เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก
ข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะ
ใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมา
มันทำให้เขาไม่สบายใจ
ความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?
ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริง
อาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...
คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสา
มันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมัน
เกลียดความรู้สึกนี้...
ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโรงพยาบาล และในห้าวันนั้น คีรินทร์อยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง ราวกับความแค้นและบาดแผลในใจก่อนหน้านี้...ไม่เคยเกิดขึ้น
แม้ตอนแรกเด็กชายจะหวาดผวาทุกครั้งที่เห็นเขา แต่เมลินก็ยังจับมือลูกไว้แน่น พูดเสียงนุ่ม
“แม่อยู่นี่นะลูก คนนี้...เขาไม่ทำอะไรเรา”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้น ค่อยๆ เปลี่ยนความกลัวในดวงตาเล็กๆ ให้กลายเป็นความคุ้นเคย
“ปะป๊า...” เสียงเรียกแผ่วเบาในเช้าวันที่สาม ทำเอาเขานิ่งค้างไปชั่วขณะ
“ว่าไงครับ” เสียงตอบกลับของเขาเบากว่าทุกครั้ง มือหนายกขึ้นลูบศีรษะลูกอย่างเผลอไผล
จากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสามก็เหมือนครอบครัว...โดยไม่รู้ตัว
คีรินทร์ไม่พูดมาก แต่เขาอุ้มน้องน๊อตตอนร้อง เมลินป้อนข้าว ลูกหัวเราะให้เขาเวลาฟังนิทาน และในทุกคืนเมลินก็ยังอยู่ตรงนั้น...ข้างเตียงลูก เหมือนแม่กับพ่อกับลูกในนิทานที่เด็กๆ ควรจะมี
แต่แล้วเสียงหนึ่งกลับกระชากพวกเขากลับสู่โลกแห่งความจริง
“น้องน๊อตแข็งแรงดีแล้วนะ กลับบ้านได้พรุ่งนี้” หมออคินกล่าวเรียบๆ ขณะตรวจเช็กอาการในวันที่ห้า
เพียงคำพูดนั้น ก็เหมือนเสียงฟ้าฟาดลงกลางใจ
คีรินทร์เมินหน้าหนี แววตาเข้มแข็งกลายเป็นสับสนโดยไม่ปิดบัง เมลินนั่งนิ่ง ใบหน้าซีดขาว ไร้เสียงพูดใดใด แต่เธอกำลังหวาดกลัวว่า...เขาจะพรากลูกไปอีกครั้ง
และเด็กชายอายุห้าขวบ ที่แม้จะยังไร้เดียงสา แต่ก็รับรู้ทุกอย่าง
คืนนั้น น้องน๊อตกระซิบถามเบาๆ ขณะนั่งบนเตียงข้างคีรินทร์
“พ่อครับ ถ้าผมหายดีแล้ว...แม่จะต้องไปใช่มั้ย?”
เขาชะงัก เสียงที่ถามนั้นใสซื่อแต่เจ็บลึก
คีรินทร์เงียบไปนาน ก่อนยื่นมือไปลูบหัวลูกเบาๆ
“กลางวัน...ถ้าแม่ทำตัวดี พ่อจะให้มาอยู่กับน๊อต” เขาเว้นวรรค ก่อนพูดต่อ
“กลางคืน แม่จะมานอนกล่อมน๊อตจนหลับ...แต่ต้องหัดนอนเองนะ น๊อตเป็นผู้ชายแล้ว”
เด็กชายยิ้มกว้างทันที โผเข้ากอดพ่อด้วยแขนเล็กๆ ที่อบอุ่นราวแสงอาทิตย์
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ในวันถัดมา ทุกอย่างเป็นไปตามที่คีรินทร์รับปากไว้ เขาอนุญาตให้เมลินได้อยู่กับลูกในห้องเล่น กลางวันนั่งวาดรูปด้วยกัน
บางครั้งคีรินทร์ก็นั่งเงียบมองอยู่ในมุมห้อง แม้จะไม่พูดอะไร แต่ทุกการกระทำของเขาล้วนส่งเสียง
“คีรินทร์...” เมลินเรียกเขาเบาๆ ขณะยื่นแก้วน้ำมาให้
เขามองเพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนี ไม่แม้แต่จะขยับตัวรับ
เธอไม่ได้ว่าอะไร เก็บแก้วน้ำกลับเงียบๆ และหันไปสนใจลูกเหมือนเดิม
ความเงียบระหว่างพวกเขาหนักอึ้ง
แต่สิ่งที่หนักกว่านั้น...คือคำถามในหัวของคีรินทร์ ที่ยังวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้าเขาเป็นลูกฉันจริง...แล้วทำไมเธอต้องหนี?”
“หรือว่าเธอ...เป็นสายของมัน?”
เพียงแค่คิดถึง 'มัน' ดวงตาของเขาก็แข็งกร้าวทันที
และ......การตายของคริส น้องชายต่างแม่ของเขา
ความรู้สึกที่หนักนี้ ทำให้เขาสับสนในวนเวียน ความรัก ความแค้น
กระทั่งคืนหนึ่ง...
คีรินทร์ออกจากบ้านหลังรับโทรศัพท์จากหมออคิน และไปดื่มหนักจนเมามายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“...แกยังสงสัยในตัวเมลินอยู่?” อคินถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบในร้านเหล้าส่วนตัว
“ใช่...และฉันต้องการรู้ความจริง” คำตอบนั้นราวกับเขากำลังทรมานตัวเอง
…อุณหภูมิภายในห้องชั้นใต้ดินต่ำกว่าชั้นอื่นในคฤหาสน์ แต่ไอร้อนจากแววตาของชายตรงหน้าทำให้ทั้งบรรยากาศกลับร้อนระอุจนน่าหวาดหวั่น…
เสียงประตูเหล็กเปิดออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของ คีรินทร์ เดินตรงเข้ามาด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์แรงจัดปะทะลมหายใจในทันที ดวงตาคมกริบคล้ายเสือที่ถูกปลุกจากการจำศีล จ้องตรงมายังหญิงสาวที่สะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียงเหล็ก
“คุณ... เมาเหรอ?” เสียงของเมลินสั่นพร่า ปลายเสียงตะกุกตะกักด้วยความตกใจและกังวล
เธอไม่ได้กลัวเพราะเขาเมา... แต่กลัวว่าในค่ำคืนนี้ เขาจะมองเธอเป็นศัตรู
เขาไม่ได้ตอบ... เพียงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงนั้น หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุอก มือหนึ่งค่อย ๆ ดึงเนกไทออกอย่างเชื่องช้า ก่อนโยนมันทิ้งลงพื้นราวกับอารมณ์ในใจเขาก็ไม่ต้องการเหตุผลอีกต่อไป
“บอกฉัน...” น้ำเสียงต่ำลึกและหอบน้อย ๆ จากฤทธิ์เหล้า
“วันนั้นที่หนีไป เธอคิดอะไรอยู่?”
หญิงสาวกำมือแน่น พยายามตั้งสติ ในขณะที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากของเธออย่างไม่ปิดบัง
“ฉันไม่มีทางเลือก...” เธอกระซิบ
หมับ!
มือใหญ่กระชากแขนเธอให้ลุกขึ้นแทบจะทันที ร่างของเธอเซไปปะทะอกกว้างนั้น กลิ่นตัวเขาผสมกับกลิ่นเหล้าทำให้เธอรู้สึกเวียนหัว แต่กลับไม่ได้ผลักเขาออก—กลับยืนนิ่ง… ราวกับหัวใจกำลังชั่งน้ำหนักระหว่าง “กลัว” กับ “โหยหา”
“ไม่มีทางเลือก? หรือเธอเลือกแล้ว?”
เสียงเขาหนักขึ้น มือข้างหนึ่งจับปลายคางเธอบีบเบา ๆ ให้แหงนหน้าขึ้นสบตา—แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและแรงปรารถนาอันเจ็บปวด
“เธอหลอกฉัน... เมลิน”
“ฉันไม่เคยหลอก—”
“โกหก!” เขาคำราม ขบกรามแน่น
แล้วทันใดนั้น ปากของเขาก็ประกบลงมาอย่างรุนแรง ดุดัน — ขบเม้มริมฝีปากล่างเธอราวกับลงโทษให้กับความเงียบตลอดห้าปีที่หายไป
จูบนั้นทั้งโกรธ ทั้งโหยหา…เหมือนเขากำลังลงโทษเธอ... และลงโทษตัวเองไปพร้อมกัน
“อื้อ...” เธอพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่เขากลับจับท้ายทอยไว้แน่น ดึงเธอกลับมา
ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต—กวาดล้างทุกความกลัว ทวงสิทธิ์ของความเป็นเจ้าของที่เขาคิดว่าถูกช่วงชิงไป
“ฉันควรเกลียดเธอ...” เขากระซิบชิดแก้ม หอบหายใจหนักหน่วง ขณะที่มือหนาเลื่อนไปยังต้นแขนเธอ—ดึงเสื้อเชิ้ตหลุดจากไหล่ลงมาอย่างไม่ลังเล
“แต่ฉัน...โคตรอยากได้เธอคืน”
...เพราะถ้าเธอจากไปอีกครั้ง—เขาไม่มั่นใจว่า จะมีหัวใจพอให้เกลียดเธอได้อีก
เสื้อเชิ้ตบางถูกกระชากออกจากร่าง เผยผิวขาวซีดสะท้อนกับแสงสลัวของไฟห้องใต้ดิน คีรินทร์จ้องมันเหมือนต้องการเผาเธอด้วยสายตา ก่อนจะ โน้มตัวลงลากลิ้นจากไหปลาร้าขึ้นไปถึงคาง
เธอสะท้านเฮือกกับสัมผัสที่ปะทุไปทั่วร่าง มือสั่นเทาจิกเข้ากับอกเสื้อของเขาแต่กลับไม่ผลักออก
เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้น—ขยุ้มอกนุ่มผ่านเสื้อชั้นใน บีบเคล้นด้วยแรงที่ผสมทั้งความแค้นและความกระหาย ก่อนจะ...
...เสียงหอบกระชั้นของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับแรงสัมผัสที่ไม่มีวี่แววจะผ่อนเบา…
คีรินทร์ผลักร่างเธอลงกับเตียงเหล็กอย่างแรงพอให้เธอจำได้ว่า เขาคือคนที่มีอำนาจเหนือเธอทุกตารางนิ้ว
เขาขึ้นคร่อมทันที… มือทั้งสองข้างตึงแน่นรั้งข้อมือบางของเธอไว้เหนือศีรษะ ร่างทั้งร่างของเมลินถูกกักขังอยู่ใต้เขา ไม่มีทางหนี และไม่มีเจตนาจะหนี
“คนทรยศ...จะไม่มีวันหนีไปได้อีก” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าข้างใบหู
จากนั้นลากลิ้นร้อนวนช้า ๆ ใต้กรามเธอ ไล่ต่ำลงไปยังเนินอก — ขบเบา ๆ อย่างเร้าอารมณ์ ก่อนจะใช้ฟันขบหนักลงบนเนื้ออ่อนตรงเหนือบรา จนเธอสะดุ้ง
“อ๊ะ...!” เสียงเธอสั่นพร่าและแหบหอบ แต่กลับไม่เปล่งคำปฏิเสธ
คีรินทร์ถอดเสื้อชั้นในของเธอออกอย่างรุนแรง
ฉีกมันด้วยมือเดียว แล้วโยนทิ้งลงพื้น
แววตาของเขาแทบกลืนกินทุกส่วนบนเรือนร่างตรงหน้า มือใหญ่ร้อนผ่าวเคล้นหน้าอกกลมได้รูป ดันเข้าหาตัว ใช้ลิ้นและริมฝีปากดูดขบวนจุดยอดอ่อนไหวจนแดงช้ำ
“ไม่...” เธอพยายามจะต่อต้าน — แต่เสียงเบาเหลือเกิน จนแทบกลืนหายไปกับเสียงหอบของเธอเอง
เขาละจากยอดอก เปลี่ยนไปไล้ลิ้นลากเส้นลงตามหน้าท้องที่สั่นไหวจากแรงหายใจของเธอ มืออีกข้างค่อย ๆ เลื่อนไปปลดกระดุมกางเกงนอนบางเบา
“อย่า...อย่าทำแบบนี้” เธอพูดพลางน้ำตาคลอ แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความวูบไหวปนสับสน
“แล้วเธอจะหยุดฉันได้ยังไง ในเมื่อร่างกายเธอกำลังเรียกร้องฉัน…”
เขาตวัดลิ้นร้อนเลียผ่านผิวเนื้อเนียนที่เริ่มชื้นเหงื่อ ลากผ่านหน้าท้องต่ำลงไป—ก่อนใช้ฟันขบขอบกางเกงในบางเบาแล้วดึงมันลงอย่างยั่วเย้า ราวกับจะลงโทษความเงียบที่เธอใช้กับเขาตลอดห้าปี
มือหนาแทรกระหว่างขาเธอช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วไล้วนอย่างแม่นยำจนเธอสะท้านเฮือก
“อื๊อออ… คีรินทร์…” เธอครางชื่อเขาเสียงสั่น
เพียงแค่นั้น...
เขาหยุดทุกการกระทำไว้ชั่วครู่
แววตานั้นสั่นไหว…
เขาจ้องใบหน้าของเธอ—ที่น้ำตาคลอแต่ดวงตาเต็มไปด้วย “ความรู้สึก” ไม่ใช่คำหลอกลวง
“ทำไมเธอไม่พูด…?”
เธอเม้มปาก ไม่ตอบ ร่างกายยังสั่นจากแรงสัมผัสที่ผ่านมา แต่หัวใจกลับแน่นขึง
แล้วเขาก็คร่อมลงมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งใจทั้งกาย
ไม่ใช่แค่ ‘ลงโทษ’ — แต่คือ ‘การครอบครอง’
คีรินทร์กดสะโพกลง กระแทกเข้าไปในตัวเธออย่างรุนแรงในจังหวะแรก
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสะท้านกำแพงห้อง
เธอกัดปากแน่น แอ่นตัวรับแรงกระแทกที่ไหลลื่นเข้าสุดแก่น
“เธอเป็นของฉัน...” เขากระซิบเสียงพร่า ขณะจังหวะขยับสะโพกเพิ่มความรุนแรงและถี่ขึ้น
“ทั้งร่างกายนี้ หัวใจนี้ และทุกความทรงจำในร่างเธอ...เป็นของฉัน!”
เขา บดสะโพกกระแทกลึกในจังหวะเน้นๆ สองครั้งติด จนเสียงครางของเธอดังลั่นห้อง
เสียงเนื้อกระทบ เสียงหอบ เสียงคราง ประสานกันเป็นจังหวะที่แทบไม่มีช่องให้ตั้งสติ
เขาขบไหล่เธอ ดูดดุนติ่งหู มือบีบสะโพกเธอแน่น เปลี่ยนท่ารวดเร็ว — พลิกเธอคว่ำหน้า แล้วจับสะโพกให้ลอยขึ้น
“ฉันจะทำให้เธอจำไปทั้งชีวิต ว่าฉันคือใคร!”
เขากระแทกเข้าด้านหลังอย่างไม่ปรานี ลึกและแน่นจนเสียงครางของเธอกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“อ๊าาา... คีรินทร์... พอ...”
“ไม่พอ จนกว่าเธอจะยอมพูดความจริงทั้งหมด”
เสียงนาฬิกาปลุกเบา ๆ ดังขึ้นในห้องนอนอบอุ่นยามเช้า แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านสีครีมสาดกระทบเตียงใหญ่กลางห้องเมลินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองร่างของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับคีรินทร์“แม่...วันนี้ผมได้ไปโรงเรียนกับพ่อใช่ไหมครับ?”เสียงน้องน็อตดังแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ยังไม่ลืมตาดีคีรินทร์ที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ขยับตัวช้า ๆ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างทะนุถนอม“ใช่ วันนี้พ่อจะไปส่งน็อตเอง”เสียงทุ้มของเขานุ่มนวลขึ้นกว่าทุกครั้ง ราวกับต้องการให้ทุกเช้าวันใหม่ของลูกชายเริ่มต้นด้วยความปลอดภัยเมลินยิ้มบาง ๆ พลางโน้มตัวไปหอมแก้มน้องน็อต“แม่วางเสื้อผ้าไว้ให้แล้วนะลูก อยู่ที่ปลายเตียง ไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะไปพร้อมกัน”เช้านั้นคือเช้าวันแรกที่น้องน็อตได้ไปโรงเรียน…ในฐานะลูกของ “พ่อกับแม่” อย่างเป็นทางการชื่อในใบสมัครเรียน ชื่อของบิดา คือ “คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์”ไม่มีคำว่า &ld
กรุงเทพฯ ยามเช้าดูวุ่นวายกว่าทุกวันเสียงแตรรถยนต์ที่ไม่เคยเงียบลงสักวินาที สะท้อนผ่านกระจกห้องนอนชั้นบนสุดของคฤหาสน์หรูใจกลางสุขุมวิท เมลินยืนพิงระเบียง เฝ้ามองวิวเมืองในความเงียบงัน ปลายนิ้วยังกำถ้วยกาแฟอุ่นไว้แน่นแค่กาแฟหนึ่งแก้ว…ก็ยังไม่มีแรงจะยกดื่มเธอฝืนยิ้มให้กับความจริงที่ตนเองไม่ยอมรับมาเนิ่นนานคฤหาสน์หรู ห้องนอนใหญ่ เตียงนุ่ม และคนรักที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอแต่มันไม่สามารถลบภาพในหัวของเธอออกไปได้เลย—เสียงระเบิด เสียงน็อตร้องไห้ หรือแม้แต่สัมผัสจากรถที่พุ่งเข้าหาเธอในวันนั้นเธอ…ยังคงฝันถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า"เมื่อคืนฝันร้ายอีกใช่ไหม?"เสียงทุ้มต่ำของคีรินทร์ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาก้าวเข้ามาช้าๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแบบลำลอง ร่างสูงใหญ่มากพอจะบดบังแสงเช้าไว้จนหมดมือเย็นแต่นุ่มของเขาแตะที่ไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมากอดจากด้านหลัง"ฉันไม่เป็นไร" เธอตอบอัตโนมัติ…แต่ไม่มองตาเขาคีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อยเขารู้…เธอไม่โอเครู้&h
มือแกร่งไล้ลงไปที่ต้นขาด้านใน เขาแยกขาเธอออกช้า ๆ แล้วก้มลงใช้ปลายลิ้นสัมผัสตรงกลางกลีบกุหลาบที่เปียกชื้นอยู่แล้วจากความปรารถนา“อื้อ…คี…”เสียงสะอื้นสั่นเครือหลุดออกมาไม่ทันจบประโยคเมื่อปลายลิ้นแกร่งนั้นกวาดลากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาดุนปลายลิ้นเข้าข้างใน สลับกับการดูดเม็ดละมุนจนร่างเธอสั่นเกร็งทุกครั้งที่ถูกจู่โจม“ไม่…อย่า…” เธอครางห้าม แต่มือกลับจิกเส้นผมเขาแน่นเพราะเขาไม่เพียงแค่สัมผัส…แต่กำลัง โอบกอดบาดแผลทั้งหมดของเธอด้วยลิ้นของเขาเมื่อเธอใกล้ถึงขีดสุด เขาจึงยอมถอนริมฝีปากออกแต่ยังไม่หยุด… ปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าไปทีละน้อยอย่างช้า ๆเขาดูดปลายอกเธอแรงขึ้นในขณะที่นิ้วข้างหนึ่งดันเข้าไปจนสุดโคนเสียงครางเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธออีกครั้ง พร้อมกับสะโพกที่แอ่นขึ้นอย่างลืมตัว“แฉะไปทั้งตัวแบบนี้…” เขาพึมพำต่ำ“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องการฉัน?”คีรินทร์จับเรียวขาเธอพาดบ่า แล้วขยับตัวเข้ามาจนส่ว
แสงแดดยามเย็นอาบไล้ผืนทรายทองบนเกาะส่วนตัวเงียบสงบในอ่าวไทย เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กับเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งไล่ปูกับแม่ของเขา สายลมอุ่นพัดกลิ่นเค็มของทะเลแทรกผ่านกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากโต๊ะไม้ใต้ศาลาริมชายหาด—อาหารทั้งหมดถูกจัดเตรียมโดยฝีมือของคีรินทร์เองเขาไม่ใช่มาเฟียอีกแล้วไม่มีแววโหด ไม่มีกลิ่นเลือด ไม่มีร่างกายที่เปื้อนบาปจากการฆ่ามีเพียงชายคนหนึ่ง…ที่เคยผ่านนรกมาเพื่อปกป้องคนที่เขารักคีรินทร์ยืนพิงเสาไม้ ยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ ดวงตาคมทอดมองภาพสองแม่ลูกอย่างเงียบงัน เมลินหัวเราะ เสียงนั้นไม่ใช่เพียงเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง…แต่มันคือเสียงของ "บ้าน"เขาไม่เคยมีบ้าน จนได้ยินเสียงนั้น"คุณพ่อ ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเองล่ะครับ!" น็อตวิ่งเข้ามาเกาะขาเขาแล้วเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสาคีรินทร์ย่อตัวลง ลูบผมลูกชายเบา ๆ"ก็พ่ออยากทำให้คนสำคัญกินไงครับ"น็อตหันไปมองเมลินแล้วหัวเราะ"คุณแม่เป็นคนสำคัญใช่ไหมครับ!"เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงในอกหลังอาหารมื้
ค่ำคืนที่คฤหาสน์แถบชานเมือง — เงาสุดท้ายของความแค้นในห้องที่เคยเป็นห้องนอนของคริส คีรินทร์นั่งอยู่ลำพัง เขาจุดไฟใส่รูปภาพเก่าๆ ของตัวเองกับน้องชาย ดวงตาเรียบนิ่งมองเปลวไฟที่เผารูปนั้นช้าๆ จนเหลือเพียงเถ้าเมลินไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีเสียงของลูก ไม่มีความอุ่นจากอ้อมแขนของใคร ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างเหน็บหนาวไปถึงหัวใจเถ้ารูปเก่าปลิวตามลมเบาๆ ขณะเขามองมันด้วยสายตาว่างเปล่า...แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงโหยหาแม้ในความเงียบของห้องจะไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน—แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งกลับแทรกเข้ามาในหัวเขา...นุ่มนวลแต่หนักแน่นเสียงของเธอ...เมลิน...“ถ้าวันหนึ่งคุณเข้าใจทุกอย่าง...ฉันจะรอฟังด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความแค้น”ประโยคนั้นที่เคยพูดไว้ด้วยน้ำตา...กลับดังชัดราวเพิ่งพูดจบเมื่อครู่และคีรินทร์...ที่เคยเชื่อว่าหัวใจตัวเองด้านชา...กลับต้องเบือนหน้าหนี เพราะดวงตาร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัวเขายกมือขึ้นปิดเปลือกตาแน่น ก่อนเสียงแหบพร่าจะเล็ดลอดออกมาเบาๆ“ฉันไม่คู่ควรกับการให้อภัย...แต่ขอบคุณที่ย
เสียงลมหอบหนักในห้องประชุมชั้นใต้ดินของคฤหาสน์เก่าที่เมืองไทยไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศขัดข้อง หากแต่เป็นเพราะอารมณ์ในห้องที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก คีรินทร์ยืนเงียบอยู่หน้าจอโปรเจกเตอร์ ดวงตานิ่งสนิทเย็นชา ปราศจากแววของความเมตตา"เปิดเสียง"คำสั่งสั้นๆ ถูกส่งออกไปในน้ำเสียงเรียบเย็น เหมือนไม่ได้ตั้งใจฆ่าใคร...แต่พร้อมจะทำลายทั้งเผ่าพันธุ์ไฟในห้องหรี่ลง เสียงสนทนาในคลิปถูกฉายผ่านลำโพงอย่างชัดเจน"ถ้าเราปรับโครงสร้างตอนนี้ คนของคีรินทร์จะเริ่มลังเล ส่วนของฉันฝังไว้หมดแล้ว ไม่นานก็เปลี่ยนขั้วได้""มายด์ก็อยู่ใกล้เขามากพอจะรู้ทุกอย่าง...แค่เขาไม่ตายตอนนั้นก็โชคดีไป""เมลินเหรอ? โยนให้เธอไปสิ ตำแหน่งแพะมันเหมาะกับผู้หญิงไม่มีตัวตนแบบนั้นอยู่แล้ว"เสียงหัวเราะเหยียดหยามจากคลิปกรีดแทงลึกลงในหัวใจคนฟังทุกคน เสียงของภาคินและมายด์ชัดเจนราวกับพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆคีรินทร์ก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปยืนหน้าห้อง ดวงตาคมกริบเหลือบมองชายชราในชุดสูทสีเข้ม ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเก่าแก่ขององค์กรที่เคยจงรักภักดีกับเขามาโดยตลอด"นี่คือหลั