บทที่ 71
หมั้นกันแล้ว
เหยียนหลิ่วไม่คิดจะปิดซ่อนความรู้สึกที่มีต่อตงตงอยู่แล้ว
แต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มก็แสดงออกอย่างชัดเจน ทั้งยังเชื่อว่าทุกคนย่อมรู้ความหมายในสิ่งที่เขาแสดงออกมา
ทันใดนั้น เหยียนหลิ่วลงไปคุกเข่าบนพื้น ต่อหน้าจางไคเฮ่อ
“อาจารย์ ข้ายอมรับว่าปิ่นไข่มุกชิ้นนี้มีความหมายซ่อนเร้นจริงๆ ขอรับ แต่…ไม่ใช่เรื่องไม่ดี”
จางไคเฮ่อตีหน้าขรึม
“หากข้าไม่ถาม เจ้าก็คงไม่คิดจะบอกนางสินะ”
“ข้าตั้งใจจะบอกนางเร็วๆ นี้ขอรับ”
“เร็วๆ นี้…?” จางไคเฮ่อทวนคำโดยจงใจใช้น้ำเสียงกดดัน “แล้วเร็วๆ นี้ของเจ้ามันเมื่อไรกันล่ะ หือ?”
“....”
ชายหนุ่มเม้มปาก นิ่งเงียบ
เขาตั้งใจรอให้ตงตงพร้อม ถึงค่อยบอกความรู้สึก จากนั้นก็ขอหมั้นหมาย
ทว่า…
กลับไม่รู้ว่า เมื่อไรนางถึงจะรู้ตัวว่าเขามีใจให้
ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองหญิงสาว จากนั้นค่อยหันกลับมาจางไคเฮ่อ
ในขณะที่เหยียนหลิ่วใช้ความคิด บรรยากาศในห้องโถงเริ่มคุกรุ่นด้วยแรงกดดันขึ้นเรื่อยๆ
ตงตงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบช่วยพูดแทนเหยียนหลิ่ว
“พี่หลิ่ว ท่านคงแค่พูดเล่นกระมัง ความจริงแล้ว ท่านให้ปิ่นไข่มุกกับข้า เพราะเห็นว่ามันสวยดีเท่านั้นใช่หรือไม่ แหะๆ”
เหยียนหลิ่วหันมองตงตงด้วยแววตาเต็มเปี่ยวด้วยความรัก จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ไม่หรอก อาจารย์พูดถูก ข้าให้เข้าเพราะมีเจตนาแฝงจริงๆ”
“จิ๊! ท่านนี่นะ เอ่อออตามข้าหน่อยก็ไม่ได้” ตงตงเดาะลิ้นพร้อมกับพูดประชด
เหยียนหลิ่วยิ้มจางๆ ให้กับนาง ก่อนจะหันมาทางจางไคเฮ่อ
“อาจารย์ขอรับ ตั้งแต่ที่ข้าได้พบกับตงตง หัวใจของข้าก็มีเพียงนางคนเดียว…วันที่ข้าตัดสินใจหนีออกจากบ้านกู้ ข้าก็สัญญากับตัวเอง ว่าจะสร้างฐานะ ทำให้ท่านกับนางภูมิใจให้ได้ วันนี้ข้าได้เป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจมแห่งสำนักราชองครักษ์หลวง ท่านภูมิใจตัวข้าหรือยังขอรับ”
“อืม”
จางไคเฮ่อตอบสั้นๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้มาตั้งนานแล้ว
“ข้าเองก็ภูมิใจในตัวพี่หลิ่ว ท่านใช้ความพยายามและความสามารถของตัวเองขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วย ท่านเก่งมากจริงๆ นะ” ตงตงเองก็ยอมรับ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอบอกความในใจของข้าได้หรือไม่…ตงตง ข้าชอบเจ้า ในใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว เจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่ ข้าไร้ทรัพย์สินเงินทอง ไร้แซ่ แต่ข้าสัญญาว่าจะไม่มีวันรับอนุเด็ดขาด จะรักเพียงเจ้าแค่คนเดียว” ชายหนุ่มพูดอย่างแน่วแน่และจริงใจ
ดวงตาของจางไคเฮ่อแสดงออกอย่างปลาบปลื้ม
แน่นอนว่า เพียงแค่แวบเดียวสั้นๆ เท่านั้น
ในขณะที่ตงตงเขินอายพูดไม่ออก จางไคเฮ่อก็เอ่ยขึ้นมา
“ข้าไม่รังเกียจลูกเขยที่ไร้ทรัพย์สิน ไม่มีแซ่ก็หาใช่สิ่งสำคัญ เป็นคนมีคุณธรรมต่างหากที่สำคัญ ตงตงก็คิดเช่นนั้น”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
เหยียนหลิ่วได้ฟังแบบนั้นแล้ว สีหน้าก็ยิ่งปรากฏความมั่นใจ เพราะเขารักและมั่นคงกับตงตงเพียงคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ข้านั้นแน่วแน่ในความจริงใจของเอง แล้วเจ้าเล่า…เจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่ ตงตง”
“ขะ ข้า…”
ตงตงอ้ำอึ้ง ทำเอาคนที่กำลังรอฟังคำตอบเกิดหวั่นใจ
หากเมื่อผ่านไปสักครู่ สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นเอียงอาย แต่แววตากลับฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ข้า…จะยอมรับคำขอของท่าน”
ทันใดนั้น หัวใจของเหยียนหลิ่วก็เหมือนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เจ้าจะไม่เสียใจทีหลังแน่นะ” จางไคเฮ่อถามบุตรสาว
“คนที่ข้าจะใช้ชีวิตร่วมจนแก่เฒ่า ไม่จำเป็นต้องเป็นมีชื่อเสียง หรือเป็นคนยิ่งใหญ่คับฟ้า ขอแค่เสมอต้นเสมอปลายกับข้าก็พอ” ตงตงบอกแบบนั้น
และแน่นอน นั่นคือคุณสมบัติที่เหยียนหลิ่วมีทั้งหมด
ได้ฟังคำตอบ เหยียนหลิ่วมองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยนและแฝงไว้ด้วยความรู้สึกลึกล้ำ
จางไคเฮ่อมองชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังจสบตากันอย่างหวานชื่น
แม้วันนี้ตำแหน่งของเหยียนหลิ่วมั่นคงแล้ว เงินเดือนก็ไม่น้อย แต่เหยียนหลิ่วก็ไม่เหลือบแลมองหญิงอื่น หรือแอบเที่ยวสถานเริงรมย์
เคยได้ยินมาว่า บุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการตามจีบเหยียนหลิ่ว หากเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวเจ้ากรมพิธีการ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยจู่โจมก็จะยิ่งมั่นคง
แต่ทว่า…
เหยียนหลิ่วกลับไม่เคยแสดงออกว่าสนใจฝ่ายหญิงแม้แต่นิดเดียว
แค่เรื่องนี้ก็ทำให้จางไคเฮ่อรู้สึกว่าเหยียนหลิ่วมีความมั่นคงเหมือนกับตัวเขาในอดีต
“อาจารย์ขอรับ?”
“ท่านพ่อ?”
เพราะเห็นจางไคเฮ่อเอาแต่นิ่งเงียบ เหยียนหลิ่วกับตงตงจึงกลัวว่าจะไม่ได้รับการอนุญาตให้คบหากันในฐานะคนรัก
สองหนุ่มสาว…ไม่สิ ทุกคนในห้องโถงต่างทำหน้าสีหน้าลุ้นระทึก
ตอนนั้นเอง จางไคเฮ่อเอ่ยขึ้นมา…
“ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าหมั้นกันก่อน เรื่องแต่งงานค่อยหารือทีหลัง”
เหยียนหลิ่วยิ้มกว้างในอกเอ่อล้นด้วยความสุข เมื่อได้ยินคำตอบของ ‘ว่าที่พ่อตา’
ในด้านตงตง และทุกคนล้วนดีใจไม่ต่างกัน
เหยียนหลิ่วที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ รีบโขกคำนับจางไคเฮ่อ
“อาจารย์ จากนี้ข้าจะดูแลตงตงอย่างดีขอรับ”
“หึ…ทุกวันนี้เจ้าก็ดูแลนางเป็นอย่างดีไร้ที่ติ ขืนดีกว่านี้ เจ้าไม่ยกขึ้นหิ้ง บูชานางเป็นเทพเจ้าเสียเลยเล่า”
จางไคเฮ่อไม่เพียงพูดประชด เขายังยิ้มแล้วส่ายหัว
รอยยิ้มของจางไคเฮ่อได้ทำลายบรรยากาศกดดันแล้วด้วย
ฝ่ายเหยียนหลิ่ว พอได้ยินคำประชดของว่าที่พ่อตา เขาพลันเกาแก้มยิ้มเขิน
สามวันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลจางปิดทำการ เนื่องจากเป็นวันหมั้นของเหยียนหลิ่วและตงตง
พิธีหมั้นหมายของทั้งสองจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
แลกของแทนใจ และยกน้ำชาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้
ทว่าเหยียนหลิ่วนั้นตัวคนเดียวมาตั้งแต่แรก
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจึงเป็นเว่ยจ้งที่เป็นหัวหน้าและผู้คุมสำนักราชองครักษ์หลวงทั้งหมด การหมั้นของทั้งสอง นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ของแทนใจของเหยียนหลิ่วคือเงินเก็บทั้งหมดและปิ่นไข่มุกทำมือ
ส่วนของแทนใจที่ตงตงมอบให้เหยียนหลิ่วก็คือมีดสั้น ด้ามจับและปอกหนังสลักอย่างประณีตและมีเอกลักษณ์
แน่นอนว่า ตงตงซื้อมีดสั้นเล่มนี้มาจากระบบออนไลน์จากร้านที่มีชื่อเสียง นอกจากจะมีราคาแพงมาก มีดสั้นเล่มนี้ยังเป็นของที่ขายจำนวนจำกัด
หากบอกว่าปิ่นไข่มุกทำมือของเหยียนหลิ่วเป็นของชิ้นเดียวในโลกนี้ มีดสั้นของตงตงที่มอบให้เขาก็เป็นของชิ้นเดียวในโลกนี้เหมือนกัน
“ยินดีกับพวกเจ้าด้วย” เว่ยจ้งกล่าว หลังจากเสร็จสิ้นพิธีหมั้นหมาย
“ขอบคุณท่านเว่ยขอรับ ข้าทำให้ท่านลำบากแล้ว” เหยียนหลิ่วประสานมือคำนับผู้อาวุโสสูงศักดิ์
“วันที่เจ้าบาดเจ็บและถูกเหิงเจาพามาที่เมืองหลวง ข้าได้แนะนำให้เจ้าสอบเข้าสำนักราชองครักษ์หลวง นับจากนั้น เจ้าก็ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ถือว่าข้ามองคนไม่ผิด แล้วยังมีอะไรที่เจ้าทำให้ข้าลำบากงั้นรึ” เว่ยจ้งกล่าว
“ขอบพระคุณที่ท่านเว่ยไว้ใจข้าเสมอมาขอรับ” เหยียนหลิ่วก้มศีรษะยอมรับคำชมของเว่ยจ้ง
“พวกเจ้าเหมาะสมกันมาก กำหนดวันแต่งงานได้เมื่อไร รีบบอกข้าเลยนะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
หลังพิธีหมั้น ต่อไปก็เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่จัดงานขึ้นภายในโรงเตี๊ยมตระกูลจาง
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม