หลี่เฉียงออกไปจัดการเรื่องเช่าเกวียนวัวที่จะเข้าเมือง หว่านหนิงนางส่งเงินให้เขาไปก่อนสิบอิแปะ เพื่อนำไปจ่ายค่าเกวียนวัว ส่วนที่เหลือจะให้ในวันพรุ่งนี้
“ท่านแวะซื้อข้าวสารในหมู่บ้านมาให้ข้าก่อนสักหนึ่งจิน พรุ่งนี้เช้าข้าจะได้ทำอาหารให้ท่านก่อนออกไปขายปลา”
“ได้” หลี่เฉียงแบมือขอเงินเพิ่ม
“เท่าใด”
“ข้าก็ไม่รู้” เขาเคยซื้อของพวกนี้เสียที่ไหน
“เช่นนั้นเอาไป แล้วเอากลับมาคืนด้วย” นางส่งถุงเงินที่เหลืออีกสามสิบตำลึงให้เขา
“รู้แล้ว เงินเจ้าข้าไม่เอาหรอก” หลี่เฉียงเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เงินไม่กี่สิบอิแปะเขาจะเอาไปทำไม
“แล้วรีบกลับมาด้วย อย่าได้แวะที่ใดเด็ดขาด” นางเอ่ยเตือนเขาก่อนที่จะออกจากเรือนไป
อาหารที่หว่านหนิงนางทำไว้เพียงพอให้กินได้ถึงมื้อเย็นนางจึงไม่ต้องเหนื่อยทำเพิ่ม เมื่อเก็บกวาดเรือนในส่วนที่เหลือต่อจากเมื่อวานแล้ว
พอหลี่เฉียงกลับมาที่เรือนพร้อมกับข้าวสารหนึ่งจิน แล้วนำถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาคืน นางจึงได้รู้ว่าข้าวสารมีราคาจินละสามสิบอิแปะ
“เห้อ สามสิบอิแปะ ได้มาหนึ่งจิน จะกินได้กี่วัน” นางมองข้าวสารในถุงที่หลี่เฉียงส่งมาให้นาง
“เอาเถิด พรุ่งนี้ข้าจะซื้อในเมืองมาให้มากเสียหน่อย ของในเมืองย่อมต้องถูกกว่า เจ้าก็อย่าได้เศร้าใจนักเลย พรุ่งนี้ขายปลาได้ เงินทั้งหมดข้าจะให้เจ้าเก็บไว้”
“ก็ต้องเป็นข้าที่เก็บ หากให้ท่านเก็บคงได้ลงไปอยู่ในไหสุราหรือไม่ก็หอพนัน” นางรับถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาพร้อมทั้งนำข้าวสารไปเก็บ
หว่านหนิงรีบไปอาบน้ำ เพื่อจะเข้านอน พรุ่งนี้นางยังต้องลุกขึ้นมาทำอาหาร และช่วยหลี่เฉียงจับปลาใส่ถังเพื่อนำไปขายอีก
“หนิงหนิง เจ้ากลับมานอนที่ห้องเถิด” หลี่เฉียงเรียกนางไว้ เมื่อเห็นว่านางจะเดินเข้าไปห้องด้านข้าง
“ข้าเตรียมผ้าห่มให้ท่านแล้วอย่างไรเล่า”
“ข้ารู้ ข้าไม่อยากนอนผู้เดียว”
“เหอะ กลิ่นสุราจากตัวของท่านเหม็นเกินกว่าที่ข้าจะนอนด้วยได้”
แม้วันนี้เขาจะไม่ได้ออกไปดื่มสุราแล้ว แต่กลิ่นที่สะสมมานานก็ไม่อาจจางหายไปได้ในวันเดียว
“ไม่เห็นเหม็นเสียหน่อย” เขายกแขนเสื้อขึ้นดม
“แต่ข้าเหม็น ไว้ท่านเลิกสุราได้เมื่อใดค่อยว่ากันอีกที” นางรู้ว่าวันนี้ที่เขาไม่ออกไปคงไม่มีเงินให้ซื้อดื่ม แต่คนเช่นหลี่เฉียงก็คงไม่อาจเลิกได้ในวันสองวันนี้อย่างแน่นอน
และอีกอย่างนางไม่ใช่ซูหว่านหนิง คงไม่จำเป็นจะต้องร่วมเตียงกับเขาอีกแล้ว
“วันนี้ข้าไม่ได้ดื่มจะมีกลิ่นสุราได้อย่างไร”
“มันอยู่ในเลือดของท่าน ลมหายใจของท่านยามที่ท่านพูดก็มีแต่กลิ่นสุราออกมา”
หว่านหนิงมองเขาอย่างไม่พอใจ คนดื่มกับคนไม่ดื่มย่อมได้กลิ่นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
“เอาเถิด ต่อไปข้าจะไม่ดื่มแล้ว เจ้าต้องรับปากข้า หากไม่มีกลิ่นสุราเจ้าต้องกลับมานอนที่ห้องเดิม”
“อืม” นางรับปากไปส่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปห้องด้านข้างเพื่อพักผ่อน
ก่อนฟ้าสว่างหว่านหนิงนางลุกขึ้นมาจัดการหุงข้าว ทอดปลาที่ตากแดดไว้เมื่อวาน นางเตรียมถังไม้เพื่อใส่ปลาไว้ให้หลี่เฉียงอีกหลายใบ
หลี่เฉียงวันนี้เขาทำตัวดีไม่น้อย เมื่อหว่านหนิงเตรียมถังน้ำเสร็จเขาก็ลุกออกจากห้องมาแล้ว
“ท่านไปเติมน้ำใส่ถังทุกใบ ไม่ต้องเต็มเล่าประเดี๋ยวจะหกเลอะเทอะระหว่างทาง”
“อืม” เขาเดินเข้าไปหยิบถังน้ำสองใบแล้วเดินไปที่ลำธารเพื่อตักน้ำ หว่านหนิงมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างชื่นชม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงดีไม่น้อย นางจะได้ไม่ต้องคอยระแวงว่าเขาจะกลับไปเล่นพนันจนต้องขโมยเงินที่นางหาได้ไปเล่นจนหมด
ทั้งสองต่างเร่งมือนำปลาออกมาใส่ไว้ในถังน้ำ เพราะหลี่เฉียงยังต้องกินมื้อเช้าก่อนจะเข้าเมือง นางกลัวว่าจะไม่ทันเกวียนวัวที่นัดเวลาไว้
“ท่านรีบไปอาบน้ำเถิด ข้าจะจัดการที่เหลือต่อ ท่านยังต้องกินข้าวอีก”
“เจ้าทำไว้แน่รึ” เพราะยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย
“ไปเถิด ให้เกวียนมารอท่านคงไม่ดีนัก”
“ได้” หลี่เฉียงก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน จึงไม่ได้โต้แย้งหว่านหนิงอีก เขาต้องเดินไปกลับลำธารเพื่อตักน้ำอยู่หลายรอบ คนไม่เคยทำงานเช่นเขา แทบจะต้องลากขากลับมาที่เรือนแล้ว
พอทั้งสองกินอาหารเช้าเสร็จ เกวียนวัวของลุงจางก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพอดี
“สวรรค์ ในถังคือปลาเช่นนั้นรึ พวกมันยังไม่ตาย” ลุงจางร้องออกมาเสียงดัง
“ขอรับ” หลี่เฉียงยิ้มอย่างภูมิใจ
“พวกเจ้าจับมันได้เช่นใด” เรื่องนี้ดูจะถามผิดไปเสียหน่อย เพราะคงไม่มีผู้ใดอยากจะบอกความสามารถที่ใช้หากินให้ผู้อื่นใดรู้มากนัก
“เป็นวิธีของต้นตระกูลข้าเจ้าค่ะ” หว่านหนิงยิ้มหวานเอ่ยตอบออกมา
“ใช่ ใช่ ความลับของตระกูลเจ้า” ลุงจางเกาหัวอย่างเก้อเขินเมื่อรู้ว่าตนถามคำถามผิดไปแล้ว
ทั้งสามช่วยกันยกถังปลาขึ้นไปวางเรียงไว้ด้านบนเกวียนวัว
“อย่าลืมของที่ต้องซื้อกลับมาเล่า” หว่านหนิงเอ่ยเตือนหลี่เฉียง เมื่อเขาขึ้นไปนั่งบนเกวียนแล้ว
“เข้าใจแล้ว” เขาเอ่ยตอบเสียงหยานคางออกมา นางเตือนเขาเป็นรอบที่สามแล้ว ตั้งแต่ตื่นนอนมาเช้านี้
ที่หว่านหนิงนางต้องเตือนเขาหลายรอบ เพราะมีของที่นางสั่งซื้อเพิ่มขึ้น นางจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่างในการปักผ้า จึงได้บอกกล่าวเขาอีกครั้ง และยังให้เขาถามเรื่องราคารับซื้อผ้าปักลายกับทางร้านขายผ้ามาบอกนางด้วย
ตอนที่หลี่เฉียงเดินทางเข้าเมืองไปขายปลา หว่านหนิงนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ นางเก็บกวาด ถางหญ้าที่ขึ้นรกเต็มลานเรือน นางยังชะเง้อคอมองว่าหลี่เฉียงจะกลับมาเมื่อใดทุกหนึ่งชั่วยามอีกด้วย
นางจำได้ที่เขาเคยพูด หากเดินเท้าเข้าเมืองใช้เวลาสองชั่วยาม หากนั่งเกวียนก็คงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเท่านั้น รวมซื้อของและเดินทางกลับคงใช้เวลาไม่เกินสามชั่วยาม
ทางด้านหลี่เฉียงเมื่อถึงตัวเมืองเขาก็ให้ลุงจางพาไปที่เหลาอาหารชื่อดังทันที
เสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าร้านเห็นเป็นลุงจางขับเกวียนมาจอด ก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย ด้วยรู้ว่าลุงจางมาทุกครั้งย่อมต้องมีของป่ามาขายให้กับเหลาอาหารไม่น้อย
“ลุงจาง วันนี้นำสิ่งใดมาขายหรือขอรับ” หากเป็นเนื้อกวางหรือหมู่ป่า เสี่ยวเอ้อก็จะได้รับรางวัลจากเถ้าแก่เล็กๆ น้อยๆ ด้วย
“ข้ามิได้มาขาย แต่พาอาเฉียงมาขาย เจ้าไปดูเสียก่อน ของดีเลย” ลุงจางรีบโอ้อวดทันที
หลี่เฉียงดันถังไม้ที่มีปลาเป็นๆ อยู่ด้านในให้เสี่ยวเอ้อได้ดูชัดๆ
“สวรรค์ ปลาสด ไม่ได้มีชาวบ้านมาขายให้นานแล้ว รอข้าประเดี๋ยวจะรีบไปตามหลงจู๊มาประเมินราคาให้” หากเป็นเพียงเนื้อสัตว์หรือผักป่าเขายังพอที่จะประเมินราคาได้ แต่ถ้าเป็นปลาสดที่น้อยครั้งจะได้พบเห็นย่อมต้องให้หลงจู๊เป็นผู้ตรวจดู
หลังจากงานเลี้ยงราชสมภพของฮ่องเต้ ก็ยังไม่มีคณะทูตคนใดที่คิดจะเดินกลับ ด้วยต้องการตัวของคนที่ทำชุดฉลองพระองค์ของฮ่องเต้และฮองเฮากลับแคว้นของตนไปด้วยความวุ่นวายด้านนอกนางมิได้รับรู้ ด้วยมีสัตว์เทพทั้งสี่ที่คอยจัดการพวกที่ลักลอบเข้ามาในจวนอยู่ตลอด บางคนเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ เพื่อต้องการเข้ามาชิงตัวหว่านหนิงนางกลับไปที่แคว้นของพวกเขาด้วยตอนนี้ทั่วถึงเมืองหลวงจึงได้รู้ว่าจวนตระกูลหลี่มิใช่สถานที่ ที่ผู้ใดจะเข้าไปวุ่นวายได้ง่ายๆ หากมีปัญญาที่จะเข้าไปก็ต้องลองดูว่าจะมีโอกาสได้กลับออกมาอีกหรือไม่ตัวองค์ชายสามจึงได้รู้ว่าเสือที่กุ้ยเฟยพูดถึงมิได้ไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ที่จวนตระกูลหลี่ เพราะเสี่ยวหู่เผยตัวตนของมันเข้าเสียแล้วหากวันใดที่จวนตระกูลหลี่เปิดประตูจวนทิ้งไว้ ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็จะพบเสือโคร่งตัวใหญ่เดินอยู่ภายในจวนที่เสี่ยวหู่มันทำเช่นนี้เพื่อจัดการมิให้ผู้ใดเข้ามากวนนายหญิงยามที่นางตั้งครรภ์ใกล้คลอด ก่อนหน้านี้ที่มันเผยตัว ด้วยแคว้นต้าซ่งส่งคนมาลอบลักพาตัวหว่านหนิงคนขององค์ชายสามที่คุ้มกันห่างๆ อยู่รอบจวนเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน พอไปแจ้งองค์ชายสามก็เห็นเสี่ยวหู่กำลังตะปบใบห
ตระกูลซูเมื่อรู้ว่าหว่านหนิงนางกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาพบนางทันที พอได้เห็นว่านางไม่มีอันใดให้เป็นห่วง ทั้งยังไม่มีอาการแพ้ท้องให้ได้เห็น ต่างก็พากันกลับออกไป ปล่อยให้นางได้พักผ่อนฉลองพระองค์ที่หว่านหนิงนางทำขึ้นถวาย เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ยิ่งนัก จนประทานรางวัลมาให้นางถึงสองคันรถม้า ทั้งยังมีป้ายเชิดชูฝีมือปักผ้าของนางประทานมาให้อีกด้วยป้ายพระราชทานนี้ถูกติดไว้อยู่ที่หน้าจวน เคียงข้างป้ายจวนตระกูลหลี่อย่างยิ่งใหญ่ ราคาผ้าปักกั้นฉากสามผืนก่อนหน้านี้ที่นางทำขึ้น ถูกทาบทามขอซื้อสูงถึงผืนละห้าพันตำลึงทอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่คิดจะขายออกไป ด้วยอยากจะเก็บไว้ให้บุตรหลานและอวดสายตาของผู้อื่นเสียมากกว่าเพราะการตั้งครรภ์ของนาง หว่านหนิงนางจึงไม่ได้ถูกผู้ใดรบกวนขอให้ปักผ้าให้อีก มีเพียงผืนที่นางรับบอกจ้าวซื่อ และชุดของตู้ลู่จื้อที่นางรับปากไว้แล้วเท่านั้นที่นางทำให้ของทั้งสองสิ่งต่างก็มอบให้พวกเขาก่อนที่นางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้นางจึงว่างงานเอาแต่กินนอนอยู่เพียงภายในจวนเท่านั้นเรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องเห็นจะเป็นต้นหม่อนที่โตวันโตคืนจนบ่าวในจวนต่างตกตะลึงทุกวัน ยิ่งได้เห็นเหล่าผี
ต่อไปนี้นางก็จะมีช่องเก็บของส่วนตัวเสียที ของมีค่าทั้งหมดหว่านหนิงนางนำมาใส่ลงไปด้านใน และผูกเก็บไว้ที่ข้างเอวของนางอย่างหวงแหน ยิ่งทำให้คอของเสี่ยวหู่ตั้งตรงมากกว่าเดิมเซียงเซียงกลับมาถึงเรือนก็นำผ้าหลายพับมามอบให้หว่านหนิง โดยผ้าทั้งหมดที่นางมอบให้ในครั้งนี้ เพื่อทำชุดและผ้าอ้อมให้บุตรของหว่านหนิงเท่านั้นส่วนเหมยลี่นางนำสุราแสงจันทร์ ที่ถูกนำออกมาแอบแสงจันทร์ในวันพระจันทร์เต็มดวงถึงหนึ่งร้อยครั้งด้วยกัน“นายหญิงสุราไหนี้ ท่านไว้ดื่มหลังจากที่ท่านคลอดบุตรแล้ว จะช่วยให้พลังหยินหยางในร่างกายท่านสมดุลเร็วขึ้น”หว่านหนิงนางมองสัตว์เทพทุกตัวของนางอย่างซาบซึ้ง ดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอออกมา“ข้าไม่รู้จะขอบใจพวกเจ้าเช่นไร เพียงแค่มีพวกเจ้าอยู่ข้างกายจ้า ข้าก็นึกขอบคุณสวรรค์มาแล้ว” นางร่ำไห้ออกมาจนได้เสี่ยวหู่ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหว่านหนิงนางทันที ส่วนทั้งสามต่างเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของนางหลี่เฉียงที่เข้ามาเห็นภาพนี้พอดี ก็ยิ้มมองทั้งหมดอย่างภูมิใจ เรื่องดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คงเห็นจะเป็นเรื่องนี้ที่มีหว่านหนิงและสัตว์เทพที่คอยช่วยเหลือ“ท่านพี่ ท่านดูนี่” หว่านหนิงนางนำของทั้งหมดออ
นับตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ตัวหว่านหนิงนางก็แทบจะไม่ได้ปักผ้าสักเท่าไหร่ นางเอาแต่นอนพักอยู่ภายในรถม้า พอเข้าพักที่โรงเตี๊ยมนางก็เอาแต่นอน“นายท่าน นายหญิงกำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ” ฮวาเตี๋ยนางร้องบอกหลี่เฉียง เมื่อนางลองบินเข้าไปใกล้ท้องของหว่านหนิงเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่นางคิดถูกต้อง“จะ เจ้า...เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่เฉียงร้องออกมาอย่างตกใจจนเสี่ยวชิงที่เพิ่งนำม้าไปเก็บด้านหลังเรือน ต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็เห็นเพียงนายท่านพูดคุยอยู่กับความว่างเปล่าเท่านั้น โดยมีเสี่ยวหู่ยืนอยู่ด้านข้าง จะบอกว่าคุยกับแมวก็ดูจะประหลาดเกินไป“ข้าบอกว่า นายหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ท่านควรไปเชิญหมอมาตรวจให้นางอีกครั้งเพื่อความ...อ้าว” ฮวาเตี๋ยนางยังพูดไม่จบหลี่เฉียงก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเสียแล้วโดยหลงลืมไปเลยว่ามีเสี่ยวชิงอยู่ จะใช้ให้เสี่ยวชิงไปตามก็ย่อมได้ พอออกจากเรือนก็พบป้าตู้ที่นางกำลังจะเดินมาดูว่าผู้ใดมาที่เรือนของหว่านหนิง“อ้าว อาเฉียงเจ้ากลับมาเมื่อใด แล้วอาหนิงเล่า” นางดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปในหมู่บ้านไว้“เพิ่งกลับมาขอรับ ท่านป้าข้าจะรีบไปตามหมอ ขอตัวก่อนขอรั
ยิ่งรู้ว่าหลี่เฉียงกับหว่านหนิงจะเดินทางกลับซานตง องค์ชายสามก็เสด็จมาพูดคุยเรื่องนี้ที่จวนตระกูลซูด้วยพระองค์เอง ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นต่างตกตะลึงและยิ่งอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขามากกว่าเดิม“หากเจ้ากลับไปแล้วเปิ่นหวางจะหาสุราดื่มได้อย่างไร” ทุกวันนี้ก็แทบจะจิบวันละอึกอยู่แล้ว หากทั้งสองมิเดินทางกลับมาเมืองหลวงอีก มิต้องส่งคนไปรับสุราที่เมืองซานตงหรอกรึ“กระหม่อมเพียงกลับไปจัดการเรื่องที่เมืองซานตงและจะย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องนี้หลี่เฉียงพูดคุยกับหว่านหนิงนางแล้วหว่านหนิงนางก็อยากจะอยู่ใกล้บิดามารดา ตอนนี้ทั้งสองก็ให้พ่อบ้านเร่งหน้าจวนหลังใหม่ให้ทั้งคู่แล้ว เพราะหากยังอยู่ที่เรือนตระกูลซู หลี่เฉียงจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นเขยแต่งเข้า เรื่องนี้ไม่ดีสำหรับตัวเขาเลยสักนิดความจริงที่องค์ชายสามมาในวันนี้ก็อยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังเมื่อสองวันก่อนด้วย แต่เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถามออกมาสองวันก่อนที่ตำหนักของกุ้ยเฟยเกิดเรื่องขึ้น เสียงกรีดร้องในยามค่ำคืนที่ดังไปทั่ววังหลัง ทำให้เกิดความโกลาหลอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทหารเข้าไปภายในตำหนักก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลก
กุ้ยเฟยยิ้มหวานมองฮองเฮาที่เดินเข้ามาอย่างรู้งาน ดวงตาของนางไม่ต่างจากฮองเฮาที่มองจ้องกันไปมาอย่างแข็งกร้าว“พี่สาว วันนี้ท่านลำบากเดินมาหาข้าถึงตำหนักได้เลยรึ” กุ้ยเฟยลุกขึ้นทำความเคารพก่อนจะยกที่นั่งประธานให้ฮองเฮาไปนั่งแทนตน“หึหึ เปิ่นกงเห็นว่ามีเรื่องน่าสนุกที่ตำหนักของเจ้า จึงได้เดินมาร่วมชมด้วย อ๊ะ...ฮูหยินหลี่เจ้ามาทำอันใดที่นี่” กุ้ยเฟยกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย การแสดงของฮองเฮาช่างน่าขันนัก“กุ้ยเฟยต้องการให้หม่อมฉันทำฉลองพระองค์ถวายสักสองสามชุด มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่เต็มใจทำให้ เพียงแต่จำต้องเดินทางกลับไปซานตงก่อนเพคะ” หว่านหนิงได้ทีนางก็เอ่ยฟ้องเรื่องราวออกมาจนหมด“หึหึ ฮูหยินหลี่เจ้ามิต้องกังวลใจ น้องสาวข้านางรอได้ จริงหรือไม่” ฮองเฮาหันไปถามกุ้ยเฟย“จริงเพคะ” นางกัดฟันพูดออกมา ผู้ใดจะกล้าบอกว่าไม่จริงเล่า ยิ่งตอนนี้ฮองเฮาและบุตรของพระองค์กำลังได้รับความโปรดปรานอย่างหาที่สุดมิได้หากกุ้ยเฟยหาเรื่องฮองเฮาในยามนี้ไม่เท่ากับว่าโง่เขลาเกินไปหรอกรึ“เห็นหรือไม่ น้องสาวข้าช่างรู้ความนัก เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด ไว้เดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อใด ค่อยเข้ามาพบกุ้ยเฟยก็ยังมิสาย”หว่านหนิงทำค