ภาพรวมของเรื่องนี้ชัดเจนว่าตัวกลางของการเดินเรื่องคือคนที่ยืนอยู่ใกล้บัลลังก์ไม่ใช่คนบนบัลลังก์เองเสมอไป — นั่นคือภาพลักษณ์ของตัวเอกใน 'ลํานํารักเคียงบัลลังก์' ที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจน ตัวละครนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานระหว่างการเมืองกับความรัก ส่วนลึกของบทบาทคือการเป็นตัวกำหนดจังหวะอารมณ์ให้ทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจเชิงการเมือง การเลือกที่จะยอมเสียเปรียบเพื่อปกป้อง
คนสำคัญ หรือการเผชิญหน้ากับอคติในราชสำนัก ฉากที่ตัวเอกต้องแบกรับความขัดแย้งกลาง
งานเลี้ยงหรือในห้องบัลลังก์ มักทำให้เรื่องขยับจากความหวานไปสู่ความตึงเครียดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
มุมมองของผมชอบสังเกตถึงวิธีที่ตัวเอกใช้ความเปราะบางเป็นอาวุธ มากกว่าจะปิดบังมันให้เป็นความอ่อนแอ ตัวอย่างเช่นฉากสนทนาแบบส่วนตัวที่เผยให้เห็นความกลัวต่อการสูญเสียอำนาจ แต่กลับเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนให้ยึดมั่นในความสัมพันธ์บางอย่าง ช่วงเวลานั้นทำให้บทบาทของตัวเอกไม่ได้เป็นแค่คนรักหรือผู้ครองตำแหน่งทางสังคม หากยังเป็นตัวแทนของการต่อสู้เพื่อความจริงใจในสังคมที่เต็มไปด้วยเกมทางการเมือง ฉากเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงบางช่วงใน 'Game of Thrones' ที่ตัวละครต้องเลือกระหว่างอุดมคติและความอยู่รอด แต่โทนของ 'ลํานํารักเคียงบัลลังก์' นุ่มกว่าและใกล้ชิดกับอารมณ์ส่วนตัวมากกว่า
ท้ายที่สุด, มุมมองของผมคือการที่ตัวเอกยืนอยู่เคียงบัลลังก์ไม่ได้เพียงเพื่ออำนาจ แต่เพื่อลักษณะของการป้องกันและดูแล การเป็นคนที่คอยประสานความขัดแย้ง หาแนวทางประนีประนอม และกล้าพูดความจริงในที่ที่คนอื่นเลือกเงียบ — นั่นคือบทบาทที่ทำให้ตัวเอกมีคุณค่าในเรื่อง ไม่ใช่แค่เพราะเป็นจุดโฟกัสของพล็อต แต่เพราะทำให้เรื่องมีหัวใจ หากมองจากมุมการเล่าเรื่องแล้ว ตัวเอกคนนี้คือแรงขับที่เปลี่ยนบทสนทนาเล็กๆ ให้กลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่เสมอ และนั่นแหละทำให้ผมติดตามจนวางไม่ลง