ในฐานะแฟนเกมที่ตามเรื่องราวของชุดนี้มาตั้งแต่ยุคแรกๆ ผมเห็นว่า '
devil may cry 5' ทำหน้าที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันของซีรีส์ได้อย่างกลมกลืนทั้งในแง่เนื้อเรื่องและอารมณ์ ความต่อเนื่องที่เด่นชัดที่สุดคือตัวละครหลักสามคน—แดนเต้
เวอร์จิล และเนโร—ที่เส้นทางชีวิตแต่ละคนถูกทอเข้าด้วยกันมายาวนานตั้งแต่ 'Devil May Cry 1-4' สิ่งที่ภาค 5 ทำคือเอาประวัติศาสตร์และแรงจูงใจจากภาคเก่าเข้ามาเป็นแกนของเรื่อง: ความเป็นลูกของ
ภูติปีศาจจากตระกูลสปาร์ด ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง และเงื่อนงำเกี่ยวกับอาวุธสำคัญอย่างดาบ 'ยามาโต้' ทุกองค์ประกอบที่แฟนๆ รู้สึกคุ้นเคยจะปรากฏในบริบทใหม่ แต่ยังรักษากลิ่นอายเดิมไว้ไม่ให้หลุดลอย
ความเชื่อมโยงเชิงเหตุการณ์มีความชัดเจน เช่นการเปิดเผยว่าเนโรเป็นลูกของเวอร์จิล ซึ่งทำให้เหตุผลในการเผชิญหน้าระหว่างตัวละครมีน้ำหนักกว่าแค่การต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ ภาคนี้ยังคลี่คลายปมที่เริ่มตั้งแต่ 'Devil May Cry 3' เมื่อเวอร์จิลใช้ 'ยามาโต้' แยกตัวตนของตนออกเป็นสองส่วน—ซึ่งในภาค 5 ถูกแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นรูปแบบของสองบุคลิกคือ 'V' ที่เป็นครึ่งคน กับ 'Urizen' ที่เป็นครึ่งปีศาจ เรื่องการแยกและการกลับมารวมตัวนี้จึงเป็นแกนหลักของพล็อต และยังโยงไปถึงมิติทางจิตใจ ตลอดจนการค้นหาตัวตนที่วนเวียนอยู่ในซีรีส์มาโดยตลอด นอกจากนี้การปรากฏตัวของตัวละครรองจากภาคเก่าอย่างทริชและเลดี้ การอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่ Mundus และการกระทำของสปาร์ด ก็ทำให้โลกของเกมยังคงต่อเนื่องไม่หลุดลอย
ในเชิงธีมและโทน 'Devil May Cry 5' ใช้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นหัวใจ ทั้งความเกลียด
ชัง ความสูญเสีย และการให้อภัยที่ยังคงซ้อนทับกับการต่อสู้ มันไม่ใช่แค่การสู้กันเพื่ออำนาจ แต่เป็นการสะสางความสัมพันธ์เก่าๆ ระหว่างพี่น้องและการยอมรับบทบาทใหม่ของเนโรในฐานะรุ่นต่อไป ทางด้านการนำเสนอมีการหยิบไอเทมและมูฟเมนต์จากภาคก่อน—ระบบสไตล์ การใช้เดวิลทริกเกอร์ อาวุธไอคอนิกอย่าง 'ยามาโต้' และการพัฒนาทางเทคนิคที่ทำให้ฉากต่อสู้ดูทรงพลังขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายคอนเซ็ปต์เดิมไว้ได้อย่างลงตัว
สรุปแล้วภาคนี้เหมือนการปิดบทและเริ่มบทใหม่ในเวลาเดียวกัน มันให้ความรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้หายไป แต่ถูกนำมาตีความใหม่เพื่อขับเคลื่อนตัวละครไปข้างหน้า การที่ผู้สร้างกล้าหยิบเอาปมที่คาใจแฟนๆ มาตอบและขยายความ ทำให้เรื่องมีมิติและรู้สึกคุ้มค่าในการติดตาม ผลลัพธ์คือทั้งแฟนเก่าและผู้เล่นหน้าใหม่สามารถเข้าถึงความเข้มข้นของเรื่องราวได้ และส่วนตัวผมตื่นเต้นกับอนาคตของเนโรมาก—รู้สึกว่าบทนี้เพิ่งเริ่มต้นจริงๆ