แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: ชอบกินหมั่นโถว
พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวย

ชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู

เฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไร

ผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกัน

จากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้าน

คืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้าน

ซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้าย

ตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้ว

พวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่

เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้ว

เสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมา

เมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น

“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”

ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา “หนูน่าจะไปถึงประมาณหนึ่งทุ่มค่ะ”

ทันใดนั้นเอง ประตูก็ถูกผลักเปิด เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย มองไปเห็นลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อยืนอยู่หน้าประตู

ฉีซื่อถามโดยไม่คิดอะไร “เธอคุยโทรศัพท์กับใคร?”

“เปล่า”

ซ่งสือเวยวางสาย และตอบอย่างเย็นชา

น้ำเสียงเย็นชาที่ดังเข้าหู ทำให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อตกใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่เซี่ยงหานปรากฏตัว ช่วงนี้ซ่งสือเวยก็เหมือนจะห่างเหินกับพวกเขามากมาโดยตลอด...

เดิมทีลู่อวิ๋นเซินคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่ระยะนี้ท่าทีผิดปกติของซ่งสือเวยผุดขึ้นมาในสมองเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังเริ่มทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก

เขาพูดโดยไม่รู้ตัว “เวยเวย เซี่ยงหานต่างจากเธอ ฐานะทางบ้านของเซี่ยงหานไม่ดีจึงลำบากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นฉันจึงอดไม่ได้ที่ช่วยเหลืออีกฝ่าย ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้”

ฉีซื่อก็อธิบายเช่นกัน “ใช่ พวกเราแค่สงสารเสี่ยวหาน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนแรกก็เป็นเธอเองที่แนะนำเสี่ยวหานให้พวกเรารู้จักไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอต้องหึงอีกฝ่ายด้วย?”

ซ่งสือเวยมีสีหน้าสงบ “มาบอกเรื่องพวกนี้กับฉันทำไม?”

ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน “เพราะเธอใส่ใจ!”

พวกเขาทั้งสามคนเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกัน ความเข้าใจกันที่บ่มเพาะมาหลายปี ขอเพียงเธอเอ่ยปาก พวกเขาก็รู้ได้ว่าเธออยากพูดอะไร ขอเพียงเธอยื่นมือมา พวกเขาก็รู้ว่าเธออยากทำอะไร แล้วพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นว่าเธอใส่ใจได้อย่างไร?

แต่ตอนนี้ นับวันพวกเขาก็ยิ่งมองเธอไม่ออก

ในแววตาของซ่งสือเวยมีความเย็นชาฉายชัด ราวกับกำลังมองคนสองคนที่ไม่ได้สำคัญ “ฉันไม่ใส่ใจ พวกนายไม่ได้บอกว่าเธอเป็นเพื่อนเหรอ ฉันก็เป็นเพื่อนของพวกนายเหมือนกัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะไปใส่ใจทำไม?”

ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็พูดไม่ออก

ลู่อวิ๋นเซินเงียบไปนาน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “เวยเวย เธอก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่แค่เพื่อน”

ฉีซื่อก็ควบคุมอารมณ์บนใบหน้าไม่ได้มากกว่าเดิม “หลายปีมานี้ฉันปฏิบัติต่อเธอยังไง เวยเวย เธอคงไม่ได้คิดว่าพวกเราเป็นแค่เพื่อนจริง ๆ ใช่ไหม?”

ซ่งสือเวยย่อมรู้ว่าพวกเขาพูดอะไร

พวกเขาต่างก็ชอบเธอ และอยากอยู่ด้วยกันกับเธอ

แต่หากการช่วยเซี่ยงหานรังแกเธอเป็นความชอบของพวกเขา เธอคงทนรับไม่ไหว

เธอพยักหน้า “ใช่ พวกเรายังมีอีกสถานะหนึ่ง”

อีกไม่นาน เธอกับพวกเขาจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกันแล้ว

อีกสถานะหนึ่ง ก็มีเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น

คำพูดของเธอแฝงความนัย ลู่อวิ๋นเซินหัวใจเต้นแรงขึ้นชั่วขณะหนึ่ง และรู้สึกไม่สบายใจโดยไม่รู้สาเหตุ ขณะที่กำลังจะพูด วินาทีต่อมาคนขับรถก็เดินเข้ามา และกำลังจะช่วยขนสัมภาระของซ่งสือเวย

ซ่งสือเวยขวางคนขับรถไว้ “พวกนายไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันขนไปเอง”

ได้ยินแบบนี้ ฉีซื่อก็หงุดหงิดขึ้นมา “ของมากมายขนาดนี้ เธอจะขนไปยังไง? เลิกโกรธเถอะ เป็นฉันที่ไม่ดีเอง ฉันขอโทษเธอ โอเคไหม”

ซ่งสือเวยยืนกรานปฏิเสธ “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ พวกนายไปช่วยเซี่ยงหานเถอะ เธออาศัยอยู่คนเดียวทั้งยังเป็นผู้หญิงอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจหยิบจับอะไรได้ คงต้องการความช่วยเหลือของพวกนายมากกว่า”

ลู่อวิ๋นเซินฟังการประชดประชันในคำพูดของเธอออกจึงขมวดคิ้ว ขณะที่เซี่ยงหานโทรเข้ามาพอดี

“อวิ๋นเซิน อาซื่อ พวกนายมาช่วยฉันหน่อยได้ไหม? เป็นความผิดฉันเอง ฉันซุ่มซ่าม ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด”

น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจปนอ่อนแอดังผ่านปลายสายมา เข้าสู่หูของทุกคนอย่างชัดเจน

ทั้งสองคนสบตากัน ทั้งยังมองซ่งสือเวยซึ่งมีท่าทียืนกรานว่าไม่ต้องการให้ช่วย สุดท้ายก็ตัดสินใจออกมาก่อน

ลู่อวิ๋นเซินวางสาย มองไปทางซ่งสือเวย “เซี่ยงหานจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันจะไปช่วยเธอ”

ฉีซื่อก็หยิบกุญแจรถเช่นกัน “ฉันก็จะไปด้วย”

ขณะที่พวกเขารีบออกไป ลู่อวิ๋นเซินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จึงหันกลับไปพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “เวยเวย ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอคงฟังอะไรไม่เข้าหู ฉันจองร้านอาหารไว้แล้ว รอหลังจากย้ายบ้านเสร็จ พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ เรื่องของเซี่ยงหานฉันจะอธิบายให้เธอฟังทีหลัง”

ไม่รอให้ซ่งสือเวยตอบกลับ เขาก็รีบออกไปแล้ว

มองเงาของทั้งสองคน ซ่งสือเวยก็ยกมุมปากขึ้น

อธิบายให้ฟังทีหลัง?

น่าเสียดาย ระหว่างพวกเขาไม่มีทีหลังอีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อในช่วงนี้ ซ่งสือเวยไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังอธิบายอะไรได้อีก

ตอนนี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เซี่ยงหานส่งข้อความที่เต็มไปด้วยการยั่วโมโหมาข้อความหนึ่ง

‘ขอโทษนะพี่เวยเวย ฉันไม่คิดว่าแค่พูดประโยคเดียวจะทำให้อวิ๋นเซินกับอาซื่อทิ้งพี่ หลังจากนี้พวกเราสี่คนมาอยู่ด้วยกันเถอะ ฝากตัวด้วยนะ!’

ซ่งสือเวยเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วแตะที่หน้าจอหลายครั้ง พิมพ์ตัวอักษรจำนวนหนึ่งลงไป

“ชีวิตดี ๆ ที่ไม่มีอะไรสำคัญเทียบเท่าได้ของพวกเธอสามคน ฉันไม่ขอข้องเกี่ยวด้วยแล้ว”

ทันทีที่ส่งข้อความสำเร็จ เธอก็บล็อกช่องทางการติดต่อทั้งหมดของเซี่ยงหาน

หลังจากนั้นก็ลู่อวิ๋นเซิน

และสุดท้ายก็ฉีซื่อ

รายชื่อหายไป ทั้งสามคนนี้ ในอนาคตจะหายไปจากโลกของเธอโดยสมบูรณ์

ในที่สุดเธอก็ยกกระเป๋าเดินทาง ก้าวออกจากบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำนับไม่ถ้วน และจากไปโดยไม่หันกลับมา
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status