคะพี่พิมพ์ คุณแม่ไม่ใช่เมียน้อยใคร คุณพ่อหย่ากับป้าเอมอรไปตั้งนานแล้ว พี่พิมพ์จะมาหยาบคายใส่แม่แพรแบบนี้ไม่ได้” แพรลดาแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะอับอายผู้คนรอบข้าง เธอยังยืนกรานหนักแน่นในความคิดของตัวเอง ตั้งแต่เด็กจนโตพิมพิศาหยาบคายอยู่เสมอซึ่งเธอไม่ชอบเลยจริงๆ
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อฉันมีปาก ฉันจะเรียก อย่ามาเสแสร้งทำตัวไร้เดียงสาหน่อยเลย ใครๆ เขาก็รู้ว่าแม่เธอแอบนอนกับพ่อฉันตั้งแต่ตอนทำงานเป็นเลขา ไม่งั้นจะคลอดเธอออกมาหลังจากคุณพ่อหย่าขาดกับคุณแม่ของฉันแค่ไม่กี่เดือนได้ยังไง แล้วไงหล่ะ พ่อฉันเขาจดทะเบียนสมรสกับแม่เธอไหม เมียที่ไม่มีทะเบียนสมรสเขาเรียกว่าอะไรนะยัยเอม” ร่างบางแกล้งถามเพื่อนสนิทพลางขึงตาใส่น้องสาวที่เสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์เหมือนหยาดน้ำค้าง
“เพราะคุณป้าเอมอรนั่นแหละที่ทำให้คุณพ่อไม่ยอมจดทะเบียนสมรส” ไม่รอให้พี่สาวพูดจบ แพรลดาก็อ้าปากสวนทันทีด้วยความคับข้องใจ
“เลิกทำตัวเป็นเหยื่อได้แล้วมันน่ารำคาญ แม่เธอโง่เองต่างหาก โง่ที่ทำให้ผู้ชายอยู่ในโอวาทไม่ได้”
“กรี๊ดดดดด พิมพิศา นังเด็กแม่ไม่สั่งสอน” กัญญากรีดร้องเสียงหลง ดวงตาเหี่ยวย่นจ้องมองลูกเลี้ยงที่กำลังพ่นถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แม่ฉันสอนแล้วแต่ฉันไม่จำ มีอะไรไหม” พิมพิศายักคิ้วกวนบาทาแสดงออกชัดเจนว่าเธอพร้อมจะเปิดศึกฟาดฟันในวงสนทนานี้ อยากรู้เหลือเกินว่าแม่เลี้ยงจะรักษามาดผู้ดีที่พยายามเสแสร้งมาตลอดได้นานแค่ไหน
“มองอะไรนังเด็กไม่มีแม่สั่งสอน” เมื่อไม่สามารถทำอะไรลูกเลี้ยงได้ กัญญาจึงหันไปตวาดใส่เอมิกาแทน
“ไม่มีแม่สั่งสอน ก็ดีกว่ามีแม่ที่สั่งสอนให้ลูกสาวแย่งแฟนคนอื่นนะคะ” เอมิกาขมวดคิ้วพลางยกมือเท้าสะโพกด้วยความรำคาญใจ มีอย่างที่ไหนเถียงสู้คนอื่นไม่ได้แล้วมาพาลกับเธอ
“พวกเด็กนรก” หญิงวัยกลางคนโมโหเลือดขึ้นหน้า อยากเข้าไปตบสั่งสอนเด็กบ้าสองคนนี้ใจจะขาดแต่ติดที่ต้องรักษามาดผู้ดีต่อหน้าสังคม จึงทำได้เพียงกระแทกส้นเท้าแล้วเดินจากไป ทว่าในใจหมายมั่นจะเอาคืนในสักวัน
“เสียเวลาชะมัด” พิมพิศาพึมพำขณะถูกเพื่อนสาวลากตัวขึ้นรถ การปะทะคารมเมื่อครู่พานทำให้เธอหมดอารมณ์อยากอาหารไปเสียดื้อๆ
“ฉันนึกว่าแกจะเปิดศึกตบตีกับแม่เลี้ยงกลางร้านอาหารซะแล้ว” เอมิกาพรูลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันตลอดเวลาคลายออกเล็กน้อย
“แกกลัวอะไร ถ้าตบกันจริงๆ ฉันไม่ให้แกร่วมวงด้วยหรอก ขอกระชากหัวสองแม่ลูกนั่นคนเดียวให้สาสมกับที่รอคอยมานาน”หลังจากพูดจบพิมพิศาก็ถูกเพื่อนรักถองศอกใส่สีข้างเบาๆ เพราะหมั่นไส้ นอกจากไม่สำนึกแล้วเธอยังแกล้งแสยะยิ้มเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว ทำเอาเอมิกาหัวเราะลั่น ความตึงเครียดพลันหายไปและบรรยากาศสดชื่นก็หลั่งไหลเข้ามาแทนที่
“ฉันพูดเพราะเป็นห่วงแกนะ ถึงตอนนี้คนพวกนั้นยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ แต่อีกไม่นานเวรกรรมก็ตามทัน เชื่อฉันเถอะ อย่าไปเกลือกกลั้วกับพวกเขาเลย” เอมิกาเตือนสติเพื่อนรักอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คิดว่าน่าจะหนักหนาพอสมควรเพราะเพื่อนรักถึงกับจำฝังใจ
เธอกับพิมพิศาโตมาด้วยกันราวกับพี่น้อง หากไม่มีคุณหญิงเอมอรเมตตาในวันนั้น เด็กกำพร้าแบบเธอจะมีชีวิตราวกับคุณหนูอย่างเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร ถ้าพิมพิศาเป็นคนไม่ดีจริงๆ คงรังเกียจเธอไปนานแล้ว นอกจากจะไม่รังเกียจยังแบ่งของเล่น ของกิน และเสื้อผ้าให้เสมอ พิมพิศาได้อะไรเธอก็ได้เหมือนกันนั่นเป็นสิ่งที่เพื่อนรักกระทำมาตลอด ดังนั้นความทุกข์ใจของพิมพิศาจึงกลายเป็นความทุกข์ใจของเธอเช่นเดียวกัน
“เมื่อไหร่วะเอม เมื่อไหร่เวรกรรมจะตามทันพวกมันสักที ฉันรอมายี่สิบปีแล้วนะ รอมาตั้งแต่นังแพรลดาเกิดจนถึงตอนนี้ พวกมันยังสุขสบายดีแถมชูคอเป็นงูเห่าแว้งกัดไม่เลิก ฉันไม่อยากรอแล้ว” พิมพิศากัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ลึกสุดใจ
เธอยังจำมันได้ดีเสมอ ภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ภาพที่พวกท่านด่าทออีกฝ่ายด้วยถ้อยคำหยาบคาย ภาพที่หญิงชู้เข้ามาเย้ยหยันคุณแม่ถึงในบ้าน ภาพที่คุณพ่อเอาอกเอาใจนังกัญญาจนลืมวันเกิดของเธอ ภาพที่คุณพ่อเผลอตบตีคุณแม่ก่อนครอบครัวจะแหลกสลาย และเหตุการณ์น่าอดสูอีกมากมายยังติดตาไม่ลืมเลือน เธอทั้งโกรธทั้งเกลียดสองแม่ลูกนั่นและที่สำคัญเธอผิดหวังในตัวคุณพ่อสุดๆ เขาเป็นบุรุษที่ทำให้โลกทั้งใบของเธอพังทลาย แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ณ บ้านพักคนชราสุดหรูย่านชานเมือง
“เอม แกรู้จักคุณอิษวัติป่ะ”
“ไม่อ่ะ แกถามทำไม” ร่างบางเงยหน้าจากแฟ้มประวัติคนไข้ก่อนตอบเพื่อนรัก พิมพิศาดั้นด้นหนีจากแผนกมาร์เก็ตติ้งมานั่งหาวหวอดๆ ในห้องพักของเธอราวกับคนไม่มีการมีงาน
หลังจากเรียนจบเธอก็ได้รับมอบหมายให้เข้ามาบริหารบ้านพักคนชราสุดหรู ซึ่งคุณหญิงเอมอรชูจุดขายสำคัญอย่างการรับดูแลเฉพาะผู้สูงอายุชาวต่างชาติเงินหนา บ้านพักแห่งนี้จึงสามารถทำกำไรได้มหาศาลภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี นอกจากนี้ยังมีธุรกิจดั้งเดิมอย่างการเปิดเช่าคอนโดมิเนียม ตลาดสด และหอพักนักศึกษา ซึ่งในส่วนนี้พิมพิศาเป็นคนดูแลรับผิดชอบ
“คุณแม่บอกให้ฉันลองคบกับเขาดูแต่เขามีลูกติด ถึงจะเป็นลูกบุญธรรมก็เถอะ แกคิดว่าไง” ร่างบางย้ายสะโพกกลมกลึงมานั่งตรงข้ามเพื่อนรักพลางขอความคิดเห็น
“อืม ไม่รู้สิ ถ้าคุณแม่ชอบเขาคงไม่ใช่คนเลวร้าย”
“โอ๊ย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย” พิมพิศาบ่นกระปอดกระแปดใส่ เธออุตส่าห์อู้งานมาขอคำแนะนำจากมันสมองอันชาญฉลาดของเอมิกาทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้อะไร
“อ้าว ถ้าแกอยากรู้ทำไมไม่ลองไปพบเขาดูหล่ะ จะคาดเดาให้เสียเวลาทำไม” คนถูกกล่าวหาตอบปัดเสียงเนือย
“เหอะ อีตานั่นหาตัวง่ายเสียเมื่อไหร่ ในแวดวงสังคมฉันไม่เคยเจอตัวจริงเขาสักครั้ง”
“แกมูฟออนจากคุณเอกได้แล้วเหรอ” เอมิกาเลิกคิ้วถามระคนแปลกใจ
“ใครว่าหล่ะ ฉันสนใจเขาเพราะเป็นพี่ชายคนละแม่กับเอกราชต่างหาก” ดวงตากลมโตเปล่งประกายแวววาวขณะพูดถึงอิษวัติ จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างน่าขนลุกให้เพื่อนรักอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ว่าไงนะ” ร่างบางหันขวับมองพิมพิศาทันที คิดว่าตัวเองฟังผิดเพี้ยนไป
“แกจะตกใจอะไรหนักหนา ช่วยฉันหาวิธีเจอเขาหน่อย”
“ปล่อยฉันไปเถอะเพื่อนรัก ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในแผนการร้ายของแก” คุณหมอคนสวยร้องขอชีวิตสุดกำลัง พลางนึกสงสารผู้ชายดวงซวยคนนั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนรักของเธอวางแผนจะทำอะไรกับเขา
“ถ้าแกไม่ช่วยฉันจะฟ้องคุณแม่ โดยเฉพาะเรื่องที่แกเคยพาฉันไปเที่ยวบาร์โฮส” พิมพิศายกเรื่องในอดีตมาข่มขู่ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเป็นคนหว่านล้อมให้เอมิกาเกิดความอยากรู้อยากเห็นจนต้องทำเรื่องห่ามๆ
“ก็ได้ๆ ถ้าเจอพ่อยาก ทำไมแกไม่ลองไปเจอลูกเขาก่อนหล่ะ จะได้รู้ด้วยว่าเด็กคนนั้นนิสัยเป็นยังไง เข้ากับแกได้ไหม เจอลูกยังไงก็ต้องเจอพ่อ”
“อืม อยากได้พ่อก็ต้องเข้าหาลูกสินะ ทำไมฉันคิดไม่ได้เนี่ย” เมื่อปัญหากวนใจถูกไขจนกระจ่างร่างบางก็สะบัดตูดหนี ไม่เสียแรงเลยที่ยอมแบกหน้ามาปรึกษาเอมิกา
พิมพิศารู้สึกว่าความบังเอิญนั้นช่างเหมาะเจาะเสียจริง วันก่อนคุณแม่มาฝอยจนน้ำลายแตกฟองให้ฟังว่าลูกสาวของอิษวัติเรียนที่ไหน เนื่องจากหลานสาวเพื่อนคุณแม่เองก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน เสียดายที่ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ช่างเถอะ เธอแค่ไปตามหาที่โรงเรียนก็พอ จากนั้นค่อยสรุปว่าจะเอายังไงต่อดี
“ยัยพิมพ์ เดี๋ยวๆ โอ๊ย แกอย่าไปทำร้ายลูกใครเขานะ” เอมิกาตะโกนไล่หลัง สัญชาตญาณของเธอร้องเตือนว่าอีกไม่นานคงมีเรื่องมาให้ปวดหัวแน่ๆ
กาลเวลาผันผ่านตามวัฏจักรชีวิตแต่สวนหลังบ้านของตระกูลธาราวรวงศ์บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่วิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกคาเมเลียลอยมาตามลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางสนามหญ้าอิษวัติและพิมพิศานั่งเคียงข้างกัน ดวงตาสองคู่ทอดมองไปยังเด็ก ๆ ทั้งห้าคนที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน น้องดากลายเป็นเด็กหญิงวัย 12 ขวบ ที่ชอบยืนกอดอกทำหน้าตาขึงขัง แสดงบทบาทของพี่สาวคนโตที่ต้องดูแลน้องชายตัวแสบทั้งสี่คน"พวกตัวแสบ" คือชื่อที่พิมพิศาใช้เรียกเหล่าลูกชาย แม้หน้าตาพวกเขาจะละม้ายคล้ายคลึงกับอิษวัติราวกับถอดแบบมา แต่ลักษณะนิสัยนั้นกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน พี่ชายคนโตของบ้านอย่าง อิงฟ้าหรือ (อิงค์) ตัวสูงใหญ่ มีความสุขุมและใจเย็นกว่าใครเพื่อน มักรับบทเป็นหัวหน้าทีมคอยควบคุมสถานการณ์ เมื่อการละเล่นระหว่างฝาแฝดทั้งสี่เริ่มเกินขอบเขต เขาจะเป็นคนตะโกนว่า “พอได้แล้ว” เสมอ และที่สำคัญคือเขาชอบอ่านนิทานก่อนนอน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่หรืออัศวินผู้กล้าส่วนลูกชายคนที่สองอย่าง อัศวินหรือ (อัช) นั้นเป็นเด็กจอมแก่น พลังงานล้นเหลือและมีความกล้าบ้าบ
พิมพิศาซบศีรษะลงบนไหล่ของอิษวัติ ดวงตาคู่งามทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มือบางค่อยๆ หมุนแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้ายเล่นอย่างเพลิดเพลิน“คุณอิฐคะ” ร่างบางสบตาเขาอย่างออดอ้อน“หืม ว่าไงครับ” อิษวัติแตะปลายจมูกภรรยาด้วยความมันเขี้ยว ทั้งที่เขาเองยังพะเน้าพะนอเธอไม่ห่าง แถมยังยอมวางเอกสารในมือลงเพื่อพูดคุยกับเธอโดยเฉพาะ“อยากได้ลูกสาวหรือลูกชายคะ” พิมพิศาถามเสียงใสพลางซุกหน้าเขาไปในอกกว้างจนเขาเกิดอาการจั๊กจี้ ร่างสูงหัวเราะหึในลำคอด้วยความเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าตอบช้าๆ“ลูกสาวหรือลูกชายก็ได้ครับ ขอแค่มีเจ้าตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนเราสองคนมาเดินเตาะแตะอยู่ในบ้าน”“แหม พูดซะเห็นภาพเลยนะคะ ว่าแต่ทำไมพิมพ์ยังไม่ท้องอีกล่ะ ปล่อยมาตั้งนานแล้ว” ร่างบางตัดพ้ออย่างแง่งอน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง เธอยู่ปากเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อให้ดูน่ารักน่าชังในสายตาของสามี“รออีกหน่อยสิครับ เดี๋ยวลูกก็มา” อิษวัติปลอบโยนภรรยาเสียงเรียบ แต่ดูเหมือนว่าคำตอบนั้นจะไม่เป็นที่น่าพอใจ พิมพิศาแกล้งทำหน้าครุ่นคิดแล้วหันไปมองเขาอย่างล้อเลียน “อืม ถ้าปัญหาไม่ได้อยู่ที่พิมพ์ งั้นปัญหาก็คงอยู่ที่คุณอิฐแล้วล่ะค่ะ”“เมื่อกี้คุณว่า
เอกราชนั่งนิ่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ดวงตาคมทอดมองเอกสารในมืออย่างเหม่อลอย ข้อความกว่าร้อยบรรทัดมีรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เขาจัดการให้กับแพรลดา หญิงสาวผู้เคยเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่ารัก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์กลับพังทลายลงเหลือเพียงเศษซากความขมขื่นชายหนุ่มถอนหายใจยาวเพราะความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาในอก ไม่ว่าแพรลดาจะเคยทำอะไรกับเขาหรือครอบครัว แต่ความจริงที่เธอเคยมีใจให้เขาและยอมทุ่มเททำสิ่งต่างๆ เพื่อเขาก็ยังคงอยู่ การส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศพร้อมกับเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอได้สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน แต่บรรยากาศระหว่างเอกราชและแพรลดากลับดูเงียบเหงา หญิงสาวสวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีเบจยืนกอดกระเป๋าสะพายแน่น จ้องมองไปยังอดีตสามีด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เสียดาย และต้องการตัดใจ"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ" แพรลดาเอ่ยเสียงสั่น"ขอให้พบกับผู้ชายที่รักคุณจริง ๆ และขอให้คุณมีชีวิตที่ดีนะครับ" น้ำเสียงเอกราชราบเรียบแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ชาย
แสงอาทิตย์ยามเย็นทอประกายสีทองอ่อนไล้ไปตามยอดไม้ สาดกระทบลงมาในสวนหลังบ้านที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งมวลบุปผชาติ กลีบดอกคาเมเลียสีขาวนวลและสีชมพูอ่อนบานสะพรั่ง หยาดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกสะท้อนแสงเป็นประกายพราวระยับราวกับอัญมณีที่ธรรมชาติบรรจงรังสรรค์เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นบนทางเดินก้อนกรวด ดวงตากลมโตเบิกบานสดใส พิมพิศาเดินนำหน้าชายหนุ่มผู้เป็นสามีอย่างกระตือรือร้น เมื่อเห็นว่าคนข้างหลังมัวแต่โอ้เอ้ก็เอ่ยเร่ง “คุณอิฐ เดินเร็วๆ สิคะ”อิษวัติที่สวมเสื้อเชิ้ตสบาย ๆ ก้าวไปข้างหน้าตามคำสั่ง สายตาคมทอดมองไปยังทุ่งดอกคาเมเลียที่บานสะพรั่งอยู่เต็มสวน กลีบดอกสีขาวนวลพลิ้วไหวตามแรงลมราวกับเต้นระบำ กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมา กระทบจมูกชวนให้รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดใจ“สวยมากครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชม นัยน์ตาสะท้อนภาพความงดงามของทุ่งดอกคาเมเลียที่บานสะพรั่ง แต่เมื่อเหลือบมองไปยังคนข้างกาย เขาก็พบว่าสิ่งที่สวยที่สุดในตอนนี้คือเธอพิมพิศาโอ้อวดฝีมือของตัวเองท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ สายลมเอื่อยพัดปลายผมของเธอจนปลิวสยายไปด้านหลัง แก้มขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจากแสงอาทิตย์ยามอัสดง องค์ประกอบทั้งหมดส่งเส
แพรลดานั่งอยู่หน้ากระจกเงาในห้องนอน ดวงตาเรียวสวยจ้องมองภาพเงาสะท้อนของตัวเองที่ดูอิดโรยและเหนื่อยล้า เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตแต่งงานของเธอจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เธอต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และยอมปล่อยมือหลายเดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เธอพยายามแล้ว พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะรักษาสถานะภรรยาเอาไว้ แต่สุดท้ายความพยายามของเธอมันไร้ค่าในสายตาเอกราช เขาไม่ได้รักเธอมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เธอควรยอมรับมันได้แล้ว การเดินออกจากชีวิตของเอกราชอย่างสง่างาม คงจะดีกว่าการถูกเขาไล่เหมือนหมูเหมือนหมานิ้วมือเรียวยาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแม้จะลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจกดโทรออกหาปลายสาย รอเพียงไม่นานชายหนุ่มก็ตอบรับแล้วเอ่ยว่า"มีอะไร" เสียงของเอกราชยังคงเย็นชาและห่างเหิน ไม่มีวี่แววความอ่อนโยนเหมือนดังเก่าก่อนผสมมาแม้แต่น้อย"พวกเราเจอกันหน่อยได้ไหมคะ แพรมีเรื่องจะคุยด้วย" ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกพยายามบังคับเสียงให้ราบเรียบ ทั้งที่ความจริงแล้วก้อนสะอื้นกำลังจุกอยู่ในคอ"คุณอยากเจอผมที่ไหน" ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาเสียงห้วน"ร้า
ตั้งแต่วันที่เอกราชหลุดปากขอหย่า ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านที่เคยมีเสียงพูดคุยแว่วดังเป็นระยะ บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับป่าช้าตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เขากับแพรลดาแยกกันอยู่คนละห้อง ประตูที่เคยเปิดรับกันและกันถูกปิดตาย ไม่มีการทักทาย ไม่มีการสบตา และไม่มีแม้แต่คำพูดสั้น ๆ ที่คู่สามีภรรยาพึงมีให้กันมื้ออาหารกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุด ทั้งคู่นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก เอกราชตักอาหารเข้าปากเงียบ ๆ สายตาจับจ้องเพียงจานข้าวตรงหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้หญิงที่เคยนั่งเคียงข้าง ส่วนแพรลดาเองก็ไม่ต่างกัน เธอใช้ช้อนส้อมเขี่ยอาหารไปมาอย่างไร้จุดหมาย ความเงียบกลายเป็นเพื่อนที่อยู่กับพวกเขาในทุกช่วงเวลาบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกให้ทั้งคู่เดินสวนกัน เอกราชหยุดยืนเพื่อหลีกทางให้ แต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา แพรลดาเพียงปรายตามองเขา ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินผ่านไปอย่างเย่อหยิ่ง ทว่าหากสังเกตดี ๆ แววตาที่ฟาดฟันกันนั้น กลับแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ความเงียบงันอันยาวนานคล้ายกับเป็นบทลงโทษของพวกเขาทั้งคู่ ทุกคืนต้