แวบแรกที่เปิดอ่าน 'มังสามเกียด' รู้สึกเหมือนเจอโลกหนึ่งที่ผสมระหว่างประวัติศาสตร์และแฟนตาซีเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน ผมพบว่าจังหวะการเล่าไม่ได้เน้นแค่การต่อสู้หรือการผจญภัยเพียงอย่างเดียว แต่ให้เวลากับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ความขัดแย้งทางศีลธรรม และการเติบโตของคนธรรมดาที่โดนผลักเข้าสู่เหตุการณ์ใหญ่ของสังคม เรื่องเริ่มจากภาพชีวิตในชุมชนเล็ก ๆ ถูกความไม่ยุติธรรมและอำนาจกลางคุกคาม ทำให้ตัวเอกต้องตัดสินใจว่าจะยืนหยัดหรือถอย หน้าที่ ความรัก และคำสาบานกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
สภาพแวดล้อมในเรื่องมีทั้งฉากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยการเมืองสีเทาและชนบทที่ยังยืนหยัดด้วยขนบประเพณี ฉากต่อสู้บางฉากใช้รายละเอียดของยุทธวิธีและการใช้เครื่องมือจนผมอดนึกถึงสัมผัสแบบ
ยุคโบราณไม่ได้ ขณะเดียวกันก็มีเส้นเรื่องเหนือธรรมชาติที่แตะเรื่องกรรมพันธุ์และพลังลี้ลับ ซึ่งช่วยเพิ่มมิติให้เรื่องไม่กลายเป็นนิยายประวัติศาสตร์เคร่งเครียดเท่านั้น
เมื่อมองโดยรวมแล้ว 'มังสามเกียด' เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเลือกของมนุษย์เมื่อเผชิญกับอำนาจที่เหนือกว่า มิตรภาพที่เกิดขึ้นท่ามกลางศัตรู ความสูญเสียที่ต้องแลก และการค้นพบตัวตนที่แท้จริง ส่วนตัวแล้วผมชอบวิธีที่ผู้เขียนไม่ยัดคำตอบตายตัวให้ผู้อ่าน แต่ปล่อยให้ฉากและการกระทำของตัวละครเป็นผู้บอก ซึ่งทำให้แต่ละตอนอ่านแล้วอยากย้อนกลับมาคิดตามอีกหลายครั้ง