เซียวอวี้วางถ้วยสุราลงอย่างว่าง่าย น้ำเสียงผ่อนคลายสงบนิ่ง“ได้ ตามที่ฮองเฮาว่า”หลิวซื่อเหลียง : ?เหตุใดจึงไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาซะเลย?เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะฟังนางถึงเพียงนี้นางเพียงแต่เกรงว่าถ้าเขาดื่มมากจนเมามายไปจะทำลายแผนการของนางก็เท่านั้นขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ“ฝ่าบาท ครานี้แคว้นจ้าวพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สาแก่ใจยิ่งนัก!”“พวกเขาครอบครองผังการวางกำลังป้องกันปลอมดั่งสมบัติล้ำค่า จนนึกว่าจะสามารถทลายแนวป้องกันของหนานฉีเราได้ ช่างเพ้อเจ้อเสียจริง”“ฝ่าบาท ชายแดนเหนือมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘จางฉี่หยาง’ ครานี้สร้างผลงานการศึกไม่น้อยเลย มีอนาคตยิ่งนัก!”“จางฉี่หยาง? ชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง ใช่เด็กหนุ่มที่มอบหินเซวียนอิงให้เราในตอนนั้นหรือไม่?”“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนจิบสุราอึกหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเซียวอวี้เกิดความรู้สึกสนใจในตัวของจางฉี่หยางขึ้นมาศิษย์ของซูฮ่วน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาหากเขาสามารถทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป ราชสำนักย่อมไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ยุติธรรมแน่“ถ่ายทอดราช
เซียวอวี้ไม่ให้โอกาสเฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธ“เจ้าจำกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ได้หรือไม่“ยามนั้นเราโปรยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ใส่ร่างนักฆ่าหญิงผู้นั้น บนร่างของเจ้าเองก็มีเช่นกัน”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันนึกออกจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอีกว่า “กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้เป็นของที่ใช้ติดตามคน เมื่อกลิ่นติดตัวแล้ว ภายในสามวันไม่มีทางหลุดออก ทั้งยังไม่อาจกระจายไปยังผู้อื่นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักไปเล็กน้อยที่แท้ก็ความแตกมานานแล้วอย่างนั้นหรือ...เซียวอวี้จ้องนางนิ่ง ๆ“เจ้าใช้กำลังภายในเพื่อช่วยเราอย่างไม่เสียดาย“ยาฤทธิ์ร้ายแรงในร่างกายเรา ก็มาจากความช่วยเหลือของเจ้า“ฮองเฮา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อเรา เราล้วนรู้ดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วน้อย ๆ“ที่ข้าช่วยท่าน ก็เพราะฐานะผู้นำแคว้นของท่าน ทว่าท่านไม่เคยรู้สึกสงสัยบ้างเลยหรือ สตรีคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ เหตุใดจึงรู้วรยุทธ์?”เซียวอวี้กล่าวตอบทันที“เราเคยให้คนไปตรวจสอบมาก่อน“เคยแม้กระทั่งสงสัยว่าเจ้าไม่ใช่เวยเฉียง“คืนงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์คืนนั้น เราจัดการทดสอบหยดเลือดความเป็นพ่อลูกของเจ้าและพ่อของเจ้า พิสูจน์แล้วว่าพวกเจ้าเป็นพ่
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น“ทูลฝ่าบาท เรื่องที่ข้าแต่งงานแทนนั้นตระกูลเฟิ่งไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพคะ”เซียวอวี้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างเย็นชา ราวกับต้องการมองทะลุไปในจิตวิญญาณของนางดวงตาสองคู่ประสานกัน ภายในตำหนักเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขาที่ไม่เป็นจังหวะด้วยความโกรธจากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากคางของนาง เขาหันกายอย่างรวดเร็วและดุดัน หันหลังให้นางเขาประสานมือไว้ด้านหลัง กำหมัดแน่นทำให้ดูออกว่าเขาสกัดกั้นความโกรธเอาไว้“เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลเฟิ่งจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?“นี่เจ้าคิดว่าเราหลอกง่าย หรือมั่นใจว่าเราไม่มีทางเอาเรื่องเจ้ากัน!“ทว่าเจ้าไม่ควร...ไม่ควรอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังในคืนนี้ ยามนี้“เจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว!”ทำลายปิ่นหงส์ด้ามนั้น ทำลายความเชื่อใจที่เขายากจะมีเขาคิดว่าในวังหลังที่มีแต่คำหลอกลวงนี้ ฮองเฮาจะเป็นข้อยกเว้นนึกไม่ถึงว่านางก็ไม่ต่างจากผู้อื่นเลย!“ฝ่าบาท...”“หุบปาก! ยามนี้เราไม่อยากได้ยินเจ้าพูดอีก!” เซียวอวี้โมโหอย่างที่สุด เขาหันกลับมาตวาดด้วยความโกรธทว่าเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้น เขากลับไม่
สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เรื่องที่นางจับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป นางกล้าทำก็กล้ารับ ไม่กลัวว่าจะถูกเซียวอวี้เอาความย้อนหลัง ยามนี้นางจะต้องพูดสิ่งที่ควรพูดออกมาให้หมด“หลิงเยี่ยนเอ๋อร์พูดยอมรับเองกับปาก ที่นางลงมือกับเวยเฉียง เป็นเพราะนางได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง“บุคคลลึกลับนั่นใช้หลักฐานความผิดมาข่มขู่นาง”“จดหมายนั่น ข้าได้มาแล้ว”นางมอบจดหมายให้เซียวอวี้เซียวอวี้ลังเลอยู่ไม่กี่อึดใจก็เปิดอ่านในเวลาเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบจดหมายอีกฉบับออกมา“หลายเดือนก่อนหน้านี้ จิ้งเฟยเองก็ได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับเช่นกัน“จดหมายฉบับนี้เผยข้อมูลกับนางว่าพ่อของข้าซื้อตัวพระที่วัดหลงหัว ทำการสลับหนังสือแห่งโชคชะตา”เซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่นจิ้งเฟยเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ!น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง นางเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งเป็นระเบียบและมีความชัดเจน“จากนั้นข้าก็ร่วมมือกับจิ้งเฟย ในคืนส่งท้ายปีเก่าบุคคลลึกลับนั่นลอบเข้ามาในตำหนักฟางเฟยเพื่อส่งจดหมายลับอีกครั้ง ข้าจับนางได้คาหนังคาเขา“คนผู้นั้นก็คือเฉียวม่อ”เดิมทีนางได้เต
บนใบหน้าเยือกเย็นของเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมด้วยความราบเรียบ ดั่งดอกเหมยท่ามกลางเกล็ดน้ำค้าง ผลิบานในยามเหน็บหนาว“ข้าก็เป็นคนตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน”เพียงประโยคสั้น ๆ พลันก่อคลื่นลูกใหญ่หลายชั้นสีหน้าของเซียวอวี้นิ่งค้างเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวต่อ“ข้าถูกตระกูลเฟิ่งทอดทิ้ง คนที่รับเลี้ยงข้า คือแม่ทัพเมิ่งกับภรรยา”เซียวอวี้กระจ่างในทันทีไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี่เขารู้สึกว่า นางดูใส่ใจเมิ่งเฉียวม่อเป็นพิเศษ ที่แท้พวกนางก็อยู่ในกองทัพเดียวกันนี่เองและไม่แปลกใจเลยที่วรยุทธ์ของนางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มีอาจารย์เป็นถึงเมิ่งฉวี เช่นนั้นก็ไม่แปลกเซียวอวี้ไม่ได้พูดขัดนาง นางจึงพูดต่อ“เรื่องของเวยเฉียง ตอนแรกข้าไม่คิดสงสัยเฉียวม่อเลยสักนิด แต่ต่อมาหลักฐานทุกอย่างที่สืบเจอล้วนบ่งชี้ไปที่นาง“ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันกับท่าน ข้าเติบโตมาพร้อมกับนางตั้งแต่เด็ก ไม่มีความลับระหว่างกัน เหตุใดนางต้องทำร้ายน้องสาวแท้ ๆ ของข้า“ต่อมา ข้าก็ได้รู้จากปากของท่านอาจารย์ เหตุผลที่เขายินยอมให้คนปลอมตัวเป็นเมิ่งสิงโจว ก็เพื่อฮูหยินผู้เฒ่าในครอบครัว“หลายปีมานี้ สุขภาพร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่
ในตำหนักไม่ได้จุดตะเกรียง จึงมืดสนิทจนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดท่ามกลางความมืด พลันมีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังขึ้นมา“เรานอนกระสับกระส่าย แต่เจ้ากลับหลับสบายเชียวนะ“ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ลุกขึ้นมา”เพราะเป็นคนมีวรยุทธ์เหมือนกัน นางตื่นหรือไม่ตื่น เขาจึงรู้ดีแก่ใจเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเตรียมลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงขณะที่นางกำลังจะเลิกผ้าห่มออก ชายหนุ่มก็จับมือของนางเอาไว้“ไม่ต้องพิธีรีตองให้มาก”ขณะที่พูด เขาก็คว้ามือนางขึ้นมาจากนั้นก็นำบางอย่างยัดใส่มือของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสดู เหมือนจะเป็นปิ่นปักผมนางพลันนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักจื้อเฉิน เขาตั้งใจว่าจะให้ปิ่นหงส์แก่นางเดิมนางคิดจะปฏิเสธ ส่งคืนปิ่นนี้กลับไป กลับได้ยินเซียวอวี้กล่าวว่า“ต่อจากนี้ตำแหน่งฮองเฮายังคงเป็นของเจ้า อย่าได้คิดมากไปไกล“เราให้คนไปสืบเมิ่งเฉียวม่อแล้ว หากหลักฐานเหล่านั้นของเจ้าเป็นจริง เราจะลงโทษนางตามกฎหมาย“ทว่า เรื่องของเฟิ่งเวยเฉียงรวมถึงเรื่องที่เจ้าสวมรอยแต่งงานแทน จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่มิได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนฟังอย่างตั้งใจ จนมองข้ามปิ่นในมือไปชั่วขณะจร
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ฮ่องเต้ยังคงทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรเฉินจี๋เข้ามาทูลรายงาน“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบศพเหล่านั้นด้วยตนเอง และยังให้นักชันสูตรศพมาตรวจสอบอีกครั้งแล้ว ยืนยันว่าพวกเขาโดนเข็มพิษก่อนตายพ่ะย่ะค่ะ เข็มพิษนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถทำให้คนตกอยู่ในสภาวะหมดสติได้อย่างรวดเร็ว”มือของเซียวอวี้พลันชะงัก จากนั้นก็วางพู่กันไว้บนหมอน แววตามืดทะมึน“ไม่แปลกใจเลยที่ล่มสลายตายทั้งกองทัพ”น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บณ ตำหนักหย่งเหอเมื่อเข้าสู่ยามราตรี ฮ่องเต้ก็เสด็จมาอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนต้อนรับอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ถามทันที “หลิงเยี่ยนเอ๋อร์อยู่แห่งใด”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา“ฝ่าบาท ท่านอยากเจอนางหรือเพคะ?”เซียวอวี้ประทับนั่งลงบนตำแหน่งหลักเองเสร็จสรรพ ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “ประการแรก เราตัดสินเนรเทศนาง แต่เจ้ากลับชิงตัวนางไป นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเรา“ประการที่สอง นางเป็นพยานบุคคลที่สำคัญ เราก็ต้องอยากได้หลักฐานเป็นธรรมดา”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“หม่อมฉันจะจัดการให้ท่านกับนางได้เจอกันเพคะ”เซียวอวี้มองสำร
ตั้งแต่ที่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์หายตัวไป เฉินจี๋ก็ได้รับคำสั่งให้ตามหานาง ทว่ากลับไม่เจอแม้แต่ร่องรอยไม่คิดเลยว่า นางจะอยู่ในเมืองหลวงตลอด ทั้งยังถูกขังอยู่ในห้องลับมืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหวงกุ้ยเฟยผู้เคยมีสง่าราศรี ได้รับความโปรดปรานอย่างล้นหลาม บัดนี้กลับผอมแห้งติดกระดูก ผมเพ่ายุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับขอทานคนหนึ่ง“เฉินจี๋! ฝ่าบาทส่งเจ้ามาช่วยข้าใช่ไหม!“ฝ่าบาทยังไม่ลืมข้าใช่หรือไม่“เจ้ารีบหน่อย รีบมาปล่อยข้า…”หลิงเยี่ยนเอ๋อร์มองมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกายในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!ในที่สุดก็จะได้ออกไปจากขุมนรกแห่งนี้!ตอนนี้เฉินจี๋ถึงเพิ่งสังเกตเห็น ข้อเท้าของนางถูกล่ามโซ่เอาไว้อีกฝั่งของโซ่เชื่อมต่อกับกำแพงฮองเฮาช่างโหดเหี้ยมเอาเรื่องดวงตาทั้งสองข้างของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความหวัง“ข้าไม่ต้องการความโปรดปรานอะไรอีกแล้ว ขอแค่มีชีวิตรอดออกไป ขอแค่ได้อาศัยอยู่ในวัง ได้อยู่ข้างกายฝ่าบาท ข้าก็พอใจแล้ว…เฉินจี๋ เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ รีบหน่อยสิ!”นางเห็นเฉินจี๋ยังนิ่ง ก็ร้อนรุ่มในใจสีหน้าของเฉินจี๋ไร้ความรู้สึกใด ๆ“ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ให้มาสืบคดีที่คุณหนูตระกูลเ
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต