บทที่ 77
จู่โจมรวดเร็ว
หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว
หากทว่า
กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ
ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี
พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป
ฟิ้ว…
“อึก!”
“อั่ก!!”
ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น
เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป
“แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่อ หัวหน้าเผ่าฮุยบ้าดีเดือดเหมือนกันแหะ...” แม่ทัพฟางอู่เซิงพึมพำ ก่อนจะสั่งให้พลทหารของตนบุกสังหารเผ่าฮุยให้สิ้นซาก
“ทหารทุกหน่วย บุก!”
“เฮ!!!”
ยามนี้ ทั้งสองทัพต่อสู้กันอยู่หน้าป้อมปราการอย่างอุตลุดวุ่นวาย
เสียงอาวุธปะทะกันอย่างดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บและล้มตายกันไม่น้อย
ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้นั้นผ่านไปนานเท่าใดแล้ว รู้เพียงว่ายิ่งนาน การต่อสู้ยิ่งดุเดือดรุนแรง
ยามนั้นเอง…
ท่ามกลางการต่อสู้ที่มองไม่เห็นจุดจบ ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบเผ่าฮุยก้าวอาดๆ ออกมายืนหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย
ตลอดเส้นทางที่ชายนักรบเผ่าฮุยก้าวเดิน รอบกายของเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา เหล่าทหารเผ่าฮุยและทหารของแคว้นเฉียนต่างมองด้วยแววตาหวาดระแวง
ณ ประตูป้อมปราการสูงตระหง่าน ชายในชุดนักรบเผ่าฮุยชูหัวของใครบางคนขึ้นมา โดยมืออีกข้างหนึ่งของเขากำดาบที่เปื้อนเลือด
ศีรษะนั้นเหมือนเพิ่งถูกสะบั้นใหม่ๆ เพราะโลหิตสีแดงสดไหลมาตลอดทาง
พลันนั้นเอง ชายคนนั้นก็ได้ตะเบ็งเสียง
“จงวางอาวุธ!”
เสียงอันก้องกังวาน ไม่เพียงทำให้กองทัพของเผ่าฮุยหยุดชะงัก แม้แต่ทัพของฟางอู่เซิงที่กำลังโรมรันกันสุดชีวิตยังไม่กล้าไหวติง
ทุกคนหันปลายดาบมาทางชายหนุ่มในชุดนักรบเผ่าฮุยด้วยท่าทางระแวดระวัง
ชายในชุดนักรบเผ่าฮุยตะเบ็งเสียงอีกครั้ง
“ต่อหน้าศีรษะของหัวหน้าพวกเจ้า แคว้นเฉียนสัญญาว่าจะไม่สังหารใครก็ตามที่ยอมจำนน!!”
ว่าจบ ชายคนนั้นก็โยนศีรษะหัวหน้าเผ่าฮุยลงพื้น
ตุบ…
เมื่อกองทัพเผ่าฮุยเห็นใบหน้าของเจ้าของศีรษะนั้นอย่างชัดเจน พวกเขารีบโยนอาวุธลงพื้น คุกเข่ายอมจำนนด้วยความสิ้นหวัง
ทหารของแคว้นเฉียนเห็นเช่นนั้นต่างชูดาบเฮลั่น
“ชนะแล้ว!”
“สังหารหัวหน้าเผ่าฮุยสำเร็จแล้ว!!”
ใช่ ชายที่สวมชุดนักรบเผ่าฮุยคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเหยียนหลิ่ว
ย้อนความกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ระหว่างที่แม่ทัพฟางอู่เซิงสั่งเคลื่อนทัพอยู่นอกป้อมปราการ เหิงเจาปกป้องคลังเสบียงอยู่ภายในป้อมปราการ ด้านเหยียนหลิ่วกับลูกน้องในหน่วยก็เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกอย่างเงียบๆ
หากหน่วยจู่โจมเคลื่อนไหว จะไม่มีการบอกแผนการให้ใครรู้อย่างเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ฟางอู่เซิงหรือเหิงเจาก็ไม่ทราบแผนการรบของเหยียนหลิ่ว
ค่ำคืนที่เงียบสงัด หน่วยจู่โจมของเหยียนหลิ่ว ลอบสังหารทหารเผ่าฮุยและแฝงตัวเข้าไปในกองทัพของพวกมัน
วิธีนี้เสี่ยงมาก แต่ถ้าทำสำเร็จ ผลแพ้ชนะจะถูกตัดสินทันที
และเมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มโรมรันกันนั้น เหยียนหลิ่วอาศัยความวุ่นวายเผด็จศึกหัวหน้าของเผ่าฮุย
จากนั้นการต่อสู้ระหว่างเหยียนหลิ่วกับหัวหน้าฝ่ายศัตรูนับว่าดุเดือดอย่างยิ่ง
แม้เผ่าฮุยจะได้เปรียบด้านพละกำลัง แต่การเคลื่อนไหวของเหยียนหลิ่วกลับไม่กระจอก เขาฟาดฟันดาบอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เพราะยังหนุ่มแน่น ทั้งยังมีพละกำลังที่เหลือล้น ชายหนุ่มจึงสามารถใช้กระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบั่นคอหัวหน้าของเผ่าฮุยได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี แม้วิธีนี้ไม่ต่างจากสุนัขลอบกัด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา เป็นที่น่าพอใจก็เพียงพอแล้ว
…..
…..
เดือนต่อมา
ข่าวทัพหลวงเอาชนะเผ่าฮุยได้ก็ส่งมาถึงเมืองหลวง
ชาวเมืองที่ทราบข่าวต่างยินดีกับเรื่องนี้ หากก็ยินดีกันไม่สุด เพราะในข่าวยังแจ้งว่าแม่ทัพกู้เหว่ยเสียชีวิตในสงคราม
นับเป็นข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับครอบครัวตระกูลกู้
อย่างไรก็ตาม
ครอบครัวของแม่ทัพกู้จะเป็นอย่างไรก็ช่าง จางไคเฮ่อสนใจเพียงว่า คู่หมั้นของบุตรสาวจะกลับมาเมื่อใดเท่านั้นเอง
“อาหลิ่วจะกลับมาเมื่อไรหรือ” จางไคเฮ่อถามบุตรสาวอย่างกระตือรือร้น
ตงตงที่กำลังอ่านจดหมายของเหยียนหลิ่วเงยหน้าขึ้นตอบบิดา
“ในจดหมายบอกว่า อีก 10 วันก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
“เห็นว่าครั้งนี้ คนที่ตัดหัวของหัวหน้าฝ่ายศัตรูได้เป็นพี่หลิ่ว” ตงตงกล่าว
“ฝีดาบของเขา ข้าเป็นคนสอน เขาเก่งขนาดนั้นก็เพราะข้า” จางไคเฮ่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ตงตงส่ายหัวอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง
หากบิดายังเป็นทหาร ป่านนี้คงขึ้นเป้นแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว
คิดจบ หญิงสาวพลันทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“ในจดหมายบอกว่า รองแม่ทัพเซิ่นที่ยังอยู่ป้อมปราการตะวันออก รอให้แม่ทัพคนใหม่มาประจำการ สนใจอาหารอัดแท่งและอาหารแห้งของโรงเตี๊ยมเราเจ้าค่ะ”
“จะว่าไป เมืองตะวันออกมีร้านตัวแทนหรือไม่” จางไคเฮ่อถาม
ตงตงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ร้านตัวแทนที่ใกล้ป้อมปราการตะวันออกที่สุด น่าจะเป็นโรงเตี๊ยมตระกูลฮัวที่เมืองเล่ยเจ้าค่ะ”
ป้อมปราการตะวันออกอยู่ชายแดนของเมืองอวิ่น ห่างจากเมืองเล่ยถึงสามเมือง หากเดินทางด้วยม้าจะใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์
“ดูเหมือนว่าไม่เกินสองอาทิตย์ โรงเตี๊ยมตระกูลฮัวคงส่งรายการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากมาให้เรา คงต้องสต๊อกสินค้าเยอะๆ แล้วสิ” จางไคเฮ่อบอก
“เห็นด้วยเจ้าค่ะ”
อาหารอัดแท่งกับอาหารแห้งของโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในกลุ่มทหารและผู้ที่มักจะเดินทางไกล
ปัจจุบันจึงมีโรงเตี๊ยมหลายแห่งทั่วแคว้นเฉียน ซื้อสินค้าจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางไปวางจำหน่าย
ตงตงกับจางไคเฮ่อเรียกโรงเตี๊ยมเหล่านั้นว่า ‘ร้านค้าตัวแทน’
จิ่งฝาง เสี่ยวกวางและอาฉี พอได้ยินเถ้าแก่ทั้งสองคุยกันเรื่องที่ต้องสต๊อกสินค้าเพิ่ม ไหล่ของพวกเขาต่างลู่ลงด้วยความห่อเหี่ยว
โดยเฉพาะจิ่งฝาง ถึงกับโพล่งถามออกมาทันที
“ท่านอาจาง เยอะที่ว่า ต้องเยอะแค่ไหนขอรับ”
“ก็…เยอะมากๆ น่ะ” จางไคเฮ่อตอบ เขาเองก็คำนวนปริมาณรายการสินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อไม่ได้เหมือนกัน
สินค้าส่วนใหญ่ ตงตงจะสั่งซื้อจากระบบร้านค้า ไม่ถือว่าหนักหนาแต่อย่างใด แต่ในขั้นตอนการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ นับเป็นงานหนักเลยทีเดียว
จิ่งฝางที่เป็นหัวหน้าห่อสินค้าถึงกับคร่ำครวญออกมา
“ฮือ…โรงงานนรกกำลังจะเปิดทำการแล้วสินะ”
“ข้าเริ่มรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาแล้วสิ”
“ข้าก็ด้วย”
เสี่ยวกวางกับอาฉีคือลูกทีมแพ็กสินค้า ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ไม่ต่างจากจิ่งฝาง
ทุกคนเห็นท่าทางหดหู่ของทั้งสาม อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาทำงานหนัก แต่ตงตงก็เพิ่มเงินพิเศษให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม