แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: ชอบกินหมั่นโถว
ซ่งสือเวยฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาอย่างยากลำบาก เธอพิงกำแพง ถือยาไว้ในมือแน่น ขณะที่ปิดหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเกสรดอกไม้เข้าไปอีกครั้ง

ยังไม่ทันได้มีเวลาพักหายใจเพียงชั่วครู่ หูก็ได้ยืนเสียงซักไซ้ของลู่อวิ๋นเซิน

“เธอเพ่งเล็งเซี่ยงหานขนาดนี้เลยเหรอ ดอกไม้พวกนี้ที่เซี่ยงหานเพิ่งให้พวกเรา เธอต้องทำลายมันด้วยเหรอ!”

เสียงโกรธเกรี้ยวของฉีซื่อดังตามมา

“ซ่งสือเวย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!”

ได้ยินแบบนี้ ซ่งสือเวยก็สูดหายใจเข้าลึก

เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ทั้งยังโกรธมาก มีความเดือดดาลมากมายที่อยากระบายออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นเพียงสะอื้นประโยคหนึ่งขณะที่เบ้าตาแดงก่ำ

“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือพวกนายที่เปลี่ยนไปกันแน่”

“ฉันเป็นโรคหอบหืด ทั้งยังแพ้เกสรดอกไม้ด้วย พวกนายไม่รู้เหรอ?”

น้ำเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

ทว่าแต่ละคำล้วนราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งระเบิดเข้าหูของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ

เมื่อก่อนพวกเขากังวลเรื่องซ่งสือเวยมากที่สุด

ทุกครั้งที่ซ่งสือเวยมีอาการหอบหืด ก็เป็นทั้งสองคนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด ต่อให้ต้องปีนกำแพงโดดเรียนก็ต้องวิ่งกลับมา คอยเฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ คอยยกชาเสิร์ฟน้ำให้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเรียกให้ทั้งสองคนออกไปได้

ทว่าตอนนี้ แม้แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้พวกเขาก็ลืมไปหมดแล้ว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำนึกได้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่ ใบหน้ามืดครึ้มของลู่อวิ๋นเซิน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เผยความรู้สึกขอโทษออกมาบนใบหน้าเย็นชา

“ขอโทษ”

ฉีซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงความทรงจำในอดีตที่เมื่อซ่งสือเวยมีอาการป่วยเล็กน้อย พวกเขาก็คอยอยู่ข้างเธอหลายต่อหลายครั้ง เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าเธอเจ็บปวดมากเพียงใด เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “เธอ เมื่อกี้ไม่เป็นไรใช่ไหม? ขอโทษนะ ดอกไม้พวกนี้เป็นเซี่ยงหานที่ออกไปเก็บข้างนอกด้วยตัวเอง เธอตั้งใจมาก ดังนั้นฉันก็เลยร้อนใจขนาดนี้”

ซ่งสือเวยนิ่งเงียบไม่ได้ตอบกลับ

เมื่อเห็นเธอใช้ยาแล้ว และสีหน้าก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็รีบเก็บดอกไม้ออกไป

หลังจากนั้นหลายวัน ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ไม่ได้กลับบ้าน

ไฟในห้องของพวกเขาไม่ได้เปิดเลย

ซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกัน เธอยุ่งกับการเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง

หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางเกือบเสร็จแล้ว เธอจึงเพิ่งเริ่มมองพิจารณาบ้านหลังนี้

ตอนแรกเธอซื้อที่นี่ ต่อมา ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเพราะอยากอยู่ใกล้เธอ จึงซื้อบ้านทั้งซ้ายขวา หลังจากเชื่อมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นบ้านในปัจจุบัน

ดังนั้น บ้านในตอนนี้จึงเป็นของเธอเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

หากต้องการขายทิ้ง ก็ยุ่งยากอยู่บ้าง

วันนี้ในที่สุดลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็กลับมา ทว่ากลับบังเอิญเจอนายหน้าที่มาคุยเรื่องดูบ้านกับซ่งสือเวยพอดี

เมื่อเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในบ้าน ลู่อวิ๋นเซินก็มีสีหน้าเย็นชาทันที “คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”

เมื่อเผชิญกับสายตากดดันสองคู่ นายหน้าหนุ่มก็ตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน แต่ก็ยังพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีครับคุณผู้ชายทั้งสองท่าน ผมเป็นนายหน้า เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าต้องการขายบ้านหลังนี้ครับ”

ขายบ้าน?

ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองความตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่ายออก

พวกเขามีสีหน้าเย็นชา กำลังจะไล่คนออกไป แต่วินาทีต่อมา ซ่งสือเวยก็ลงมาชั้นล่างพอดี

“เป็นฉันเองที่ต้องการขายบ้าน ฉันกำลังจะบอกเรื่องนี้กับพวกนายพอดี”

ได้ยินคำพูดนี้ ในใจลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็บีบรัดทันที และพูดพร้อมกันว่า “ทำไมต้องขายด้วย? ไม่ใช่ว่าก็อยู่กันมาดี ๆ เหรอ?”

ฉีซื่อนึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา ก็ราวกับรู้สาเหตุ จึงถามออกมาตามตรง “เธอยังโกรธเพราะเรื่องเมื่อหลายวันก่อนอยู่ใช่ไหม?”

เขาตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวขอโทษในแบบที่หาได้ยาก “พวกเราไม่ได้ตั้งใจลืมว่าเธอแพ้เกสรดอกไม้ เธอต้องทำเรื่องเด็ดขาดขนาดนี้เลยเหรอ?”

ซ่งสือเวยส่ายศีรษะอย่างใจเย็น “ไม่เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน...”

เกี่ยวกับพวกนายต่างหาก

ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับพวกนายอีกแล้ว

แม้จะคิดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา และพูดเพียงว่า “พวกนายก็รู้ว่าฉันลาออกแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนงาน ก็เลยไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันทุกวันแล้วก็ได้”

ลู่อวิ๋นเซินมีสีหน้ามืดครึ้ม ยังคงไม่ยอมแพ้

“ถ้าสาเหตุเป็นเพราะงาน ก็มีฉันกับอาซื่อไปรับส่งเธอทำงานอยู่ เธอไม่ต้องกังวลหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็บอกเองว่าพวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็คุ้นเคยกันแล้ว ทำไมจะต้องแยกกันด้วย”

“ใช่ มีฉันกับอวิ๋นเซินอยู่ อย่างแย่สุดก็ยังให้คนขับรถคอยรับส่งเธอได้ ฉันไม่เห็นด้วยที่จะแยกกันอยู่” ฉีซื่อก็เอ่ยว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าไม่อาจโน้มน้าวพวกเขาได้ ซ่งสือเวยก็ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องยืนกรานแบบนี้

เธองัดไพ่ตายออกมา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นก็ขายบ้านหลังนี้ก่อน และไว้ค่อยซื้อบ้านสักหลังที่ใหญ่กว่าเดิมสักหน่อย ถึงตอนนั้นก็ยังพาเซี่ยงหานมาอยู่ด้วยกันได้”

ได้ยินชื่อเซี่ยงหาน ทั้งสองคนก็ดวงตาเป็นประกาย และลังเลในขณะเดียวกัน

สุดท้ายฉีซื่อก็ไม่อาจต้านทานข้อเสนอนี้ได้ และพูดขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าพูดแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

มีเพียงลู่อวิ๋นเซินที่ครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ และมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน “เธอเต็มใจ...จะให้เซี่ยงหานมาอยู่ด้วยกันเหรอ?”

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเหมือนที่เขาจินตนาการไว้

แต่ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญ ซ่งสือเวยก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “แน่นอนสิ ทำไมจะไม่เต็มใจล่ะ? ก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น”

เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“เอาแบบนี้เถอะ ขายบ้านหลังนี้ทิ้งแล้วค่อยซื้อใหม่”

หลังจากพูดออกไป ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้คัดค้านอีก
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status