อีธานนอนไม่หลับ เขาเดินออกมายังระเบียงวัง
พบกับนักบวชชรานั่งจุดตะเกียงอยู่คนเดียว “ท่านมาจากดาร์กวาเรนใช่หรือไม่?” นักบวชถาม “ใช่” อีธานตอบ “ทำไม?” นักบวชหันมามองเขา ตาเขาขุ่นเหมือนคนที่เห็นอะไรมานาน “พวกเจ้าไม่ควรมีชีวิตรอดออกมา” “และหากเมืองมันปล่อยพวกเจ้ามา... แปลว่า มันเลือกแล้วว่าใครจะนำบางสิ่งติดมาด้วย” อีธานขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไร?” นักบวชไม่ตอบ แต่เขายื่นเศษผ้าผืนหนึ่งมาให้ “ถ้าเธอเริ่มมีแผล... อย่าให้เลือดของเธอตกบนพื้นหินเมืองนี้เด็ดขาด” เช้ามืดวันถัดมา ฟ้าขาวหม่น เหมือนไม่ได้ผ่านคืนที่แท้จริง นีร่าไม่ได้นอน เธอนั่งอยู่บนระเบียงหินสูง มองออกไปที่ทะเลเบื้องล่าง นิ้วมือซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ ผิวเริ่มลอกออกเป็นลายริ้วบาง แผ่นเนื้อบาง ๆ คล้ายเกล็ด ค่อย ๆ ปรากฏบนข้อนิ้วทีละชั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว” อีธาน นีร่าไม่หันไปมอง “ข้าเองก็เคยคิดแบบนั้น” อีธานเดินมานั่งข้างเธอเงียบ ๆ ลมทะเลปะทะใบหน้า เขาเหลือบมองเธอ ก่อนถามตรง “เมื่อคืน... เจ้าชายพูดอะไรกับเจ้า?” นีร่ายังคงมองทะเล “เขาบอกว่า ข้ากำลังเปลี่ยน” อีธานนิ่งไปชั่วอึดใจ “เปลี่ยนเป็นอะไร?” “ไม่รู้...” เธอกระซิบ “แต่ข้ารู้สึกเหมือนร่างข้ากำลังจะไม่ใช่ของข้าแล้ว” เธอหันมามองเขาในที่สุด ดวงตาสีเทาน้ำทะเลหม่นลง “อีธาน ถ้าสักวัน... ข้าไม่เหมือนเดิม เจ้าจะยัง...อยู่ไหม?” อีธานไม่ตอบทันที เขายกมือจับมือเธอไว้แน่น “เจ้าคือเจ้า... ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน” เสียงประตูหินเปิดดังเบา ๆ ไอล่าเดินเข้ามาในชุดผ้าลินินเรียบง่าย สีหน้าของเธอดูเคร่งขรึมกว่าปกติ “พวกเราถูกเชิญให้เข้าเฝ้าอีกครั้ง” “อีกครั้ง?” อีธานถาม “ใช่” มาริเบลเดินตามมาในชุดเกราะเบา “แต่ครั้งนี้...ไม่ใช่งานเลี้ยง” “แล้วคืออะไร?” นีร่าถาม “การสอบถาม... หรือไม่ก็การเลือกข้าง” ไอล่าพูดเรียบ --- ห้องรับรองชั้นใน ครั้งนี้ เจ้าชายเฟอเรสรออยู่ก่อนแล้ว เขานั่งอยู่กลางห้องบนบัลลังก์หิน รอบตัวมีทหารเงียบ ๆ ยืนประจำมุมห้อง และมีข้าราชบริพารที่ดูไม่สบตาใครเลย เฟอเรสยิ้มบาง “เจ้าคงได้พักผ่อนแล้ว?” ไม่มีใครตอบ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย “อย่ากลัว ข้าไม่ใช่ศัตรู... ยังไม่ใช่” อีธานขยับตัว “ท่านต้องการอะไร?” เฟอเรสไม่ตอบตรง ๆ เขาลุกขึ้น เดินช้า ๆ มาหยุดตรงหน้ากลุ่มนักเดินทาง “เมืองของข้า กำลังปิดพรมแดนกับทะเล” “แต่สิ่งที่มากับพวกเจ้าอาจเป็นกุญแจไขออกไป” มาริเบลพูดเสียงแข็ง “เราไม่มีอะไรจะให้” เจ้าชายยิ้มบาง “แต่พวกเจ้ามีเงือกอยู่ในกลุ่ม... และเลือดของเงือกนั้นมีพลังที่ไม่ควรถูกละเลย” นีร่าขยับถอยเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ไอล่าก้าวมาขวางทันที “ถ้าท่านแตะต้องเธอ ข้าจะเป็นคนแรกที่ฟันคอท่าน” ทหารสองคนขยับดาบ แต่เฟอเรสยกมือห้าม “ข้าไม่ได้จะขังเธอ” เขาพูดเสียงเบา “ข้าอยากให้เธอเลือก” เขาหันไปมองนีร่าโดยตรง “เลือกระหว่างทะเล... ที่จะเอาเธอกลับ หรือแผ่นดิน... ที่จะเปลี่ยนเธอเป็นสิ่งใหม่ สิ่งที่แม้แต่เงือกก็ไม่เข้าใจ” หลังจากถูกปล่อยกลับห้องพัก อารมณ์ของทุกคนตึงเครียด “เราต้องออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด” ไอล่ากระซิบ “ทางไหน?” อีธานถาม “นี่ไม่ใช่หมู่บ้านริมฝั่ง มันคือวังของมนุษย์ที่ควบคุมทุกทางออก” “เราต้องใช้เส้นทางเก่าใต้พระราชวัง” มาริเบลพูดเสียงเบา “ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้... มีอุโมงค์ที่เชื่อมไปยังท่าเรือใต้ดิน นีร่ากุมแขนตัวเองแน่น แผลเล็ก ๆ เริ่มซึมสีเงินบางอย่างออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่แน่ใจว่าจะเดินไหว... ถ้ามันเริ่มเร็วขึ้น” เธอกระซิบ อีธานหันมาจับไหล่เธอ “เราจะพาเจ้าออกไป ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร” นีร่าหลุบตา “นั่นแหละที่ข้ากลัว... ว่าหากข้ากลายเป็นสิ่งที่ควรจะอยู่ใต้ทะเล แล้วข้าไม่อยากกลับไป ข้าจะกลายเป็นอะไร... กันแน่” คืนนั้น พวกเขาตัดสินใจเตรียมหนี ไอล่ากับมาริเบลนำทางไปยังห้องโถงด้านหลังของวัง ห้องที่ถูกลืม — เคยเป็นห้องพิธีเก่าแก่ มีบันไดหินทอดลงไปใต้ดิน เป็นทางเชื่อมสู่เส้นทางหลบหนีสมัยสงคราม “เส้นทางนี้ไม่มีใครใช้มานานหลายสิบปี” ไอล่าพูดขณะดึงแผ่นหินเปิดช่องทางลับ นีร่าก้าวตามช้า ๆ ร่างกายเธอเริ่มอ่อนแรง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นหิน ผิวหนังจะแห้งมากขึ้น บางจุดเริ่มลอกออกจนเห็นเนื้อข้างในวาวคล้ายเปลือกไข่มุก “ไหวไหม?” อีธานถาม เธอพยักหน้า แต่ยังหลบสายตาเขา พวกเขาเริ่มเดินลึกลงไปในความมืด อากาศเย็นและชื้นลงเรื่อย ๆ ติ๋ง ติ๋ง.. เสียงหยดน้ำจากเพดานดังอยู่ตลอด กระทั่งนีร่าพลั้งเท้า ล้มเข่ากระแทกพื้นหิน “อ๊า...” เธอเผลอร้องออกมาเบา ๆ “นีร่า!” อีธานรีบประคอง ไอล่าก้มลงดู เห็นเลือดของนีร่า... ไม่ใช่สีแดง มันเป็นของเหลวใสอมเงิน หยดลงบนพื้นหินโบราณ แล้วทันใดนั้น... พื้นหินตรงจุดที่เลือดหยดลง เปล่งแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา เส้นลายประหลาดเริ่มสว่างไล่ไปตามพื้น เหมือนรอยสลักที่ซ่อนอยู่มานานกำลัง “ตื่นขึ้น” “...เกิดอะไรขึ้น?” มาริเบลถามเสียงเคร่งเครียด ไอล่าก้มมองลายเส้นพวกนั้น มันไหลเชื่อมกันเป็นวงบางอย่าง “นี่ไม่ใช่แค่ทางหนี...” เธอกระซิบ ” อีธานจ้องวงแสงใต้ฝ่าเท้าพวกเขา “เลือดของนีร่า ?” นีร่าหน้าซีด เธอพยายามลุกขึ้น “ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร... ข้าไม่เคยรู้ว่าตัวข้ามีสิ่งแบบนี้” ทันใดนั้น — ผนังอีกฝั่งของอุโมงค์ เลื่อนออกเองอย่างช้า ๆ เสียงหินเสียดสีดังสะท้อน เบื้องหลังคือห้องกว้าง ภายในมี เสาหินสูงสามต้น กลางห้อง มีแท่นศิลาที่มี ตราสัญลักษณ์เงือกและมังกรไขว้กัน มาริเบลมองภาพตรงหน้า “นี่ไม่ใช่ห้องหลบหนี... นี่คือวิหาร” ไอล่ากระซิบ “และนีร่า... อาจเป็นกุญแจของมัน”ยามค่ำคืน – ริมชายฝั่งที่เงียบสงัดคลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินเป็นจังหวะสายลมเย็นปะทะผิวจนหนาวสะท้านดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงจ้าเหนือผืนน้ำสีหมึกนีร่ายืนอยู่บนผืนทรายแผลที่แขนยังพันผ้าแน่น แต่เลือดยังซึมออกไม่หยุดข้างเธอ อีธานยืนเงียบเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหน้าเธอราวกับอยากจำทุกรายละเอียดไว้ให้ขึ้นใจนีร่าหันมามองเขาดวงตาสองคู่สบกันในความเงียบ“ข้าจะรีบกลับมา”เธอเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่นอีธานพยักหน้า แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยห่วง“นานแค่ไหน?”“ข้าไม่รู้…”นีร่ากลืนน้ำลาย“แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”อีธานถอนหายใจ มือใหญ่ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา“เจ้าพูดเหมือนมันจะง่าย”“มันไม่ง่าย” เธอยิ้มจางๆ“แต่ข้าต้องลอง”เขาเงียบไปนาน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอวด้ามเป็นเหล็กเรียบเรียง เส้นคมคมกริบ“เอาไว้ป้องกันตัว”นีร่ารับมาไว้ในมือสายตาเธอเริ่มพร่าเธอขยับเข้าไปใกล้ โอบแขนรอบตัวเขาแน่น“ข้ากลัว…”เธอกระซิบ“กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก”“ข้าก็กลัวเหมือนกัน”เขากอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม“แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าใคร ข้าจะรออยู่ตรงนี้…ทุกวัน”นีร่าซบหน้ากับอกเขา น้ำตาไหลเงียบๆเธอไม่
นีร่ายังคงสั่นเทา น้ำตาไหลไม่หยุดอีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองใบหน้าเธอแผ่วเบา“นีร่า…มองข้า…เจ้าอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแล้ว”เธอกะพริบตา ถอยหายใจแรงเหมือนจะขาดใจเสียงในคอแหบจนแทบไม่เป็นเสียง“มัน…มันไม่ใช่แค่ฝัน…ข้าเห็นแม่จริงๆ”อีธานกอดเธอไว้แน่นกลิ่นเลือดและเหงื่อยังติดตัวเธอ“แม่ของข้า…ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ…”เธอกัดริมฝีปาก มือสั่นจนแทบกำอะไรไม่อยู่“เธอกลายเป็น…สัตว์ประหลาด…พูดว่าข้า…ต้องกลับไป…เป็นเหมือนพวกมัน…”เสียงสะอื้นดังลอดออกมาอีธานค่อยๆ ลูบหลังเธอ“ไม่…เจ้าจะไม่เป็นเหมือนพวกมัน”น้ำเสียงเขาหนักแน่น“ข้าสัญญา”นีร่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ“ถ้าแม่ยังมีชีวิต…ข้าต้องหาคำตอบ…ข้าต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”“งั้นเราจะไปด้วยกัน”อีธานพูดช้าๆ จ้องตาเธอแน่วแน่“ไม่ว่าต้องไปที่ไหน…เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เสียงคลื่นนอกหน้าต่างยังซัดเข้าฝั่งไฟตะเกียงสั่นไหวเงียบๆในอกนีร่า ความกลัวค่อยๆ แปรเป็นแรงฮึดสู้เธอพยักหน้าช้าๆ“เราจะหาความจริง…ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร…”อีธานกระชับมือเธอแน่นขึ้นและในค่ำคืนที่หนาวเหน็บหัวใจสองดวงก็ผูกพันกันมั่นคงกว่าเดิมสองวันถัดมาแผลบนแขนของนีร่าไม่ดีขึ้น
หัวหน้าเงือกพุ่งใส่อีธานสุดแรงครีบใหญ่หวดอากาศจนเกิดเสียงแตกดัง วืด!อีธานเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายปลายมีดในมือฟาดเฉียงเข้าที่คอด้านข้างของมันฉึก!เสียงเนื้อฉีกดังชัดเลือดสีหมึกกระฉูดราดเต็มตัวเขาหัวหน้าเงือกคำรามลั่นจนพื้นสะเทือนร่างมหึมาสะบัดถอยหลังไปสองก้าวชั่ววินาทีนั้น…ศรเซรีออนในมือนีร่าเปล่งแสงจ้าเหมือนจะปล่อยพลังสุดท้ายออกมาเธอยกศรขึ้น…ริมฝีปากแห้งแตกพึมพำถ้อยคำเวทเสียงแหบจนแทบฟังไม่ออก“…จบสิ้น…อสูร…”ประกายฟ้ารูปวงเวทหมุนรอบตัวเธอพลังเวททะลักขึ้นจนฝนสาดกระจายเป็นวงแสงจากศรสว่างจ้า—แต่ทันใดนั้นร่างเธอก็สั่นแรงแผลลึกบนแขนซ้ายฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดพุ่งร้อนวาบเต็มมือนีร่าหอบแรง สายตาพร่าเสียงในหูเธอกลายเป็นเสียงอื้ออึงภาพรอบตัวพร่ามัวเหมือนฝันหัวหน้าเงือกที่บาดเจ็บคอคำรามต่ำมันถอยไปช้า ๆ หยาดเลือดดำหยดตามพื้นสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด…และความเกลียดชังก่อนมันจะพุ่งหนีเข้าความมืดหลังบ้านเรือนพังยับอีธานจะวิ่งตาม—แต่เขาหันมาเห็นนีร่าทรุดลงบนเข่าตัวเองศรเซรีออนร่วงจากมือกระแทกพื้นหิน“นีร่า!”เขาพุ่งเข้าประคองร่างเธอไว้แขนเธออ่อนแรงจนแทบไม่ขยับสายตาคู่สวยค่อย
นีร่าเหวี่ยงศรลงสุดแรงปลายศรเซรีออนเปล่งแสงฟ้าแทงเข้าข้างคอหัวหน้าเงือกฉึก!เสียงเนื้อแตกดังชัดเลือดสีหมึกทะลักออกมาเป็นฝอยดำข้นมันคำรามลั่นทั้งลานบ้านแต่พลังมันยังไม่หมด—เงือกกลายพันธุ์ใช้ครีบหนาฟาดสวนใส่เธอเต็มแรงผัวะ!ร่างนีร่ากระเด็นไถลไปตามพื้นหินเธอรู้สึกเหมือนอากาศในปอดหายไปหมดโลกทั้งโลกหมุนเคว้งอยู่ชั่ววูบเสียงอีธานตะโกน“นีร่า!”เธอพยายามลุก แต่แขนซ้ายชาไปหมดพอเหลือบลงมอง…แผ่นหนังแขนเสื้อขาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลรินตลอดแนวแผลฝนโปรยแรงขึ้นจนทุกอย่างเย็นเฉียบแต่บาดแผลกลับร้อนจี๊ดราวไฟลวกเธอหอบหายใจ สายตาพร่าเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ก้าวมาช้า ๆมันก้มลง แยกเขี้ยวใส่เธอนีร่ากัดฟัน พยายามยันตัวขึ้นแม้แขนซ้ายจะสั่นจนแทบยกไม่ไหวศรเซรีออนสั่นแสงพร่าอยู่ในมือข้างขวาอีธานพุ่งมาคุกเข่าข้างเธอ“อย่าฝืน…! ถอยก่อน!”เธอสบตาเขาแม้เจ็บจนตัวสั่น แต่เสียงเธอยังนิ่ง“ไม่ได้…มันจะฆ่าพวกเขาทุกคน…”บีลาร์กับลุงโทบี้พุ่งเข้ามาขวางตรงหน้าหอกไม้ยกขึ้นพร้อมกัน แม้จะสู้ด้วยแรงที่สั่นระริกนีร่าหอบแรงหนึ่งทีแล้วกัดฟันจนเลือดซึมที่ริมฝีปากเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ที่กำลังจะก
เสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”