ลองนึกภาพเมฆก้อนใหญ่กำลังกวาดผ่านสนามหญ้า แล้วแสงแดดสาดเข้ามาจากด้านข้างจนเห็นขอบบางของเมฆเป็นแสงสว่างสวยงาม การให้มิติแก่เมฆสำหรับงานแฟนอาร์ตไม่ใช่แค่การวาดรูปร่าง แต่เป็นการควบคุมแสง เงา และบรรยากาศร่วมกันอยู่ในชั้นเดียวกัน
วิธีที่ผมชอบเริ่มจากการแยกเลเยอร์ค่าโทนก่อน: ระบุมวลเมฆหลักด้วยสีพื้นกลางๆ เพื่อกำหนดซิลูเอท แล้วเพิ่มเลเยอร์เงาเข้มให้กับส่วนที่หนาและปิดกั้นแสง จากนั้นใส่ไฮไลต์ที่ขอบเมฆด้วยสีอุ่นหรือเย็นตามทิศทางแสง เมฆมีทั้งขอบแข็งและขอบนุ่ม การเล่นขอบแข็งเล็กน้อยบริเวณที่มีปะทะของแสงจะทำให้รูปทรงเด่นขึ้น ขณะที่ขอบนุ่มช่วยให้ความรู้สึกฟุ้งกระจาย เลือกพู่กันที่มีความโปร่งแสงและใช้การเบลนด์แบบไม่สุด เพื่อให้ยังเห็นความขรุขระภายในก้อนเมฆ
แสงสีและชั้นบรรยากาศเป็นอีกเรื่องสำคัญ เมฆในระยะใกล้ควรมีคอนทราสต์สูงกว่าและมีสีที่ชัดกว่า ส่วนเมฆไกลจะถูกดรอปค่าแสงและเปลี่ยนโทนไปทางฟ้าเพราะการกระเจิงของชั้นอากาศ การใช้เลเยอร์โทนสีบางๆ เช่นสีน้ำเงินอ่อนในแผนที่แสงรอบทิศ หรือใช้กลุ่มเลเยอร์แบบ 'overlay' สำหรับการเติมแสงสีทอง จะช่วยให้ความลึกชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่างฉากที่ชอบดูเป็นแรงบันดาลใจคือช่วงบรรยากาศฝนใน '
weathering with you' ที่แสงทะลุผ่านเมฆบางจุด ทำให้เห็นมิติแบบวอลลูเมตริกอย่างชัด
สุดท้ายผมมักจะใส่รายละเอียดเล็กน้อยเพิ่มชีวิต เช่นฝูงนกขนาดเล็ก เส้นเครื่องบิน หรือความชื้นเป็นละอองเล็กๆ ซึ่งช่วยยืนยันสเกลและทำให้เมฆดูมีบทบาทกับฉากมากขึ้น การฝึกสังเกตเมฆจริงในเวลาต่างๆ ของวันและลองจำลองด้วยพู่กันสองสามแบบจะทำให้เทคนิคนี้เข้าเนื้อขึ้นเรื่อยๆ งานเมฆที่มีมิติเข้ามาเสริมอารมณ์ของภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นแหละคือเสน่ห์ที่ทำให้อยากวาดต่อไป