LOGINวันนี้ผมบอกให้ไทม์มารับเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่โรงเรียน
ย้อนกลับไปช่วงแรกที่ผมเข้าเรียนผมปิดแมสและสวมแว่นเป็นปกติ วันแรกทุกคนไม่เอะใจอะไรก็เข้าใจว่าผมไม่สบายและชวนผมคุยปกติพอนานวันเข้าหลายคนเริ่มเอะใจว่าทำไมผมไม่ยอมถอดแมสและสำคัญคือไม่ยอมไปกินข้าวด้วย เสียงซุบซิบนินทาต่างๆเริ่มหนาหูมากขึ้นๆว่าผมเป็นไอ่คนมืดมน อมทุกข์ หยิ่งหรือแม้กระทั่งบางคนถึงกับบอกว่าผมอัปลักษณ์ ในห้องเลยแบ่งออกเป็น2ฝ่ายคือเชื่อและไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อก็พยายามจะเข้ามาเพื่อตีซี้แต่ผมเองที่ปิดกลั้นจนสุดท้ายเลยหาข้ออ้างว่าตัวเองเป็นวัณโรค วันต่อมาเสียงซุบซิบนินมาไม่ได้มีแค่ในห้องแต่กระจายไปทั่วโรงเรียน ทุกคนเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กันต์ม.6ห้อง3 ผมเลยมีฉายาไอ่กันต์วัณโรคตั้งแต่นั้นมา ผมรู้สึกแย่ในวันแรกแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เจอมาถือว่าจิ๊บๆดีเสียอีกที่ไม่มีใครอยากเห็นหน้าตาไม่น่ามองนี้ เผลอๆถ้าถอดแมสออกอาจจะโดนหนักกว่าเดิมเหมือนที่ผ่านมาก็ได้ผมเลยคิดว่าดีแล้วที่เป็นแบบนั้น
เพราะงั้นผมถึงกลัวว่าวันนี้ไทม์จะโดนอะไรที่ เหมือนๆกันแล้วต้องรู้สึกแย่หรือเปล่า
บรื้นน บรื้นนน บิ๊กไบค์คันใหญ่ขับซิ่งมาแต่ไกลก่อนจะมาจอดตรงหน้า
พอมาถึงก็พยักหน้าเท่ๆให้ขึ้นรถ นี่ก็เลยไม่รอช้าสวมหมวกซ้อนท้ายอย่างว่าง่าย
ก่อนออกมาก็ไม่ลืมฝากเจ้าตูบไว้กับป้าพรรณเขาเป็นเจ้าของบ้านเช่าแถมยังรักหมาอีกต่างหากทีนี้เลยง่ายหน่อย เจ้าตูบช่วงนี้ไปอยู่กับป้าพรรณก่อนนะลูก
.
.
.
ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนก็เจอสายตาจากจากสาวๆใกล้ไกลทั่วทุกมุมจ้องตาเป็นมันเลยแถมเสียงซุบซิบยังไม่เหมือนซุบซิบเพราะมันดังจนก้องเข้ามาในหู
"คนนั้นไงๆที่เขาลือกันอ่ะ"
"ไหนๆ"
"ที่หล่อๆเดินกับพี่กันต์วัณโรคน่ะ" แม่งงอยากตบปากเด็กมันจังงวุ้ยย
"โหห สเปค เสร็จกูแน่"
"เห้ย!! ไปไหน"
สาวน้อยใจเด็ดเดินมาอย่างกล้าหาญ พี่ขอคารวะเลยใจน้องมันแน่มาก
"พี่ไทม์ใช่ไหมคะ" เอาแล้วน้องมันของจริง ผมมองหน้าไทม์ที่กำลังจ้องสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่กำลังเดินมาตรงหน้าคิดว่าคงเป็นน้องใหม่ม.4ที่พึ่งเข้ามาเรียน
"..." ไทม์ไม่ตอบแต่ก้มหน้ามองทั้งยังเลิกคิ้วสงสัยว่าน้องคนนี้เป็นใคร ผมนี่ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆแทนเลย
"หนูชอบพี่ค่ะเป็นแฟนกันไหมคะ" ใจน้องมันได้เว้ยเห้ยสู้ๆยัยหนู ผมแอบลุ้นตามว่าไทม์จะพูดว่าไงรู้สึกตื่นเต้นแทนเพื่อนยังไงไม่รู้เพราะผมเองก็ไม่เคยโดนสารภาพมาก่อน เคยแต่บอกชอบและถูกมองด้วยสายตาเย็นชาอย่างไร้เยื่อใยกลับมา
"ไม่อ่ะ" แพร้ง!! เสียงหน้าแตก ไทม์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย โอ้วววคนหล่อมันเป็นอย่างงี้นี่เองขนาดมีสาวน้อยน่ารักมาสารภาพตรงหน้าก็ยังไม่สนใจ
ไทม์จับมือผมแล้วเดินไปปล่อยให้สาวน้อยอึ้งอยู่ตรงที่เดิม เพื่อนของเธอเดินมาปลอบใจผมเห็นอย่างนั้นเลยชูมือสองนิ้วสู้ๆเป็นกำลังใจให้ คนเรามันมีก้าวแรกเสมอแม่หนูใจเด็ด
และนั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของวันเพราะวันนี้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะไปไหนก็เจอแต่คนมาขอเบอร์มาจีบไม่เว้นแม้แต้กับผู้ชายด้วยกันเองแต่ดูเหมือนไทม์จะไม่ได้สนใจแถมยังทำหน้าลำคานตลอดเวลาผมเลยคิดไปถึงสมัยม.ต้นที่ชอบนที หรือนทีก็จะลำคานแบบนี้แต่ต่างกันตรงที่ว่าหนุ่มๆสาวๆที่มาจีบไทม์ดันสวยหล่อกันหมดน่ะสิถึงโดนปฏิเสธไปก็คงมีคนปลอบใจไม่เหมือนกับผมที่โดนสายตารังเกียจ...ช่างมันเถอะมันผ่านมาแล้ว
"วันนี้กินไรดี" ผมเอ่ยปากถามขณะที่ไทม์กำลังหยิบขวดน้ำออกจากตู้ในร้านค้า
"ฉันอะไรก็ได้ นายล่ะอยากกินไร"
"จะกินแซนวิชแฮมไข่กับนม"
"ไม่เบื่อเหรอ"
"ก็เบื่อนะ แต่ไม่อยากกินข้าวโรงอาหาร"
จู่ๆไทม์ก็ฉุกคิดขึ้นมาถึงสาเหตุที่กันต์ต้องปิดใบหน้าของตัวเองไว้ตลอดว่ามันคืออะไรแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามออกไป
"วันนี้นายกินข้าวคนเดียวได้ไหม" เพราะวันนี้ที่ประจำของผมน่าจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่
จากที่คิดว่าไทม์น่าจะรู้สึกแย่กับข่าวลือแต่ดูเขาเข้มแข็งมากกว่าผมเสียอีกที่สำคัญยังดูไม่สนใจไรอีกด้วยเป็นประเภทโนสนโนแคร์ของจริง
"แล้วนายจะไปกินที่ไหน" เขาเอ่ยถาม
"ว่าจะไปกินที่ห้องน่ะ ช่วงนั้นไม่น่าจะมีใครอยู่"
"ฉันไปด้วย กินโรงอาหารมันน่าลำคาน"
"อ่ะ เอางั้นเหรอ"
ผมหยิบแซนวิชแฮมไข่กับนมจืดเหมือนอย่างเช่นทุกวันมา ส่วนของไทม์เป็นเบอร์เกอร์หมู4ชิ้นกับน้ำเปล่า กินเก่งมากใจพี่แกช่วงเย็นคงไม่ยัดอะไรลงไปได้แล้วมั้ง
พอเดินมาถึงในห้องก็ไม่มีใครอยู่จริงๆด้วยทางโล่งสบายส่วนใหญ่พักเที่ยงพวกผู้ชายจะไปเล่นบาสไม่งั้นก็บอล สมัยม.ต้นถึงผมจะอ้วนแต่เล่นบาสเก่งมากนะส่วนเพื่อนผู้หญิงก็คงไปนั่งเมาท์ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็อ่านหนังสือกันอยู่ห้องสมุด
"หันหลังให้หน่อย" ผมเดินเข้าไปในห้องก่อนจะหลบมุมอยู่หลังห้องเลือกมุมที่อยู่ใกล้ชั้นหนังสือฯเพราะเวลามีคนมาจะได้มองไม่เห็นผม
ไทม์เดินมานั่งข้างๆแล้วยอมหันหลังให้แต่โดยดีเขาไม่ได้เซ้าซี้ถึงเหตุผลหรืออะไรทั้งนั้นมันเลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจ
ผมพิงแผ่นหลังกว้างๆของไทม์ เราหันหลังชนกันก่อนจะเริ่มแกะกินมื้อเที่ยงของวันนี้
"หน้ามีทองคำติดหรือไง ยุ่งยากจริงๆ" เขาบ่นอุบอิบแต่ก็หันหลังให้โดยที่ไม่หันมามอง
"ง่ำๆๆ ทำไมถึงไม่รับรักใครเลยล่ะ" ผมถามขณะที่กำลังเขี้ยวแซนวิชในปาก
"ก็ไม่ได้ชอบใคร"
"ถามหน่อยสิถ้าเกิดมีผู้ชายที่อ้วนแล้วก็ขี้เหร่มาสารภาพกับนาย นายจะทำไงเหรอ"
"ก็ปฏิเสธไป"
"เพราะเขาขี้เหร่เหรอ"
"ไม่ได้มองตรงนั้นนะที่ปฏิเสธเพราะแค่ยังไม่ชอบใคร"
"ขี้เหร่ก็ไม่รังเกียจเหรอ?"
"ไม่นะ สิทของเขา"
"สวยก็ไม่เอา หล่อก็ไม่ชอบ ขี้เหร่ก็ปฏิเสธอีก แล้วนายชอบคนแบบไหนอ่ะ"
"ก็ไม่แบบไหน แค่ไม่มองตรงนั้นถ้าชอบก็จะจีบเอง"
"อ๋ออ งี้เองแล้วถ้าชอบคนขี้เหร่ก็จะจีบเหรอ"
"ก็บอกว่าไม่ได้ดูตรงนั้นไง!!" เริ่มขึ้นเสียง
"อือ เข้าใจแล้ว" จู่ๆผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าผมจะเปิดเผยใบหน้านี้ให้เห็น เป็นไทม์คงจะไม่เป็นไร
"ไทม์ แล้วถ้าฉันหน้าตาดูไม่ได้เลยแย่มากล่ะยังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม"
"เกี่ยวไร นายเป็นเพื่อนฉันจะหน้าเป็นยังไงก็เรื่องของนาย"
"ไทม์ หันหน้ามาหน่อยสิ" ผมคิดว่าถ้ามีคนได้เห็นใบหน้านี้แม้เพียงสักคนก็ยังดี อยากมีเพื่อนที่สามารถเปิดอกคุยกัน ไปเที่ยว กินข้าวดูหนังใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นบ้าง
เขาหันมาจ้องมองผม ผมหลับตาหยิบแว่นออกจากใบหน้า
ภายใต้กรอบแว่นตาเผยให้เห็นดวงตาแมวกลมโตขนตางอลเรียงสวยไทม์มองดูสายตานั่นอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรรู้แค่ว่ามันสวยน่ามอง
"นายน่าจะใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่น ตานายสวยมาก" เขาพูดมันด้วยความจริงใจ
"จริงเหรอ" ผมตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำชมแต่ก็แอบยิ้มจนแก้มปริภายใต้แมสดำที่สวมทับอยู่ไม่เคยมีใครชมมาก่อนเลยก็เลยแอบเขิลอยู่หน่อยนึง หน่อยเดียวจริงจริ๊งงง"พรุ่งนี้จะใส่คอนแทคมานะ"
เอาล่ะอย่างน้อยไทม์บอกว่าตาสวย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสวยแบบไหนเพราะตลอด4ปีผมไม่เคยส่องกระจกแล้วก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องในช่วงซัมเมอร์ทุกเทอม
ปิดเทอมที่ทุกคนไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนกันแต่ผมพาเจ้าตูบไปวิ่งเล่นช่วงเย็นแทน
"เห้ยมึง!! ได้ข่าวเปล่าว่าไทม์ห้องเราเยดุมาก" เเจน!!! เสียงแจนและเสียงเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆในขณะที่ผมกำลังจับสายคล้องหูเตรียมจะเปิดแมสและไทม์ที่กำลังตั้งใจมองแต่ก็ต้องหยุดไว้ก่อน
ผมใส่แว่นตากลับคืนที่เดิมก่อนจะชวนไทม์ไปนั่งโต๊ะเรียนประจำที่(เรียกสั้นๆว่านั่งที่)แต่ไทม์ชักผมกลับคืนทั้งยังทำปากชูๆให้ผมเงียบๆ...เพื่อออ!!!
"นายจะทำไร" ผมกระซิบกระซาบ
"ชู่ววว" นิ้วชี้แตะที่บ้านตัวเองเป็นสัญญาณให้ผมเงียบๆ
"ข่าวลือมันจะจริงป่าววะ" เสียงกี้กำลังใกล้เข้ามาด้วย
"เห็นลือกันว่าไทม์โครตเด็ด ง่ายด้วยนะ" พิงค์พูดเสริมพร้อมทั้งก้าวเข้ามาในห้อง
"แต่ที่กูเห็นไม่น่าใช่นะ เห็นไม่สนใจใครเลยหรือว่าเก๊ก?" กี้พูดขึ้น
"ถ้าอยากรู้มึงลองชวนไปที่ห้องดู" แจมเสริม
"เห้ยมึง เอาจริงดิ" กี้ทำเสียงตกใจแบบไม่ทันคิดว่าเพื่อนตัวเองจะเป็นขนาดนี้
"แค่แกล้งๆป่ะ ลองดูแต่ถ้าได้จริงกูไปเอง" ประโยคแรกทำกี้โล่งใจ แต่ประโยคหลังทำให้กี้รู้ว่าเพื่อนตัวเองเริ่มร่าน
"สัส กูไปด้วย" พิงค์พูดเสริมผมได้แต่คิดว่าโหห สาวๆห้องนี้แม่งสุด
ผมถึงได้รู้ว่าข่าวลือมันกระจายแบบใส่สีใส่ไข่เตลิดเปิดโปงไปหมดแล้ว ให้ตายสิ
วันนี้ผมบอกให้ไทม์มารับเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่โรงเรียนย้อนกลับไปช่วงแรกที่ผมเข้าเรียนผมปิดแมสและสวมแว่นเป็นปกติ วันแรกทุกคนไม่เอะใจอะไรก็เข้าใจว่าผมไม่สบายและชวนผมคุยปกติพอนานวันเข้าหลายคนเริ่มเอะใจว่าทำไมผมไม่ยอมถอดแมสและสำคัญคือไม่ยอมไปกินข้าวด้วย เสียงซุบซิบนินทาต่างๆเริ่มหนาหูมากขึ้นๆว่าผมเป็นไอ่คนมืดมน อมทุกข์ หยิ่งหรือแม้กระทั่งบางคนถึงกับบอกว่าผมอัปลักษณ์ ในห้องเลยแบ่งออกเป็น2ฝ่ายคือเชื่อและไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อก็พยายามจะเข้ามาเพื่อตีซี้แต่ผมเองที่ปิดกลั้นจนสุดท้ายเลยหาข้ออ้างว่าตัวเองเป็นวัณโรค วันต่อมาเสียงซุบซิบนินมาไม่ได้มีแค่ในห้องแต่กระจายไปทั่วโรงเรียน ทุกคนเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กันต์ม.6ห้อง3 ผมเลยมีฉายาไอ่กันต์วัณโรคตั้งแต่นั้นมา ผมรู้สึกแย่ในวันแรกแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เจอมาถือว่าจิ๊บๆดีเสียอีกที่ไม่มีใครอยากเห็นหน้าตาไม่น่ามองนี้ เผลอๆถ้าถอดแมสออกอาจจะโดนหนักกว่าเดิมเหมือนที่ผ่านมาก็ได้ผมเลยคิดว่าดีแล้วที่เป็นแบบนั้นเพราะงั้นผมถึงกลัวว่าวันนี้ไทม์จะโดนอะไรที่ เหมือนๆกันแล้วต้องรู้สึกแย่หรือเปล่าบรื้นน บรื้นนน บิ๊กไบค์คันใหญ่ขับซิ่งมาแต่ไกลก่อนจะมาจอดตรงหน้า
"รวยหนิมึงอ่ะ ช่วยพี่เขาหน่อยดิ" "หึ" โจหัวเราะเสียงต่ำในลำคอเมื่อได้ยินผมพูดก่อนกวักมือเรียกสาวสวยนักศึกษาคนนั้น เอาแล้ว เพลย์บอยตัวพ่อเริ่มแล้ว!พอถูกเรียกเธอคนนั้นก็รีบเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ ผิวของเธอส่องสว่างขาวนวลท่ามกลางแสงจันทร์ยามกลางคืน ใบหน้าผุดผ่องมองเห็นแก้มอมชมพูเป็นธรรมชาติมาถึงเธอก็ถาม "หอมะคะ หอม้ะ" เป็นสำเนียงแปร่งๆ ลูกครึ่งมั้ยนะ?"ไม่เอาหอ จะเอาหอย" แต่ไอ้โจแม่งช็อตฟีลจัด เธอหลบตาเขินใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ"ไอ้โจมึงก็ปล่อยๆบ้างก็ได้" ผมกระซิบกระซาบข้างหูคนขับเบาๆ "เหมาหมดนั่นแหละ เท่าไหร่?" โจถาม เธอหันมามองอย่างดีใจก่อนยื่นถุงหอยสี่ถุงมาตรงหน้าคนถามพร้อมบอกราคาเสียงสดใส"สี่ล้อ" ชูสี่นิ้ว"พี่เค้าบอกสี่ร้อย" ผมกระซิบบอกไอ้โจ กลัวมันช็อตฟีลทำเขาอายอีกแต่มันกลับตอบผมว่า "กูรู้แล้ว" ตามด้วยการหยิบถุงหอยมาให้ผมถือแล้วบอกผมว่า"มึงจ่าย""อ่าวเห้ย!" ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่มีเวลาให้คิดมาก ผมรีบควักเงินแบงก์ม่วงในกระเป๋าออกมาจ่ายให้ทันที "ไม่ต้องทอนครับ" เจ็บใจฉิบหาย ถึงไม่ซื้อผมก็จะซื้ออยู่แล้ว!! จะทำเก๊กบอกเหมาทำเหี้ยไร ก่อนถึงสัญญาณไฟเข
"ดูดปาก?" ตลกกันใหญ่ "งั้นมาแข่งกันสิ?"ไม่ยอมให้จูบง่ายๆหรอก คิดจะใช้ข้ออ้างให้ตัวเองเลิกบุหรี่ แถมยังไม่ยอมบอกว่าจะลบคลิปให้ ข้อเสนอหรือข้ออ้าง ผมไม่โง่นะครับ"อะไรของมึง" โจริญขมวดคิ้วมุ่นมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ"ถ้าชนะก็ตามใจมึงเลย แต่ถ้าแพ้มึงต้องลบคลิป" นี่สิมันถึงจะเป็นข้อเสนอที่แฟร์ๆ"คำไหนคำนั้น"เขาตอบอย่างไม่ลังเลทั้งยังไม่ได้ถามรายละเอียดของข้อเสนอที่ผมยื่นให้เลยด้วยซ้ำ ดีเลย ดีมาก เพราะผมมั่นใจว่าข้อเสนอที่ผมยื่นให้นี้มันแฟร์กับเราทั้งคู่ หลังตกลงกันเรียบร้อยเราสองคนเดินทางมายังจุดหมายที่ผมคิดไว้นั่นก็คือ...'หนูจ๊ะมาม้ะร้องเกะ'ร้านคาราโอเกะที่เคยมากับกันต์และไทม์ช่วงก่อน เป็นความทรงจำที่ดีจนลืมไม่ลงเลยล่ะ"มึงพากูมานี่ทำไม?" โจบ่นแต่ถึงอย่างนั้นก็ก้าวขาลงจากรถตามผมมาแต่โดยดี"ร้องเพลง" ผมตอบ"ร้องเพลง?" เขาดูแปลกใจแต่ก็ยอมเดินตามจนถึงหน้าเคาน์เตอร์ยังคงเห็นพี่สาวพนักงานคนเดิม"อ้าว! พ่อหนุ่มเบ้าหน้าฟ้าประทาน ไม่เจอกันนานเลย" เธอเอ่ยทักผมก่อนจะเหลือบตามองอีกคนข้างๆแล้วยิ้มกริ่ม "โรงเรียนนี้มีแต่คนน่ากินโว้ย!"พูดเสร็จก็ถามโจว่า "มีแฟนยังอ่ะเรา" พร้อมดวงตาแพรวพราวกระพริบ
หลังจากคืนนั้นโจริญไม่เข้าใจว่าทำไมของตัวเองถึงไม่แข็ง หดแล้ว หดอีก หดต่อ ขนาดนัดเจอกับสาวอกดูม หรือหนุ่มน้อยหน้ามนตามสเปคที่ชอบก็ไม่มีทีท่าว่าจะผงาดขึ้นมาแต่อย่างใดมันนิ่งสนิท...เหมือนมะเขือเผา เหี่ยวเฉาเหมือนชิเมโจใด๋🎶ชิโมโจใด ชิเมโจใด๋ เอาหัวใจเธอมา🎶ใครมาเปิดเพลงแถวนี้วะ!!เหนือสิ่งอื่นใด เขาคิดและปักใจเชื่อว่ามันเป็นเพราะคืนนั้นที่ทำให้ชีวิตเขาต้องรันทดขนาดนี้ ยิ่งคิดยิ่งพาลให้หงุดหงิดใจ เขาปฏิญาณกับตนเองว่า 'ต้องลากไอ้หล่อนั่นมารับผิดชอบให้ได้'ช่วงนี้ปาร์ตี้ในคลับวงในเลยเกิดข่าวซุบซิบกันใหญ่ว่าเพลย์บอยตัวพ่ออย่างโจริญนกเขาไม่ขันเลยอำลาวงการหนุ่มช่างสำราญไปแล้ว"ได้ข่าวว่ามังกรไม่ตื่นเหรอเพื่อน?" ชายหนุ่มหน้าหล่อร้ายคนหนึ่งถามขึ้น ขณะที่โจริญกำลังล้างมือหน้าอ่างล้างมือในห้องน้ำของคลับ"..." ใครเพื่อนมันวะ? โจริญคิดและถึงเขาจะรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนั้นแต่ก็เลือกที่จะเมินเฉย ไม่โต้ตอบ"แนะนำสาวให้เอาเปล่า แถวรัตแม่งอย่างแจ่ม เบิ้มๆ ดูมๆ" ชายคนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพูดนำเสนอพร้อมทำไม้ทำมือประกอบหึ พวกนายหน้าสินะ...คิดได้โจก็หันกลับไปตอบตามมารยาท "โทษทีว่ะ หน้าอย่างกูไม่จำเป
ทำตัวเหี้ยขนาดนั้นคงจะมีเพื่อนอยู่หรอก"..." เขายื่นซองบุหรี่ให้ไม่พูดไม่จา สายตาทอดมองวิวตรงหน้าอย่างเหม่อลอยแน่นอนว่าผมปฏิเสธ "ไม่สูบ"จากนั้นเจ้าตัวก็ดึงซองบุหรี่กลับ ก่อนหยิบขึ้นมาหนึ่งมวนคาบไว้ในปาก มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดสูบและพ่นควันออกมาทางปากกับจมูกด้วยสีหน้าผ่อนคลาย มีแวบหนึ่งที่ผมนึกสงสัยในรสชาติแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะลองเพราะเท่าที่รู้ บุหรี่มี ทาร์ เป็นสารเหนียวที่ก่อมะเร็ง นิโคตินที่สูบแล้วติด คาร์บอนมอนอกไซด์ที่เป็นก๊าซพิษขัดขวางการทำงานของออกซิเจน ข้างซองก็ระบุไว้ชัดเจนว่าสูบแล้วเป็นมะเร็ง จะมีกลิ่นปาก ถุงลมปอดพอง แล้วแม่งยังจะสูบอีก"เข้าประเด็นเลยดีกว่า พากูมานี่ทำไม?" ถึงวิวจะงดงามแค่ไหนแต่พอไม่รู้จุดประสงค์ก็คับข้องใจอยู่ดี"เงียบๆใช้สมาธิอยู่" ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามหรือใช้สมาธิจริงๆอยู่กันแน่ ไร้การสนทนา ความเงียบได้กลืนกินเราสองคนเหลือไว้เพียงเสียงลมพัดหวิวๆเท่านั้นท้องฟ้าค่อยๆมืดขึ้นเรื่อยๆจนมองเห็นดวงจันทร์ เต็มดวงและดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าแสงสีเหลืองนวลจากตึกเองก็เริ่มเด่นชัดขึ้น ผมปล่อยให้เวลาไหลผ่านอย่างใจเย็
'ร้านขายยานนนที'เป็นร้านขายยาโดยเภสัชกรที่ลูกค้าแห่แหนกันมาซื้อยาแน่นร้านทุกวัน แม้ไม่เจ็บแต่ก็ต้องเก็บเงินมาซื้อยาดมวันละร้อยรอบ เพราะลูกชายเจ้าของร้านโคตรพ่อโคตรแม่หล่อทุกคนต่างขนานนามว่าเขาคือชายหนุ่มที่พระเจ้าสร้างขึ้น ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลามาพร้อมกับใฝเสน่ห์เม็ดเล็กใต้ตาซ้ายและผิวสีน้ำผึ้งสุขภาพดีชวนให้คนหลงใหล เขาคนนั้นกำลังเหม่อลอยอยู่หน้าเคาน์เตอร์ยาเหมือนคิดอะไรอยู่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังถูกเพ่งมองด้วยสายตาหวานเยิ้มจากเหล่าลูกค้าในร้าน'มันไม่แข็งกับคนอื่นก็เพราะมึง' เสียงนั้นคอยรังควานผมอยู่ตลอดเวลา"เกี่ยวไรกับกูวะ!!" "เกี่ยวสิครับ ผมปวดฟัน มาซื้อยาแก้ปวดฟัน"ผมสะดุ้งหลังพลั้งปากโดยไม่รู้ตัวแล้วมีเสียงอู้อี้ตอบกลับมา"อ่ะ ขอโทษครับ"รีบก้มหัวทันทีด้วยความรู้สึกผิด เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยืนจ้องอยู่ตรงหน้าพร้อมแก้มซ้ายที่ดูบวมตุยเหมือนพึ่งไปถอนฟันคุดมาใหม่ๆ"เมื่อกี้ไม่ได้ว่าลูกค้านะครับ พอดีคิดอะไรไปเรื่อยเลยหลุดปาก ขอโทษด้วยนะครับ...ฝ่าฟันคุดมาสินะครับ^^" ก้มหัวสำนึกผิดเสร็จผมยิ้มทักทาย เรื่องในหัวพลันหายวับไปทันที อารมณ์ที่หงุดหงิดเมื่อครู่ก็เช่นกั







