หลิวจือหลินครุ่นคิดถึงความเหมาะสม นัยน์ตากลมโตเหลียวมองสาวใช้ข้างกาย ยามนี้พวกนางมีทีท่าเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ปี้อี๋และเจียวเจียวพร้อมใจส่ายศีรษะ ทว่าเมื่อเหลือบมองบุรุษฝั่งตรงข้ามอีกหนอย่างนึกลังเล ชายหนุ่มก็ยังส่งยิ้มละไมให้นางราวกำลังกดดัน นัยน์ตาคมจดจ้องเพราะคาดหวังในคำตอบ
นางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว การไปทานข้าวกับบุรุษซึ่งมิใช่สามีจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ เมื่อตรึกตรองถึงเรื่องก่อตั้งกิจการในอนาคต หลิวจือหลินจึงเห็นทางสว่างอยู่รำไร หากทำความรู้จักกับเขา ผู้เป็นถึงเจ้าของร้านผ้าอันใหญ่โตโอ่โถง ก็นับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยมิใช่หรือ
"ฮูหยินดูลังเลเพียงนี้ คงเป็นกังวลว่าท่านโหวจะโกรธเคืองงั้นหรือ"
หลิวจือหลินส่งยิ้มแห้งขอด นางยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวัน "เปล่า เปล่า เจ้าค่ะ เดิมทีข้าและท่านโหวไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกันอยู่แล้ว"
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มกว้าง "เช่นนั้นฮูหยินคงไม่ถือสา ถึงอย่างไรทั้งท่านและข้าล้วนแต่มีผู้ติดตาม หาได้ไปเพียงลำพัง ถือเสียว่าเป็นการทักทายจากสหายที่เพิ่งพานพบ ท่านว่าดีหรือไม่"
สาวใช้ทั้งสองหน้าเจื่อน แต่หลิวจือหลินกลับเห็นสมควรว่าไม่เสียหายจริง "ไม่ถือสาใดเลยเจ้าค่ะ"
องครักษ์ในมุมมืดขมวดคิ้วจนวุ่นวาย หากเรื่องนี้ถึงหูเจียงซื่อจวินต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่แท้
.
.
ทั้งสองมาถึงเหลาอาหารเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินมิได้บดบังใบหน้าอีก เพราะยิ่งปกปิดอาจยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
ฟ่านเทียนเผยเลื่อนเก้าอี้ให้นาง จากนั้นผายมือเชื้อเชิญพลางค้อมศีรษะเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย "ฮูหยิน เชิญขอรับ"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณชายฟ่าน"
ร่างระหงหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดเงาวับ นัยน์ตากลมโตกวาดมองถ้วนทั่ว เหลาอาหารแห่งนี้คงเป็นแหล่งนิยมของบรรดาเศรษฐีขุนนาง เพราะช่างดูใหญ่โตเสียจริง ซ้ำยังตกแต่งได้งามล้ำกว่าเหลาอาหารทั่วไปมากโข หากเป็นยุคที่นางจากมาคงนับว่าเป็นภัตตาคารระดับสี่ห้าดาวทีเดียว
หลิวจือหลินอยากเก็บเกี่ยวความรู้สึกจากบรรยากาศโดยรอบ จึงเลือกนั่งด้านนอกโดยมิใช่ห้องพิเศษ อีกอย่างจะได้พิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ใจของเขาและนางด้วย
ร่างสูงเดินวนไปอีกด้าน ชายหนุ่มหย่อนกายนั่งฝั่งตรงข้าม "ท่านเรียกข้าว่า เทียนเผยก็ได้"
หลิวจือหลินส่ายศีรษะ "ข้าว่าควรเรียกท่านเช่นนี้ เพื่อเป็นการให้เกียรติดีแล้วเจ้าค่ะ"
ฟ่านเทียนเผยยิ้มกริ่ม "เช่นนั้นก็ตามใจท่าน"
ชายหนุ่มยกมือหนึ่งครั้ง จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์จึงเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม "คุณชายฟ่าน วันนี้รับอะไรดีขอรับ"
"ฮูหยิน ท่านชอบทานอะไรหรือ"
หลิวจือหลินไม่รู้เช่นกันว่าคนที่นี่เขานิยมอาหารเช่นไร "ตามใจคุณชายเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่สันทัดเรื่องอาหารเท่าใดนัก"
นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "จวนโหวเลี้ยงดูท่านไม่ดีหรือ ไยจึงไม่สันทัดเรื่องอาหาร"
"อ้อ...เปล่าเลย เปล่าเลยเจ้าค่ะ"
ฟ่านเทียนเผยคลี่ยิ้มดุจรู้ทัน "ช่างเถิด" เขาเหลียวมองเสี่ยวเอ้อร์ "เช่นนั้นก็เอาทุกอย่างที่มี"
หลิวจือหลินเบิกตากว้าง "ทุกอย่าง แล้วจะทานหมดได้อย่างไรเจ้าคะ"
"ข้าไม่ทราบว่าฮูหยินชอบทานอะไร เช่นนั้นก็ตามนี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล เหลาอาหารที่นี่ข้าเป็นหุ้นส่วน" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
"หา...หุ้นส่วน"
ชายผู้นี้มีกิจการมากมายเท่าใดกัน ดูไปแล้วอายุคงจะไม่เกินยี่สิบห้าปีด้วยซ้ำ
ฟ่านเทียนเผยเห็นสีหน้าครุ่นคิดของหลิวจือหลินก็ลอบยิ้มขัน ดูเหมือนนางกำลังแคลงใจหรือใคร่รู้ในตัวของเขาอยู่ไม่น้อย ฟ่านเทียนเผยมองปราดเดียวก็รู้ทันที ว่าเหตุใดนางจึงตอบตกลงมาทานข้าวกับเขา
"ฮูหยิน ท่านสนใจอยากทำการค้างั้นหรือ"
หลิวจือหลินสะดุ้งโหยง ดวงตากลมโตกะพริบถี่ บุรุษผู้นี้ดุจปีศาจจิ้งจอกมานั่งกลางใจ "นับว่าใช่กระมังเจ้าคะ"
"เหตุใดจึงนับว่าใช่ แต่ว่า...ท่านเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของเจียงโหว ไยต้องอยากทำกิจการให้วุ่นวายปวดหัว รู้หรือไม่ว่าการเปิดร้าน มิใช่การเล่นขายของ"
"ข้ารู้ว่าการเปิดกิจการมิใช่เรื่องง่ายดาย จริง ๆ ข้ามีเหตุผลเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่สันทัดเรื่องค่าเงิน การบัญชี และการค้าขายของที่นี่เท่าที่ควร อย่างไรแล้วคงต้องเรียนรู้ไปสักระยะ"
"อ่า...เช่นนี้เอง อย่างนั้น..."
"อาหารมาแล้วขอรับ" เสี่ยวเอ้อร์คนเดิมกลับมาพร้อมอาหารเต็มถาด เขาค่อย ๆ วางลงทีละชาม กลิ่นหอมกรุ่นลอยปะทะโสตประสาท ส่งผลให้กระเพาะไม่รักดีเกิดร้องขึ้นให้ได้อับอาย
หลิวจือหลินหน้าเผือดสีพลางส่งยิ้มแห้งขอดส่งให้ฟ่านเทียนเผย บุรุษฝั่งตรงข้ามลอบขบขันด้วยความเอ็นดู
"ฮูหยินคงหิวแล้ว เช่นนั้นทานอาหารก่อน เรื่องอื่นไว้คุยภายหลัง"
หลิวจือหลินกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ นางเสมองไปยังโต๊ะด้านหลัง ก็พบปี้อี๋และเจียวเจียวตั้งอกตั้งใจทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ยามนี้ทั้งสองคงลืมแล้วว่าห้ามนางไว้เช่นไร
หลิวจือหลินยิ้มขันเพราะนึกเอ็นดูสาวใช้ทั้งสอง ดูเหมือนพวกนางเร่งร้อนออกมาจนลืมเวลาอาหารเช้า เมื่อสบายใจไปเปลาะหนึ่งหลิวจือหลินจึงผินหน้ากลับ ฉีกยิ้มอวดฟันเรียงสวยเสียจนบุรุษฝั่งตรงข้ามใจเต้นระส่ำ
"ก็ดีเจ้าค่ะ เสียมารยาทต่อคุณชายแล้ว"
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั