ฉันมักจะเริ่มจากการคิดว่า
โรงเรียนเวทย์มนต์เป็นตัวละครตัวหนึ่งมากกว่าสถานที่เพียงอย่างเดียว — นี่เป็นแนวทางที่ช่วยให้ฉากแยกออกมามีชีวิตและมีน้ำหนักในแต่ละฉาก
การพรรณนาโดยอาศัยประสาทสัมผัสสี่ห้าอย่างช่วยได้เยอะ: กลิ่นเปียกของหญ้าหลังฝนในสนามฝึก, เสียงห้องสมุดที่เงียบจนได้ยินปลายนิ้วพลิกกระดาษ, ร่องรอยผงควันบนหน้าต่างที่ทิ้งแสงสว่างเป็นลวดลายแปลก ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้อ่านไม่ต้องถูกบอกว่าที่นี่เป็น '
เวทมนตร์' แค่เห็นรายละเอียดเล็ก ๆ ก็รับรู้ความต่างได้ทันที ฉันชอบใส่ของที่เผลอทำให้คนอ่านยิ้ม เช่น กล่องขนมที่มีเสกให้หมุนวนกลับมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ เสมอหรือหน้าต่างที่ชอบร้องเพลงตอนพายุมา — รายละเอียดพวกนี้ทำให้ฉากแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์
โครงสร้างฉากก็สำคัญ เช่น ฉากต้อนรับนักเรียนใหม่น่าจะยาวและ
อลังการ เพื่อสร้างอิมแพกต์แรกเห็น แต่ฉากในห้องเรียนควรสั้น กระชับ และมีจุดหักมุมเล็ก ๆ เพื่อขยับความสัมพันธ์หรือข้อมูลสำคัญ ฉันมักจะสลับจังหวะระหว่างบทสนทนาเชิงธรรมดา ๆ กับประโยคพรรณนาที่หน่วงความหมาย เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนเดินเล่นในพื้นที่นั้นจริง ๆ นอกจากนี้การวางกฎเวทมนตร์ที่ชัดเจนแต่แสดงผ่านการกระทำของตัวละครในฉากแยกจะทำให้โลกน่าเชื่อถือกว่าแค่บอกว่ามีเวทมนตร์
ตัวอย่างที่ฉันชอบอ้างถึงในใจเวลาออกแบบฉากคือการเปิดตัวโรงเรียนแบบพิธีการของ 'Harry Potter' กับฉากห้องทดลองที่มีรายละเอียดเชิงกลไกแบบในนิยายแฟนตาซีสมัยใหม่ — การดึงเอาจังหวะ การใช้เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือ และเสียงเข้ามาผสมผสานจะทำให้แต่ละฉากมีบทบาท ไม่ใช่แค่ฉากพื้นหลังเท่านั้น มันทิ้งความประทับใจไว้ให้ผู้อ่านเหมือนแอบเห็นโลกหนึ่งที่อยู่นอกความจริง และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉากแยกของโรงเรียนเวทย์มนตร์น่าจดจำ