共有

02

作者: Snoop
last update 最終更新日: 2025-07-29 18:52:15

หลังจากวันนั้นที่เมฆาไปส่งที่หอพัก ปุณณ์ใช้เวลาทั้งคืนคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อเมฆามันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่นึกถึงรอยยิ้มของเมฆา ความใจดีที่อีกฝ่ายมีให้ หรือแม้แต่การแกล้งกันเล็กๆ น้อยๆ หัวใจของปุณณ์ก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ความรู้สึกนี้ก็มาพร้อมกับความสับสนและความกังวลมากมาย เขาไม่แน่ใจว่าเมฆาคิดอย่างไรกับเขา หรือว่าที่ผ่านมาเป็นแค่ความใจดีในฐานะเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น

วันรุ่งขึ้น ปุณณ์ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ปกติเขาไม่เคยทำมาก่อน เขาจะพยายามเป็นฝ่ายเข้าหาเมฆาบ้าง เขาจะไปรอที่หน้าตึกเรียนของเมฆาในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเลิกเรียน

ปุณณ์ยืนรออยู่หน้าตึกอย่างกระสับกระส่าย เขามองนาฬิกาเป็นระยะๆ ก่อนจะเห็นกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตึก และในที่สุด เขาก็เห็นเมฆาเดินออกมากับเพื่อนๆ กลุ่มเดิม เมฆากำลังคุยกับเพื่อนด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สังเกตเห็นปุณณ์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน

ปุณณ์รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วเดินเข้าไปหาเมฆาอย่างช้าๆ

"เมฆา!" ปุณณ์เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เมฆาหันมามอง

เมฆาหันมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นปุณณ์ "อ้าว ปุณณ์ มีอะไรเหรอ"

ปุณณ์รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที เมื่อเห็นดวงตาคมคายของเมฆาจ้องมองมาที่เขา เขาพยายามหาคำพูดที่เหมาะสมที่สุด แต่ก็เหมือนสมองว่างเปล่าไปหมด

"คือ... ผม... ผมมีเรื่องอยากจะบอกน่ะครับ" ปุณณ์พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อนๆ ของเมฆาเริ่มสังเกตเห็นท่าทีของปุณณ์ พวกเขาพากันหยุดคุยและหันมามอง ปุณณ์ยิ่งรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่

เมฆาเห็นท่าทีของปุณณ์ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนๆ "พวกมึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป"

เพื่อนๆ ของเมฆาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินจากไป ทิ้งให้ปุณณ์กับเมฆายืนอยู่กันสองคน ปุณณ์รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยที่ไม่มีคนมามุงดูอีกแล้ว

"ว่ามาสิ มีอะไร" เมฆาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมองเมฆา ดวงตาของเขาสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ในใจก็พรั่งพรูออกมา

"ผม... ผมชอบคุณนะครับเมฆา ชอบแบบคนรัก" ปุณณ์พูดออกไปอย่างรวดเร็วและชัดเจน ราวกับว่าถ้าไม่พูดตอนนี้ เขาอาจจะไม่มีโอกาสพูดอีกแล้ว

สิ้นเสียงของปุณณ์ ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงชั่วขณะ เมฆาจ้องมองปุณณ์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

เมฆาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยิ้มให้ปุณณ์อย่างจริงใจ "ขอบคุณนะปุณณ์ ที่เธอชอบฉัน" น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและนุ่มนวลกว่าที่เคย

ปุณณ์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความหวังนั้นก็ดับลงอย่างรวดเร็วเมื่อเมฆาพูดต่อ

"แต่ฉัน... ฉันคงรับความรู้สึกนั้นของเธอไว้ไม่ได้จริงๆ" เมฆาพูดออกมาตรงๆ ดวงตาคมคายมองตรงมาที่ปุณณ์อย่างซื่อตรง ไม่มีแววล้อเล่นหรือขี้แกล้งเหมือนเคย "ฉันรู้สึกดีที่ได้ดูแลนายนะ เหมือนดูแลน้องชายคนนึง แต่มันก็แค่นั้นจริงๆ"

คำพูดของเมฆาเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของปุณณ์ ความผิดหวังถาโถมเข้าใส่จนเขาแทบจะยืนไม่อยู่ รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าได้เลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงความเจ็บปวดที่ฉายชัดอยู่ในดวงตา

"อ๋อ... ครับ" ปุณณ์ตอบเสียงแผ่ว พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมา "ผม... ผมเข้าใจครับ"

เมฆาสังเกตเห็นสีหน้าของปุณณ์ เขายื่นมือมาตบไหล่ปุณณ์เบาๆ อย่างปลอบโยน "อย่าคิดมากนะปุณณ์ ฉันเองก็ยังคงเป็นห่วงนายเหมือนเดิมนั่นแหละ"

ปุณณ์พยักหน้ารับอย่างเหม่อลอย "ครับ"

เมฆาถอนหายใจเล็กน้อย "ไปเถอะ เดี๋ยวจะเย็นมากแล้ว นายต้องกลับหอไปพักผ่อน"

เมฆาเดินจากไป ทิ้งให้ปุณณ์ยืนนิ่งอยู่คนเดียวกลางทางเดิน เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ ความรู้สึกเจ็บปวดค่อยๆ กัดกินหัวใจช้าๆ เขาก้มหน้าลงมองพื้น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้เริ่มเอ่อคลอขึ้นมา

ปุณณ์กลับถึงหอพักด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง และปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาอย่างเงียบๆ เขาเข้าใจดีว่าเมฆาไม่ได้ผิด เมฆาใจดีกับเขาเสมอมา และการที่เมฆาปฏิเสธเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะความรู้สึกไม่ได้เป็นสิ่งที่เราบังคับกันได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ปุณณ์ก็ยังคงชอบเมฆาอยู่ดี และเขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดำเนินไปในทิศทางไหน... และหัวใจของเขาจะรับมือกับความรู้สึกนี้ได้อย่างไร ความหวังที่เคยมีได้มอดลงไปแล้ว เหลือเพียงความจริงที่เจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญหน้า

ไม่นานหลังจากการสารภาพรักในวันนั้น โลกของปุณณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สีสันที่เมฆาเคยนำมาสู่ชีวิตเขาดูเหมือนจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวด ปุณณ์พยายามหลีกเลี่ยงเมฆาอย่างเงียบๆ เขาไม่เข้าไปในห้องสมุดในช่วงเวลาที่เมฆาชอบไป ไม่ไปโรงอาหารในเวลาที่รู้ว่าเมฆาจะอยู่ตรงนั้น แม้กระทั่งทางเดินที่เคยเดินประจำ เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงถ้าเห็นเมฆาอยู่ใกล้ๆ

แต่บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลก ไม่มีทางที่คนสองคนที่เรียนคณะเดียวกันจะหลีกเลี่ยงกันได้ตลอดไป

วันหนึ่งในคาบเรียนรวม ปุณณ์นั่งอยู่ท้ายห้องตามปกติ สายตาเขาเผลอกวาดไปเห็นเมฆาที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดกับกลุ่มเพื่อนสนิท เมฆากำลังหัวเราะกับเรื่องตลกของเพื่อนคนหนึ่ง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นทำให้หัวใจของปุณณ์เจ็บแปลบ เมฆายังคงเป็นเมฆาคนเดิม คนที่สดใสและเปล่งประกาย ในขณะที่โลกของปุณณ์กลับมืดมิดลง

หลังเลิกเรียน ปุณณ์รีบเก็บของแล้วเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้เมฆาเห็นเขาในสภาพที่อ่อนแอแบบนี้

"ปุณณ์!" เสียงทุ้มต่ำของเมฆาดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ปุณณ์ชะงักฝีเท้า เขาพยายามทำใจให้เข้มแข็งที่สุด ก่อนจะหันกลับไปมองช้าๆ

เมฆาเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเป็นมิตร "ทำไมรีบจังเลย"

ปุณณ์รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที "เอ่อ... ผม... ผมมีธุระต่อน่ะครับ"

"อ้อ เหรอ" เมฆาพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูไม่เข้าใจท่าทีของปุณณ์นัก "ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะ เธอหลบหน้าฉันหรือเปล่า"

คำพูดของเมฆาทำให้ปุณณ์รู้สึกสะอึก เขาพยายามจะปฏิเสธ แต่คำพูดก็ติดอยู่ที่ลำคอ

"เปล่าครับ" ปุณณ์ตอบเสียงเบา ดวงตาพยายามหลบเลี่ยงการสบตาตรงๆ กับเมฆา

เมฆาถอนหายใจเล็กน้อย "ฉันรู้ว่านายรู้สึกไม่ดี... แต่ฉันแค่อยากให้เรารู้สึกเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะปุณณ์" น้ำเสียงของเมฆาเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่สำหรับปุณณ์แล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด

"ผม... ผมเข้าใจครับ" ปุณณ์พูดพลางก้มหน้าลง เมฆาไม่รู้หรอกว่าการเป็นเพื่อนกับคนที่เรารักมันยากแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหัวใจมันยังคงเจ็บปวดอยู่แบบนี้

เมฆาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ปุณณ์เบาๆ "เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหมือนเดิม ก็บอกฉันได้นะ"

ปุณณ์พยักหน้ารับอย่างเหม่อลอย เมฆาเห็นท่าทีของปุณณ์แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขารู้สึกได้ถึงกำแพงบางๆ ที่ปุณณ์สร้างขึ้นมาระหว่างพวกเขา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำลายมันได้อย่างไร

เมฆาเดินจากไป ปล่อยให้ปุณณ์ยืนอยู่คนเดียวกลางทางเดิน เขายืนนิ่งอยู่นาน แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมา แต่ปุณณ์กลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว

วันเวลาผ่านไป แต่ความเจ็บปวดในใจปุณณ์ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เขายังคงหลีกเลี่ยงเมฆาอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และบางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงพยายามทำ เมฆาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจ เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ชิดปุณณ์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับมาอยู่ในจุดที่ห่างเหินอีกครั้ง บางทีอาจจะมากกว่าตอนก่อนที่จะรู้จักกันด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ปุณณ์เห็นเมฆาหัวเราะกับเพื่อนๆ หรือเห็นเมฆาเดินผ่านไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ความเจ็บปวดก็จะแล่นแปลบเข้ามาในใจเสมอ เขาคิดถึงช่วงเวลาที่เมฆาเคยเข้ามาช่วยเขา คิดถึงรอยยิ้มขี้แกล้ง คิดถึงมือที่เคยขยี้ผมของเขาอย่างอ่อนโยน แต่ตอนนี้ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงความทรงจำที่เจ็บปวด

ปุณณ์รู้ว่าเขาต้องก้าวผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่... และอย่างไร

การสารภาพและถูกปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ทำให้โลกของปุณณ์ก็พังทลายลงอย่างแท้จริง ทุกวันคือการต่อสู้กับความรู้สึกเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจ เขาแทบไม่มีสมาธิกับการเรียน รายงานที่เคยทำอย่างตั้งใจกลับเต็มไปด้วยรอยขีดฆ่า เพราะความคิดถึงและภาพของเมฆายังคงวนเวียนไม่หาย ความห่างเหินที่ตั้งใจสร้างขึ้นกลับเป็นคมมีดที่กรีดแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปุณณ์เริ่มปลีกตัวออกจากเพื่อนสนิทอย่างวินด้วย เขาไม่อยากให้ใครเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของตัวเอง ไม่แม้แต่จะตอบข้อความหรือรับโทรศัพท์จากวินที่พยายามติดต่อมาด้วยความเป็นห่วง โลกที่เคยเงียบสงบอยู่แล้ว ยิ่งเงียบเหงาและอ้างว้างจนน่ากลัว

วันหนึ่งในห้องสมุด ปุณณ์กำลังนั่งก้มหน้าอยู่กับตำราเรียน โดยพยายามบังคับตัวเองให้อ่านตัวหนังสือตรงหน้า แต่ทุกคำก็ดูจะเลือนลางและไร้ความหมาย จู่ๆ เสียงหัวเราะสดใสของกลุ่มนักศึกษาก็ดังขึ้นไม่ไกล ปุณณ์ชะงักมือที่กำลังพลิกหน้ากระดาษ หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้ดีว่าเสียงนั้นเป็นของใคร

เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ และภาพที่เห็นก็เหมือนกับมีก้อนน้ำแข็งมาจุกอยู่ที่อก เมฆากำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน และหนึ่งในนั้นคือ ปลายฟ้า ดาวคณะอักษรศาสตร์ที่ทั้งสวยและโดดเด่น ปลายฟ้าหัวเราะอย่างร่าเริงขณะที่เมฆากำลังยื่นหนังสือบางอย่างให้เธอ ดูจากท่าทางแล้ว เมฆาดูเหมือนจะกำลังติวหนังสือให้ปลายฟ้าอยู่ เพราะมีหนังสือวางอยู่เต็มโต๊ะ และทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ รอยยิ้มของเมฆาที่ส่งให้ปลายฟ้านั้นดูอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างที่ปุณณ์ไม่เคยได้รับ

ภาพนั้นบาดลึกเข้าไปในใจของปุณณ์จนเจ็บไปหมด คำพูดของเมฆาที่บอกว่า "ฉันไม่ได้ชอบนายแบบนั้น" ยังคงดังก้องอยู่ในหู เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของประโยคนั้นอย่างแท้จริงในตอนนี้ เมฆาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยจริงๆ และตอนนี้เมฆาก็อาจจะมีคนที่เขารู้สึกด้วยแล้วก็ได้

ปุณณ์รีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ เขาไม่สามารถทนอยู่ในห้องสมุดนั้นได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินออกมาจากห้องสมุดด้วยก้าวที่เร่งรีบ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาจนภาพตรงหน้าพร่ามัว

ขณะที่เดินลงบันไดด้วยความเร่งรีบ ปุณณ์ก็ก้าวพลาดอีกครั้งอย่างซุ่มซ่าม ขาของเขาก้าวผิดจังหวะ ร่างกายเสียหลัก และกำลังจะร่วงหล่นลงจากขั้นบันได แต่มันแตกต่างจากครั้งก่อน... ครั้งนี้ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่มีวงแขนแข็งแรงที่คว้าเอวเขาไว้ได้ทัน

โครม!

ร่างของปุณณ์กลิ้งตกลงไปหลายขั้นบันได หนังสือและข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว แรงกระแทกทำให้เขารู้สึกเจ็บไปทั้งตัว โดยเฉพาะข้อเท้าที่บิดผิดรูปไปเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดทางใจที่เขากำลังเผชิญอยู่

นักศึกษาคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาต่างตกใจและรีบเข้ามามุงดู บางคนรีบเข้ามาช่วยเหลือปุณณ์ แต่สายตาของปุณณ์ยังคงจับจ้องไปที่ด้านบนของบันได เขามองกลับไปที่ทางเข้าห้องสมุดด้วยความหวังอันริบหรี่ แต่ก็ไม่มีเงาของเมฆาปรากฏขึ้นที่นั่นเลยแม้แต่น้อย

เมฆาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้เห็น ปุณณ์รู้ดี แต่ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าเมฆาตั้งใจที่จะทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง

น้ำตาที่กลั้นไว้มาตลอดหลายวันไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ปุณณ์ไม่สนแล้วว่าใครจะมอง ไม่สนแล้วว่าใครจะสมเพช เขาเจ็บปวดเหลือเกิน... เจ็บปวดจนไม่อาจทนเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไป

เขาเจ็บปวดที่ตัวเองยังคงรักคนที่ไม่มีวันรักตอบ เจ็บปวดที่ต้องเห็นเขามีความสุขกับคนอื่น และเจ็บปวดที่ต้องยอมรับความจริงที่ว่า... เขาไม่มีวันเป็นคนสำคัญของเมฆาได้เลย

เหตุการณ์ที่บันได ทำให้ปุณณ์ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพักหลายวัน ข้อเท้าที่พลิกทำให้เขาเดินเหินลำบาก และร่างกายก็มีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด แต่บาดแผลทางกายนั้นไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บปวดในใจที่ยังคงกรีดลึก

วิน เพื่อนสนิทของปุณณ์ รู้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุจากเพื่อนคนอื่นๆ และรีบมาเยี่ยมเขาที่ห้องทันทีที่รู้ ปุณณ์ไม่ได้บอกเรื่องที่เขาเห็นเมฆาอยู่กับปลายฟ้า หรือเรื่องที่เมฆาไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เขาพลัดตกบันไดเลย วินเห็นสภาพของปุณณ์แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้

"นี่แกไปทำอะไรมา ทำไมถึงซุ่มซ่ามได้ขนาดนี้วะปุณณ์" วินถามด้วยน้ำเสียงตำหนิปนเป็นห่วง ปุณณ์ได้แต่ส่ายหน้าเงียบๆ

"ไม่มีอะไรหรอก แค่เดินไม่ระวังน่ะ" ปุณณ์ตอบเสียงแผ่ว พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

วินนั่งลงข้างๆ เตียงของปุณณ์ "หน้าตาแกดูไม่ดีเลยนะ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องตกบันไดใช่ไหม" วินมองหน้าปุณณ์อย่างจับผิด "มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าวะ บอกฉันได้นะเว้ย"

ปุณณ์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้วินฟังเหลือเกิน อยากจะระบายความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวว่าวินจะมองเขาด้วยความสงสาร หรือตำหนิที่เขายังคงจมอยู่กับความรู้สึกนี้

"เปล่าหรอก" ปุณณ์ตอบสั้นๆ "แค่เจ็บตัวนิดหน่อยน่ะ"

วินถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าปุณณ์ยังคงปิดกั้นตัวเอง "โอเค งั้นก็พักผ่อนเยอะๆ นะเว้ย ถ้ามีอะไรก็บอกละกัน" วินอยู่ดูแลปุณณ์อีกพักใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับไป

หลังจากวินกลับไปแล้ว ปุณณ์ก็จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกเดียวดายอีกครั้ง เขามองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปนอกโลกที่ยังคงดำเนินไปอย่างสดใส แตกต่างจากโลกของเขาโดยสิ้นเชิง

หลายวันต่อมา ปุณณ์กลับไปเรียนตามปกติ แต่เขายังคงระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ใช่แค่ระวังไม่ให้ตัวเองซุ่มซ่ามอีก แต่ยังระวังที่จะไม่ให้ตัวเองไปอยู่ในที่ที่อาจจะเจอเมฆาด้วย และถ้าบังเอิญเจอกัน เขาก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการสบตา หรือการพูดคุยให้มากที่สุด

เมฆาเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของปุณณ์ เขายังคงทักทายปุณณ์บ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีกาแฟแก้วอุ่นๆ ไม่มีคำแนะนำเรื่องเรียน ไม่มีรอยยิ้มขี้แกล้งที่เคยทำให้หัวใจของปุณณ์เต้นแรงอีกแล้ว

มันคือความห่างเหินที่ปุณณ์เองเป็นคนสร้างขึ้น แต่เขาก็รู้สึกเจ็บปวดกับมันไม่น้อย

วันหนึ่ง ขณะที่ปุณณ์กำลังเดินผ่านสนามบาสเก็ตบอล เมฆากำลังเล่นบาสกับเพื่อนๆ เสียงลูกบาสกระทบพื้น เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของเมฆาดังเข้ามาในโสตประสาทของปุณณ์ เขาหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วหันไปมองภาพนั้น

เมฆากำลังชู้ตลูกบาสลงห่วงอย่างแม่นยำ เพื่อนๆ ต่างโห่ร้องดีใจ เขามีความสุขมากจริงๆ และความสุขนั้นไม่ได้มีปุณณ์เป็นส่วนหนึ่งเลย

ภาพนั้นย้ำเตือนให้ปุณณ์เจ็บปวดอีกครั้ง เขาตัดสินใจที่จะไม่หันกลับไปมองอีกแล้ว ปุณณ์เดินจากไปอย่างเงียบๆ ก้าวเดินของเขาหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกเดียวดายกัดกินหัวใจจนชาชิน

เขารู้สึกเหมือนมีกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับเมฆา เป็นกำแพงที่เขาเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เพื่อปกป้องหัวใจที่แตกสลายของตัวเอง แต่มันก็เป็นกำแพงที่ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก

ปุณณ์ไม่รู้ว่ากำแพงนี้จะสลายไปเมื่อไหร่ หรือจะสลายไปได้จริงๆ ไหม แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือ เขาต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ แม้จะไม่มีเมฆาอยู่เคียงข้างเหมือนวันวานก็ตาม

.

.

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันใหม่ แต่ปุณณ์กลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเสียงที่ย้ำเตือนถึงความว่างเปล่าภายในใจ ร่างกายขยับลุกจากเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าทางกาย แต่เป็นความเหนื่อยล้าที่กัดกินลึกไปถึงจิตวิญญาณ นับตั้งแต่วันที่เมฆาปฏิเสธความรู้สึกของเขา ทุกสิ่งรอบตัวก็ดูไร้ชีวิตชีวาไปหมด ปุณณ์พยายามจะกลับไปจมอยู่กับตำราเรียนและโลกของตัวเลขเหมือนเคย แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน สมาธิของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพของเมฆาพร้อมรอยยิ้มที่เคยทำให้หัวใจอบอุ่น ตอนนี้กลับกลายเป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวด

ชีวิตในมหาวิทยาลัยยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ปุณณ์ยังคงเข้าเรียน ทำกิจกรรมที่จำเป็น แต่ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อการประคองตัวเองให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน เขาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเมฆาอย่างถึงที่สุด และดูเหมือนเมฆาเองก็ไม่ได้พยายามจะเข้ามาใกล้ชิดเขาอีกต่อไปแล้ว ต่างคนต่างอยู่ในเส้นทางของตัวเอง เหมือนกับที่เมฆาเคยบอกว่าเขาเป็นเพียง "น้องชาย" ที่ต้องดูแล แต่เมื่อถูกปฏิเสธแล้ว สถานะนั้นก็ดูจะเลือนหายไปโดยปริยาย

บ่ายวันหนึ่ง ปุณณ์กำลังนั่งอยู่ในโรงอาหารกับวิน วินยังคงเป็นเพื่อนที่ดีและพยายามชวนปุณณ์คุยเรื่องต่างๆ แม้จะรู้ว่าปุณณ์ไม่ค่อยมีสมาธิ และดูเศร้าหมองลงไปมาก

"นี่ปุณณ์ แกดูซึมๆ นะช่วงนี้ เป็นอะไรวะ" วินถามด้วยความเป็นห่วง พลางเขี่ยช้อนในจานข้าวไปมา

ปุณณ์ส่ายหน้าเบาๆ "ไม่มีอะไรหรอก แค่อ่านหนังสือเยอะไปหน่อยมั้ง" เขาพยายามยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืนเหลือเกิน

วินถอนหายใจ "แกไม่ต้องมาโกหกฉันเลยนะปุณณ์ ฉันเห็นแกมาตั้งนานแล้ว ปกติแกไม่เคยเป็นแบบนี้" วินหยุดกินข้าวแล้วหันมาเผชิญหน้ากับปุณณ์ "เรื่องไอ้เมฆาใช่ไหม"

คำพูดของวินทำให้ปุณณ์สะดุ้ง เขาก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าสบตาเพื่อน

"ไม่... ไม่ใช่นะ" ปุณณ์ปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม

"ไม่ใช่อะไรล่ะ" วินพูดยืนกราน "ฉันเห็นแกแอบมองมันตลอด แถมพอเห็นมันอยู่กับปลายฟ้าทีไร แกก็ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกทุกที"

ปุณณ์เงียบไป เขาไม่คิดว่าวินจะสังเกตเห็นเรื่องพวกนี้มากขนาดนั้น ความรู้สึกอับอายและเจ็บปวดถาโถมเข้ามาพร้อมกัน

"วิน... คือ..." ปุณณ์พยายามจะอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

"แกชอบมันใช่ไหมปุณณ์" วินถามตรงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความเข้าใจและเป็นห่วง

น้ำตาของปุณณ์เริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยักหน้าช้าๆ "ใช่... ผม... ผมชอบเมฆา" เสียงของเขาสั่นเครือ "แล้วผมก็ไปบอกมันแล้วด้วย"

วินเบิกตากว้างเล็กน้อย "แล้วมันว่าไงวะ"

"เมฆา... เขาบอกว่าไม่ได้ชอบผมแบบนั้น" ปุณณ์พูดด้วยเสียงที่แทบจะขาดห้วง "เขาบอกว่าเอ็นดูผมเหมือนน้องชาย"

วินเงียบไปพักหนึ่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ เขารู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขากำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน

"เฮ้อ... ฉันเสียใจด้วยนะปุณณ์" วินพูดพลางยื่นมือมาตบไหล่ปุณณ์เบาๆ "แต่แกก็ต้องยอมรับความจริงนะเว้ย บางทีมันก็ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก"

ปุณณ์พยักหน้ารับช้าๆ เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของใคร แต่มันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี

"แล้วตอนนี้แกจะทำยังไงต่อไปวะ" วินถาม

ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมองวิน ดวงตาแดงก่ำ "ผม... ผมไม่รู้เลยวิน ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้ความรู้สึกนี้มันหายไป"

วินถอนหายใจอีกครั้ง "มันต้องใช้เวลานะปุณณ์ แกก็รู้ ฉันอยู่ข้างแกเสมอนะเว้ย มีอะไรก็บอกได้"

ปุณณ์พยักหน้าเล็กน้อย แม้คำปลอบใจของวินจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้บ้าง แต่หัวใจของเขาก็ยังคงจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด เขารู้ว่านี่คือเส้นทางที่เขาต้องเดินคนเดียว... เส้นทางที่จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บปวด และก้าวผ่านมันไปให้ได้

ใบไม้สีเขียวด้านนอกหน้าต่างยังคงพลิ้วไหวไปตามแรงลม แต่ในใจของปุณณ์กลับรู้สึกแห้งแล้งราวกับฤดูร้อนที่ไม่มีวันสิ้นสุด หลายสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่การสารภาพรักที่จบลงด้วยความเจ็บปวด ปุณณ์ยังคงพยายามรักษาแผลใจที่ถูกเมฆาทิ้งไว้ เขาพยายามกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เคยเป็นก่อนที่จะได้รู้จักเมฆา นั่นคือการจมดิ่งอยู่กับโลกของตัวเอง โลกที่เต็มไปด้วยตัวเลขและสูตรคำนวณ ที่ไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก

เขาเริ่มกลับไปนั่งทำรายงานและอ่านหนังสือในห้องสมุดเหมือนเดิม แม้สมาธิจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก แต่เขาก็พยายามบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เพื่อไม่ให้มีเวลาคิดถึงเมฆาอีก แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าห้องสมุดเป็นสถานที่ที่เมฆาชอบมา และบางครั้งความพยายามของปุณณ์ก็ไม่ได้ผล

วันหนึ่ง ขณะที่ปุณณ์กำลังง่วนอยู่กับการค้นคว้าข้อมูล จู่ๆ ก็มีเงาของใครบางคนเดินผ่านโต๊ะไป ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมอง และก็เห็นเมฆากำลังเดินตรงไปที่มุมประจำของเขา ปุณณ์รีบก้มหน้าลงทันที พยายามทำเป็นว่าไม่เห็น และหันไปสนใจหนังสือตรงหน้าอย่างเร่งรีบ หัวใจของเขาเต้นรัวแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้

เมฆานั่งลงที่โต๊ะของเขาอย่างเงียบๆ ปุณณ์รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้มองตรงๆ กลิ่นน้ำหอมจางๆ ของเมฆาที่ลอยมาตามลม ทำให้ปุณณ์ยิ่งรู้สึกอึดอัด เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ และท่องในใจว่า "ไม่เป็นไร... เดี๋ยวเขาก็ไป"

ผ่านไปครู่หนึ่ง ปุณณ์ก็รู้สึกว่าเมฆากำลังลุกขึ้น ปุณณ์แอบชำเลืองมองเล็กน้อย และก็เห็นเมฆากำลังเดินออกไปจากห้องสมุดจริงๆ ปุณณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมานั่งหลบหน้าขนาดนี้ แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเมฆาในตอนนี้จริงๆ

หลังจากเหตุการณ์นั้น ปุณณ์ก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาอยู่กับวินให้มากขึ้น แม้ในตอนแรกจะหลีกเลี่ยงวินเพราะไม่อยากให้เห็นสภาพของตัวเอง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการเพื่อนและคนที่จะรับฟัง

"วิน..." ปุณณ์เริ่มบทสนทนาในขณะที่พวกเขากำลังเดินกลับจากโรงอาหารด้วยกัน

"ว่าไง" วินตอบพลางมองหน้าปุณณ์อย่างเป็นห่วง

"ฉัน... ฉันอยากจะพยายามนะ" ปุณณ์พูดเสียงเบา "พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก"

วินชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วหันมามองปุณณ์ด้วยแววตาที่อ่อนโยน "ดีแล้วปุณณ์ ฉันรู้ว่ามันยาก แต่แกต้องผ่านมันไปให้ได้นะเว้ย"

"ฉันรู้" ปุณณ์ตอบ "แต่มันก็เจ็บมากเลยนะวิน"

วินยื่นมือมาตบไหล่ปุณณ์เบาๆ "ฉันรู้... ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าแกอยากระบายอะไร ก็บอกฉันได้นะ"

คำพูดของวินทำให้ปุณณ์รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มบางๆ ให้กับเพื่อนสนิท แม้รอยยิ้มนั้นจะยังคงเจือด้วยความเศร้าก็ตาม

ปุณณ์เริ่มพยายามที่จะกลับไปทำกิจกรรมที่เขาชอบอีกครั้ง เขาไปที่ชมรมถ่ายภาพที่เคยสมัครไว้แต่ไม่ค่อยได้ไป เขากลับไปเล่นเกมที่เคยชอบ และพยายามหาอะไรใหม่ๆ ทำ เพื่อให้ตัวเองไม่จมอยู่กับความคิดถึงเมฆาอีก

แม้ทุกอย่างจะยังคงยากลำบาก และความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่ แต่ปุณณ์ก็รู้สึกว่าเขากำลังค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว อาจจะช้าหน่อย อาจจะล้มบ้าง แต่เขาก็จะพยายามลุกขึ้นยืนใหม่ และเดินต่อไปให้ได้

ท้องฟ้าหลังฝนในยามบ่ายมักจะสดใสเป็นพิเศษ ปุณณ์กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะของมหาวิทยาลัย แสงแดดยามเย็นส่องกระทบกับใบหน้าของเขาที่ดูสดใสขึ้นเล็กน้อย ในมือของเขากำลังถือกล้องถ่ายรูปตัวโปรดที่ไม่ได้จับมานาน เขากลับมาเข้าร่วมชมรมถ่ายภาพอย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่วินแนะนำ เพื่อดึงปุณณ์ออกจากวังวนความเศร้า

วันนี้ชมรมมีกิจกรรมถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในมหาวิทยาลัย ปุณณ์พยายามตั้งใจกับการถ่ายภาพแต่ละช็อตอย่างเต็มที่ การได้มองโลกผ่านเลนส์กล้องช่วยให้เขาลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วขณะ เขาก้มลงดูรูปที่ถ่ายได้ในจอดิจิทัล บางรูปก็สวยงามจนน่าพอใจ บางรูปก็ยังต้องปรับปรุง

"รูปนี้สวยดีนะ" เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ปุณณ์สะดุ้งเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้ทันทีว่าเป็นใคร

ปุณณ์ค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ และก็พบว่าเป็น เมฆา จริงๆ เมฆากำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาเล็กน้อย มองมาที่หน้าจอแสดงผลของกล้องในมือปุณณ์ด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ใบหน้าคมคายนั้นยังคงดูดีไม่เปลี่ยนไปเลย

"เอ่อ... ขอบคุณครับ" ปุณณ์ตอบเสียงแผ่ว พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ เขายังคงประหม่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้เมฆา แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าต้องทำตัวเป็นปกติก็ตาม

"กลับมาถ่ายรูปแล้วเหรอ" เมฆาถาม น้ำเสียงของเขาเป็นกันเองเหมือนเมื่อก่อนที่ยังไม่มีเรื่องราวระหว่างกันเกิดขึ้น "จำได้ว่าตอนนั้นนายบอกว่าชอบถ่ายรูป"

ปุณณ์พยักหน้าเล็กน้อย "ครับ พอดีช่วงนี้ว่างๆ ก็เลยกลับมาทำน่ะครับ"

เมฆายิ้มบางๆ "ดีแล้ว ถ้านายชอบก็ทำต่อไปเถอะ" เมฆาพูดพลางก้มลงมองรูปในกล้องของปุณณ์อีกครั้ง "มุมนี้ดีนะ แสงสวย"

ปุณณ์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดีเมื่อเมฆาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ ความรู้สึกที่เคยมีให้เมฆายังคงวนเวียนอยู่ในใจ แม้จะพยายามเก็บซ่อนไว้ก็ตาม

"คุณ... คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ" ปุณณ์ถามออกไป เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

"พอดีกำลังจะไปฟิตเนส ผ่านมาเห็นนายก็เลยแวะทักทาย" เมฆาตอบอย่างสบายๆ เขากำลังสวมชุดออกกำลังกายที่ดูทะมัดทะแมง และมีขวดน้ำอยู่ในมือ "ช่วงนี้นายดูดีขึ้นนะ ไม่ซึมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว"

คำพูดของเมฆาทำให้ปุณณ์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เมฆายังคงสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอ?

"ก็... พยายามปรับตัวน่ะครับ" ปุณณ์ตอบอย่างตะกุกตะกัก

เมฆายิ้มให้ปุณณ์อีกครั้ง "ดีแล้ว ชีวิตคนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปนี่" เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ "งั้นฉันไปก่อนนะ"

เมฆาเดินจากไป ปุณณ์มองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับสายตา ความรู้สึกเจ็บปวดที่เคยถาโถมเข้ามาทุกครั้งที่เห็นเมฆา ตอนนี้กลับลดน้อยลงไปบ้างแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ถูก

ปุณณ์กลับมาก้มมองกล้องในมือ เขาเลื่อนดูรูปที่เมฆาเพิ่งจะชมเมื่อครู่ รูปนั้นดูสวยงามขึ้นมาทันตาเห็น การได้ยินคำชมจากเมฆา แม้จะเป็นแค่คำชมเรื่องรูปถ่าย ก็ยังคงทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่ดี

เขายังคงไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเมฆาจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือ... การได้กลับมาทำสิ่งที่ตัวเองรัก และการได้พบเจอเมฆาอีกครั้ง ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดสาหัสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขากำลังจะก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้จริงๆ

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • ใกล้กว่าที่คิด   02

    หลังจากวันนั้นที่เมฆาไปส่งที่หอพัก ปุณณ์ใช้เวลาทั้งคืนคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อเมฆามันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่นึกถึงรอยยิ้มของเมฆา ความใจดีที่อีกฝ่ายมีให้ หรือแม้แต่การแกล้งกันเล็กๆ น้อยๆ หัวใจของปุณณ์ก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ความรู้สึกนี้ก็มาพร้อมกับความสับสนและความกังวลมากมาย เขาไม่แน่ใจว่าเมฆาคิดอย่างไรกับเขา หรือว่าที่ผ่านมาเป็นแค่ความใจดีในฐานะเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น วันรุ่งขึ้น ปุณณ์ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ปกติเขาไม่เคยทำมาก่อน เขาจะพยายามเป็นฝ่ายเข้าหาเมฆาบ้าง เขาจะไปรอที่หน้าตึกเรียนของเมฆาในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเลิกเรียน ปุณณ์ยืนรออยู่หน้าตึกอย่างกระสับกระส่าย เขามองนาฬิกาเป็นระยะๆ ก่อนจะเห็นกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตึก และในที่สุด เขาก็เห็นเมฆาเดินออกมากับเพื่อนๆ กลุ่มเดิม เมฆากำลังคุยกับเพื่อนด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สังเกตเห็นปุณณ์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน ปุณณ์รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วเดินเข้าไปหาเมฆาอย่างช้าๆ "เมฆา!" ปุณณ์เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เมฆาหันมา

  • ใกล้กว่าที่คิด   01

    เด็กหนุ่มเงียบๆ กับสายตาที่จับจ้อง ห้องสมุดคณะวิศวกรรมศาสตร์ในวันธรรมดานั้นเงียบสงบกว่าที่คิด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเบาๆ กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นจังหวะ และกลิ่นอายของกระดาษเก่าผสมกับกาแฟอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ มุมหนึ่งของห้องสมุดที่ติดหน้าต่างบานใหญ่ ปุณณ์ กำลังนั่งอยู่กับกองตำราเรียนที่สูงท่วมหัว แว่นตากลมโตที่สวมอยู่เลื่อนลงมาเล็กน้อย ทำให้เขาต้องดันขึ้นไปให้เข้าที่อยู่บ่อยครั้ง ปุณณ์เป็นคนเงียบๆ มาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่คนขี้อายถึงขั้นพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มต้นบทสนทนากับใครก่อน สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการจมดิ่งอยู่กับโลกของตัวเลข สูตรคำนวณ และทฤษฎีทางวิศวกรรม วันนี้ก็เช่นกัน ปุณณ์กำลังง่วนอยู่กับการทำรายงานวิชาฟิสิกส์สำหรับวิศวกรที่แสนจะซับซ้อน สูตรต่างๆ ตีกันยุ่งเหยิงในหัว จนบางครั้งเขาก็เผลอทำหน้ายู่โดยไม่รู้ตัว ปากกาในมือหยุดชะงัก สายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองวิวต้นไม้เขียวขจีที่พลิ้วไหวตามลม การพักสายตาแบบนี้ช่วยให้สมองของเขาได้เรียบเรียงข้อมูลอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า เสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนออกไปทางด้านหลังของเขาดังขึ้นเบาๆ แต่ก

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status