ณ ค่ายหนานต้า กองทัพใหญ่กำลังเดินทางกลับวังหลวงซุนเต๋อฟางพร่ำขอบคุณสวรรค์ ที่ไม่ปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์ในค่ายทหาร“กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาทและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวอวี้ตอนมาขี่ม้า ตอนกลับเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าภายในห้องโดยสาร เขาปอกส้มให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยมือตนเอง เมื่อแกะออกก็ยื่นไปที่ปากนางเฟิ่งจิ่วเหยียนหลบหลีกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์“หม่อมฉันไม่กิน”เซียวอวี้เอ่ยเสริม “เราก็ไม่ชอบกินเช่นกัน มันเปรี้ยวมาก ดูเหมือนว่ารสชาติที่ถูกปากของฮองเฮากับเราจะคล้ายกัน...”เขายังเอ่ยไม่จบ จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบส้มบนโต๊ะนั้นขึ้นมา และยัดเข้าปากในทันทีเซียวอวี้ : ?เมื่อรู้ว่านางจงใจจะต่อต้านเขา นอกจากเขาจะไม่หงุดหงิด กลับรู้สึกสำราญใจเป็นพิเศษอย่างน้อยนางก็ไม่เย็นชาเหมือนคืนที่ผ่านมา“ฝ่าบาท มีจดหมายลับพ่ะย่ะค่ะ!” เฉินจี๋รายงานอยู่ด้านนอกเซียวอวี้ยื่นมือออกไป และหยิบจดหมายลับนั้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนาง พร้อมกับยื่นจดหมายลับไปตรงหน้านางทันที“เจ้าอยากอ่านก่อนหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเบือนหน้าหนี “งานราชกิจเป็นเรื่องสำคัญ ท่านอย่าทำเป็นล้อเล่
ณ เมืองหลวงเฉินอ๋องส่งคนไปปล้นเสบียง มีหลักฐานความผิดอย่างแน่นหนารุ่ยอ๋องได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้ จึงนำเฉินอ๋องไปขังไว้ในคุกเทียนเหลาเฉินอ๋องตะโกนลั่นว่าถูกใส่ร้าย เป็นรุ่ยอ๋องที่ใส่ร้ายเขาเรื่องนี้กระทบถึงไทฮองไทเฮาทว่าถึงแม้ไทฮองไทเฮาจะทรงออกหน้า รุ่ยอ๋องก็ไม่ยอมประนีประนอมอีกด้านหนึ่ง เส้นทางขากลับของกองทัพใหญ่ออกมาจากเมืองซื่อสุ่ยแล้ว แต่โรงเตี๊ยมกลับหายาก จึงทำได้แค่ตั้งค่ายพักแรมตรงจุดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนยอมนอนในรถม้าดีกว่าจะนอนร่วมเตียงกับเซียวอวี้หลายวันที่ผ่านมา เมื่อนางเห็นเขาก็จะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ทำให้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักเซียวอวี้ไม่ได้บังคับนาง กลัวว่าหากเกินขีดความพอดีทุกอย่างจะพลิกผันในช่วงเวลาเป็นส่วนตัว เหล่าทหารต่างพูดคุยสนทนากัน“ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงดูเหมือนมีปัญหาระหองระแหงกันตลอดทาง นี่เป็นเพราะเรื่องใดกันแน่?” “ไม่รู้สิ หลายวันก่อนยังดี ๆ กันอยู่มิใช่หรือ?”ทหารคนหนึ่งหลังจากมองไปรอบ ๆ ก็เอ่ยกระซิบกระซาบ“ข้ารู้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ผิดต่อฮองเฮา”คนอื่น ๆ ต่างมองมาทางเขา และเค้นถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไ
ผัวะ!เฟิ่งจิ่วเหยียนต่อยออกไปหนึ่งหมัด เซียวอวี้ถึงกับขากรรไกรเคลื่อนเซียวอวี้ : !!!ถูกต่อยแล้วเขาก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบคืนต่อมา เขาก็ทิ้งกระโจมไม่ยอมนอนอีก และหนีมานอนเบียดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนทว่าคราวนี้เขาประพฤติตัวดี มือไม้ไม่เกะกะ ปากก็ไม่ขยับเขานอนนิ่ง ๆ อย่างสงบเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงฝืนทนได้ทว่าผ่านไปไม่ถึงสองวัน ปัญหาเดิมของเขาก็กลับมาอีกแล้ววันนี้ พวกเขานอนค้างอยู่ที่สถานพักแรมต่อหน้าคนนอก พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่รักกันดี นอนร่วมห้องเดียวกันหลังจากปิดประตู เฟิ่งจิ่วเหยียนก็นำที่นอนลงมาปูบนพื้นอย่างเงียบ ๆเซียวอวี้อุ้มนางขึ้นมาทันที“เราจะนอนบนพื้น เจ้านอนบนเตียง”เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันทีทันใด “ท่านเป็นฮ่องเต้ สถานะสูงส่ง สมควรนอนบนเตียง...”เซียวอวี้เอ่ยหักล้าง“หากจะยึดตามสถานะ เราเป็นฮ่องเต้ เจ้าเป็นฮองเฮา พวกเราสมควรนอนเตียงเดียวกัน” เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับพูดไม่ออก “ในเมื่อท่านบอกว่าอยากนอนบนพื้น หม่อมฉันยกให้ท่านก็แล้วกัน”เซียวอวี้มองไปทางมุมกำแพง แววตาดูมืดมนหลังจากเข้านอน เซียวอวี้ก็นอนบนพื้นอย่างว่าง่าย ตราบใดที่เขานอนตะแคง ก็จะสามารถมองเห็
ในวังมีสตรีที่ละม้ายคล้ายหรงเฟยอยู่มาก ในเวลานี้เซียวอวี้เหม่อลอยอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา ไม่เหมือนความเย็นชาที่มีต่อพระสนมคนอื่น สำหรับสตรีตรงหน้าผู้นี้ ในแววตาของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกสับสน“หรงเฟย...” สีหน้าของเขาเผยให้เห็นความหมายอันลึกซึ้งน้ำตาของสตรีผู้นั้นไหลออกมาทันที จากนั้นโผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา มีเสียงร่ำไห้พร้อมกับการบอกเล่า“เป็นหม่อมฉันเอง ฝ่าบาท หม่อมฉันยังไม่ตาย หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ!”แววตาของหนิงเฟยแฝงความไม่พอใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่คิดจะเอ่ยแม้แต่ประโยคเดียวเสียนเฟยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเหมาะสม“ฝ่าบาทได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ทั้งหรงเฟยก็รอดชีวิตจากความตาย นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งคู่”เซียวอวี้ผลักคนในอ้อมแขนของเขาออกไปด้วยอาการตัวเกร็ง และหันศีรษะมองไปทางฮองเฮาที่อยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูปกติเหมือนเคย ทั้งไม่เอ่ยสิ่งใดหรงเฟยก็มองไปที่นางตามสายตาของเซียวอวี้ ราวกับเพิ่งตระหนักถึงการมีตัวตนของฮองเฮา“ฮองเฮา” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าเบา ๆ “ไม่ต้องมากพิธี” คนตายแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้
คนชุดคลุมดำถูกขังอยู่ในคุกเทียนเหลา มีคนเฝ้าระวังโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เขากัดลิ้นตนเอง หรือกินยาพิษเพื่อปลิดชีพตนเอง ผู้คุมจึงสวมที่ครอบปากทำจากเหล็กไว้ที่ปากของเขา หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปในห้องขัง คนชุดคลุมดำผู้นั้นเงยหน้าขึ้น แววตาดูเหมือนกำลังยิ้มเยาะเนื่องจากมีที่ครอบปากนั้น เขาจึงไม่สามารถพูดได้เมื่อไม่มีหน้ากากปิดบังแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจนเขาอายุราวสี่สิบกว่า หางตาทั้งสองข้างชี้ขึ้น และหางคิ้วก็ชี้ขึ้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยจินตนาการถึงหน้าตาของศัตรูอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าในที่สุดตอนนี้ก็ได้สมปรารถนานางสั่งให้ผู้คุมเปิดที่ครอบปากออกหลังจากถอดเครื่องพันธนาการออก คนชุดคลุมดำก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย“แม่ทัพน้อย ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?”เขาดูไม่เหมือนนักโทษ ทว่ากลับเหมือนเพื่อนเก่าของนางที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี มีการเอ่ยทักทายกับนางในห้องขังมีเพียงพวกเขาสองคน เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงถามตรงประเด็น“ต้วนไหวซวี่ตายอย่างไรกันแน่”น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง แฝงไว้ด้วยความเคียดแค้นที่ข่มกลั้นไว้คนชุดคลุมดำหัวเราะเบา ๆ “ท่านไม่ใช่รู้ทุกอย่างหร
แม้ว่าหรงเฟยจะถูกรุ่ยอ๋องบีบคอ แต่นางยังคงมีท่าทีอ่อนโยน และมองเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ“ถึงแม้เจ้า...จะทำกับข้าเช่นนี้ ข้าก็ยังให้อภัยเจ้า...เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทูล...ฝ่าบาท ว่าเจ้าเป็นคนพาข้าออกจากวัง เป็นเจ้า...ที่ขังข้าไว้นานหลายปีถึงเพียงนี้“พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าเชื่อว่า...เจ้าจะไม่ทำร้ายข้าจริง ๆ”ในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ปล่อยมือ หันหลังให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงขรึม “มู่หรงหลัน เจ้าจะต้องเสียใจ”หรงเฟยยืนพิงกำแพงหิน มองดูอิดโรยอย่างมาก“คำพูดนี้ข้าก็มอบให้เจ้าเช่นกัน “พวกเราต่างก็ทำเพื่อปกป้องฝ่าบาทมิใช่หรือ?“ส่วนจะใช้วิธีการแบบใด นั่นก็เป็นการตัดสินใจของพวกเราแต่ละคน”หลังจากพูดจบ นางเดินอ้อมไปทางด้านหน้าของรุ่ยอ๋อง ยกมือขึ้นมาและดึงจี้หยกที่ห้อยเอวของเขาเบา ๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน: “จงจำไว้ว่า พวกเราสามคนจะต้องปกป้องกันและกัน และจะไม่มีวันแยกจากกันชั่วชีวิต”รุ่ยอ๋องรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ช่วงหนึ่ง และปัดมือของนางออก“มู่หรงหลัน เจ้าเกินจะเยียวยาแล้ว”หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปจากภูเขาจำลองอย่างแน่วแน่หรงเฟยยังคงอยู่ในถ้ำภูเขาจำลองที่มืดมิด พร้อมกั
ณ ตำหนักวั่นโซ่วไทฮองไทเฮาทรงเอ็นดูหรงเฟยเป็นพิเศษโดยไม่ปิดบังนางตั้งใจให้หรงเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งถัดจากตน พร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“เมื่อคืนเจ้านอนหลับดีหรือไม่?”หรงเฟยพยักหน้าตอบ ลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ดูสง่างามแสนเรียบง่ายพระสนมคนอื่น ๆ ทั้งอิจฉาทั้งริษยา ต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชมการแสดงงิ้วเลยไทเฮาก็ทรงรู้สึกกระวนกระวายเช่นกันก่อนที่การแสดงงิ้วจะเริ่มขึ้น ไทฮองไทเฮาทรงตรัสกับทุกคนว่า“เรื่องที่หรงเฟยกลับเข้าวัง พวกเจ้าก็คงรู้กันหมดแล้ว“สิ่งที่ข้าอยากพูดในวันนี้ ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ นางก็หันไปมองไทเฮา“ในตอนนั้นหรงเฟยป่วยหนัก ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ทั้งยังถูกฝังอย่างเร่งรีบ จนเกือบถึงแก่ชีวิตทั้งที่อายุยังน้อย “ข้าสงสัยว่านางอาจจะถูกคนลอบทำร้าย จึงสั่งคนไปสับเปลี่ยนร่างที่อยู่ในโลง“สิ่งที่โชคดีคือ สวรรค์เมตตา หรงเฟยยังไม่ตาย เพียงแต่เพราะนางอ่อนแออย่างหนัก จึงทำให้อวัยวะในร่างกายหยุดทำงานชั่วคราว”เหล่าพระสนมได้ยิน ถึงแม้จะตระหนกตกใจ ทว่าก็ยอมรับได้อย่างไรเสียเรื่องของคนผู้นี้ที่ “ฟื้นคืนชีพ” ก็ไม่ถึงกับน่าอัศจ
เซียวอวี้ขมวดคิ้ว คำพูดของไทฮองไทเฮาเมื่อครู่ ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน และตกใจอย่างคาดไม่ถึงหรงเฟยแท้งบุตรเมื่อใด!?นางสนมเจียปากไวเอ่ยขึ้นทันที“ไทฮองไทเฮา หรงเฟยเคยแท้งบุตรหรือ? เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกันไทฮองไทเฮาทรงจับมือของหรงเฟย พร้อมกับรู้สึกเสียใจ“นั่นเป็นเรื่องหลังจากที่ฝ่าบาททรงออกไปทำศึกแล้ว “ตอนนั้นหรงเฟยก็มีอาการป่วยอยู่ เดิมทีแล้วจึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้น และไม่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ด้วย“จนกระทั่ง...”เอ่ยมาถึงตอนนี้ นางเจตนามองไปทางไทเฮาแวบหนึ่งไทเฮาทรงจดจำเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน กลางฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมานางหลบเลี่ยงสายตาเชิงตำหนิของไทฮองไทเฮา ในใจรู้สึกกระวนกระวายเรื่องการตั้งครรภ์ของหรงเฟย นางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความจริง อีกทั้งยังเป็นคนทำร้ายโดยทางอ้อมอีกด้วยหากมิใช่นางขัดขวางหมอหลวงเหล่านั้นไว้ หรงเฟยในตอนนั้นคงไม่ถึงกับ “สองชีวิตในหนึ่งร่าง” เช่นนี้เรื่องนี้นางไม่เคยกล้าบอกกับผู้ใดเลย กลัวว่าหลังจากฮ่องเต้ทรงทราบ จะยิ่งเกลียดนางที่มีฐานะเป็นไทเฮาผู้นี้ทว่าท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ไม่มีทางป
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้