ในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุด
หลี่จิ่วหลินเล่าให้ฟังถึงแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจที่ไม่ใช่ภาพพจน์เดี่ยว ๆ แต่เป็นการถักทอของความทรงจำ สถานการณ์ในชีวิตประจำวัน และบทเพลงที่เขาได้ยินตอนเดินทาง เขาพูดถึงการสังเกตผู้คนบนรถไฟ ตลาดเช้า และเสียงฝนที่ตกบนหลังคาบ้านว่าเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับฉากเล็กๆ ที่กลายเป็นตัวละครในเรื่องราว สิ่งนี้ทำให้ฉันนึกถึงวิธีที่การสังเกตเล็กน้อยสามารถขยายเป็นเรื่องใหญ่ได้ กลิ่นอาหาร ยิ้มของคนแก่ หรือการไม่พูดอะไรของเด็กกลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาในนิยาย ความเรียบง่ายเหล่านี้ถูกเขายกขึ้นมาเป็นมาตรวัดความจริงใจในการเขียน มากกว่าความหวือหวาของพล็อตเพียงอย่างเดียว
นอกจากรายละเอียดชีวิตประจำวัน หลี่จิ่วหลินยังยกให้วรรณกรรมและดนตรีเป็นครูชั้นดีของเขา หนังสือคลาสสิก วรรณกรรมพื้นบ้าน และเพลงที่ฟังซ้ำในวัยเด็กถูกกล่าวถึงในเชิงเปรียบเทียบว่าเป็นคลังที่เก็บคำ เสียง และจังหวะของภาษา เขาพูดถึงการเดินทางไปยังเมืองเล็ก ๆ และการนั่งฟังคนเล่าเรื่องที่ร้านน้ำชาเป็นการสะสมพล็อตย่อม ๆ ซึ่งต่อมาถูกนำมาร้อยเรียงเป็นฉากในงานเขียน ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ทางประวัติศาสตร์กับจินตนาการก็เป็นอีกหัวข้อที่เขาย้ำอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ภาพของอดีตและปัจจุบันซ้อนทับกันในงานของเขาอย่างน่าสนใจ
เรื่องของงานเขียนเชิงเทคนิคก็ไม่ถูกมองข้าม หลี่จิ่วหลินพูดถึงความสำคัญของการเว้นจังหวะ การใช้ภาษาที่ไม่ล้น และการทิ้งช่องว่างให้ผู้อ่านเติมเอง เสียงเล็กๆ ของตัวละครหรือบรรยากาศที่ไม่ได้อธิบายทุกอย่างกลับทำให้อารมณ์เข้มข้นขึ้น เขายกตัวอย่างว่าบางครั้งการไม่บอกเหตุผลของการตัดสินใจของตัวละครกลับทำให้ผู้อ่านติดตามและตั้งคำถามมากขึ้นกว่าเหตุผลที่อธิบายจนหมดสิ้น ประเด็นนี้ทำให้ฉันคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการอ่านและการเขียน เพราะช่องว่างเหล่านั้นเป็นพื้นที่ให้ความหมายเติบโต
ท้ายที่สุด แรงบันดาลใจที่หลี่จิ่วหลินบอกเป็นเสมือนแผนที่ที่ไม่คงรูป เขาเห็นแรงบันดาลใจเป็นสิ่งไหลเวียน ไม่ได้ผูกมัดอยู่กับแหล่งเดียว และชวนให้ผู้เขียนค้นหาแรงผลักดันในชีวิตประจำวันของตัวเอง คำพูดเหล่านี้กระแทกใจฉันด้วยความจริงตรงไปตรงมา การเขียนสำหรับเขาจึงไม่ใช่การผลิตผลงานตามสูตร แต่เป็นการแปลความทับซ้อนของชีวิตให้เป็นเรื่องราวที่คนอื่นเข้าใจได้ ซึ่งทำให้รู้สึกอยากจับปากกาและจดบันทึกอะไรเล็ก ๆ รอบตัวทันที