ทหารนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของบารอนด์วาเลียอย่างรีบร้อน
ปัง!
“ท่านบารอนด์! มีคนบุกรุกโกดังชั้นใต้ดินมันเผาโกดังมอดไหม้ไปทั่วแล้วขอรับ!! พวกทาสหนีออกหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลยครับ!”
เสียงประตูดังขึ้นทำให้บารอนด์ตื่นจากภวังค์ เขารีบลุกออกจากเตียงนอนเปิดหน้าต่างเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ทหารพูด พื้นที่โกดังซึ่งมองเห็นได้ชัดเกิดไฟไหม้ควันฟุ้งลอยเหนือชั้นบรรยากาศ
“ใครกันมันกล้ามาหยามข้าขนาดนี้! ดูแลประสาอะไรวะ! รีบไปจับตัวคนบุกรุกมาให้ข้า!!” เสียงโวยวายของชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“คือว่า...ผู้บุกรุกได้ทำร้ายทหารของเราจนแน่นิ่งไปหมดแล้วครับ...” ทหารตัวใหญ่แสดงความหวาดเกรงมือไม้สั่นปากสั่นเทา
“อะไรกัน! มันมีกันเยอะงั้นเหรอ!”
“มีผู้ชาย 2 คน คะ ครับ.. มันลอบทำร้ายทหารของเราทีละคน ก่อนจะรู้ตัวพวกทหารก็สลบกันไปหมดแล้วครับ!”
ปัก!!! เสียงถีบหลังบารอนด์จากคนชุดดำที่ลอยตัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตัวบารอนด์ได้กระเด็นตามแรงถีบนอนกลิ้งส่งเสียงโอดครวญอยู่บนพื้นพรมผืนหรู
“จะ เจ็บ..” บารอนด์หันไปมองหาความช่วยเหลือจากทหาร ทว่าทหารคนนั้นก็ได้สลบไปแล้ว คนชุดดำสองคนที่บุกรุกเข้ามาได้มัดเชือกบารอนด์ผูกมือไขว้หลังไม่ให้ดิ้นหนี
“พวกเจ้าเป็นใครกัน!”
“อย่ากลัวไปเลยท่านบารอนด์ ข้าไม่ได้อยากจะมาทำร้ายท่านนะ แค่อยากจะมาเจรจานิดหน่อย” หญิงชุดดำสวมหน้ากากเอ่ยกล่าว
“ต้องการอะไร พวกแกมาทำกับข้าแบบนี้ไม่ตายดีแน่!!”
“ยังจะปากเก่งอีก ยังไม่รู้สถานะตัวเองตอนนี้งั้นหรือ ท่านบารอนด์ไม่ห่วงลูกสาวที่ถูกมัดอยู่อีกห้องเลยรึ”
โรสตบหน้าบารอนด์ไปหนึ่งทีด้วยความอดกลั้นมานาน ในที่สุดเธอก็ได้ปลดปล่อยความแค้นคนที่ทำร้ายร่างกายพ่อของเธอจนเกือบตาย
“ตบอีกเลย เอาให้ความโมโหของเจ้าเบาลง” เคียร่าในชุดดำบอกกับโรส ทว่าโรสกับส่ายหัวเบาๆ
“แค่นี้แหละค่ะ ข้าไม่อยากเจ็บมือ”
เคียร่าอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันมาส่งสายตาน่าเกรงขามกับบารอนด์ เธอโยนกระดาษหลักฐานใส่หน้าของชายวัยกลางคนซึ่งใบหน้าของเขาบวมเป่งไปข้างหนึ่งจากแรงตบของโรส
บารอนด์เหลือบมองอ่านเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า
“นี่มันอะไรกัน พวกแกไปเอาสิ่งนี้มาได้ไง ต้องการอะไร!”
“ก็หลักฐานคนทรยศต่อวิหารยังไงล่ะ ไหนจะเรื่องผิดกฎหมายจากราชอาณาจักรอีก เรื่องมากมายขนาดนี้ถ้าเอาไปแจ้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงโดนโทษประหารเหมือนกัน อืม...ดูสิ มีทั้งลักลอบค้าทาส จำหน่ายยาผิดกฎหมาย ไหนจะหนีภาษีอีก ถ้าข้าไปแจ้งต่อวิหารท่านบารอนด์และครอบครัวคงล่มสลาย”
“ตะ ต้องการสิ่งใด ขอร้องอย่าไปแจ้งความเลยเถิด..”
เคียร่าชูเอกสารสัญญาให้บารอนด์อ่าน “ถ้าท่านบารอนด์ประทับตราและเซ็นตรงนี้ ท่านก็จะได้อยู่ปกติสุขเหมือนเดิม”
“จ่ายเดือนละหมื่นเหรียญทองจะไม่แพร่งพรายให้กับราชอาณาจักรและวิหารศักดิ์สิทธิ์ จ่ายจนกว่าจะผู้ถือครองสัญญาจะพอใจ และถ้ามีการทำผิดอีกเรื่องทั้งหมดจะถูกป่าวประกาศดำเนินคดีตามกฎหมาย...”
บารอนด์กวาดตาไล่อ่านเอกสารสัญญาก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นกลับไป
“สัญญาบ้าบออะไรวะ! นี่มันปล้นกันชัดๆ!”
“ท่านบารอนด์มีแค่สองทางเลือก เซ็นสัญญาเพื่อให้ไม่ตายกับไม่เซ็นเพื่อไปตายกันทั้งครอบครัว แล้วอีกอย่างนะ ท่านจะถูกริบของทุกอย่างที่มี ยังไงซะตระกูลบารอนด์ก็มีช่องทางทำเงินอีกหลายช่องทางอยู่แล้วนิ ท่านไม่หมดตัวง่ายๆ หรอก ถ้าตั้งสติคิดไม่ได้ข้าจะให้นางคนนี้ตบเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอมเซ็น”
เคียร่าแสยะยิ้มพร้อมส่งสัญญาณให้โรสตบหน้าบารอนด์อีกครั้ง
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
“พอแล้วๆ ขะ ข้ายอมแล้ว ข้าจะเซ็นแล้วส่งมอบเงินให้ อยากได้อะไรก็เอาไปเลย...แต่ก่อนที่ข้าจะเซ็นข้าอยากทราบนามของทะ ท่าน..”
“นักบุญนอกรีต... ชื่อนี้เจ้าคงรู้ถึงตัวตันของข้าบ้างแล้ว ข้าคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เจ้าฟัง”
“นักบุญหญิงนอกรีตที่รักษาผู้คนมาทำเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ!!”
เพี๊ย! “หุบปากแล้วรีบประทับตราซะ!” โรสตบหน้าบารอนด์อีกครั้งพร้อมใช้มีดด้ามเล็กกรีดนิ้วของบารอนด์ประทับตราด้วยเลือด พลันเกิดแสงสีขาวเป็นประกายเคลือบกระดาษสัญญา
“อย่าทำหน้าตกใจไป ก็แค่เวทรักษาสัญญา ถ้าท่านผิดสัญญาหัวใจของท่านจะถูกบีบรัดจนกระอักเลือด แต่ถ้าข้าเห็นความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้านาย ข้าอาจจะเมตตาก็ได้นะ ทำตัวดี ๆ ไว้ละกันบารอนด์วาเลีย...เพราะข้าจะคอยจับตาดูท่าน อย่าคิดตุกติกเชียว...”
“โหดร้ายที่สุด...อึก...” ชายวัยกลางคนก้มหน้าลงกับพื้นพร้อมหยาดน้ำตาไหลอาบลงแก้มอย่างน่าเวทนา...
เฮลิออสซึ่งคอยมองดูอยู่บนต้นไม้ก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจกับความน่ากลัวของหญิงสาวทั้งสองคน
“นักบุญหรือโจรกันแน่ละเนี่ย ก็พอถูกใจใช่เล่นอยู่นะ”
“นั้นสิครับ ผิดจากภาพลักษณ์เดิมมากเลย”
เออร์วินทหารมือขวาคนสนิทเอ่ยกล่าว
“นี่อาจจะเป็นตัวจริงของนางก็ได้ แล้วคิดไม่ถึงเลยว่านางจะมีคนเก่ง ๆ อยู่ข้างกาย”
“ท่านนักบุญกับนักเล่นแร่แปรธาตุเป็นความเข้ากันที่ดูขัดแย้งกันมากเลยพ่ะย่ะค่ะ เออ...ท่านนักบุญให้กระหม่อมมาบอกกับฝ่าบาทด้วยว่าต้องการบ้านหนึ่งหลังไว้สำหรับให้ทาสอาศัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“จะเลี้ยงทาสไว้งั้นเหรอ...นึกว่าจะปล่อยตัวไปเฉยๆ เสียอีก ก็สมกับเป็นนักบุญอยู่สักนิดนะ... เออร์วินก็ไปคอยคุ้มกันพวกนางส่งนางกลับบ้านด้วย”
“ฝ่าบาทไม่ไปบอกลาท่านนักบุญหรือ?”
“ข้าแค่จับตาดูนาง ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจทำอย่างงั้น”
“อ่อ....”
ไม่สนใจแต่ชวนนางแต่งงานเนี่ยนะ องค์ชายเฮลิออสของข้าช่างขัดแย้งกันจริงๆ
3 วันก่อน
หลังจากกลับมาจากแดนเหนือเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ววันนี้เป็นครั้งแรกที่เฮลิออสได้เข้ามาในราชวังหลักเพื่อเข้าพบองค์จักรพรรดิ
ระหว่างทางเดิน เขาได้เจอกับองค์ชายอาร์มิสโดยบังเอิญ ถึงแม้ทั้งคู่ได้เจอกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรก ทว่าน้องชายต่างมารดาของเขากลับมีใบหน้าไร้ความกังวลต่อความไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอาเสียเลย
“สวัสดีครับ ท่านพี่เฮลิออส คงเป็นครั้งแรกที่ท่านพี่ได้เจอหน้าผม ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ”
ใบหน้าอาร์มิสเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มมิตรไมตรี แม้วาจาจะสุภาพแต่ท่าทียังคงหยิ่งผยองสมกับเป็นองค์ชายผู้ไม่เคยต้องก้มหัวให้ใคร
เฮลิออสเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ชอบใจรอยยิ้มของอาร์มิส เพราะว่ามันดูเหมือนคนเสแสร้งตลอดเวลา ช่วงระยะเวลาหนึ่งเขาได้แอบเฝ้าดูอาร์มิสเพื่อศึกษานิสัยของเจ้าตัวอยู่ห่างๆ เฮลิออสมองเห็นว่าอาร์มิสนั้นก็แค่คุณหนูผู้เป็นหุ่นเชิดของจักรพรรดินี ถึงจะรู้เช่นนั้นแต่เขาก็ยังไม่ชอบใจอาร์มิสอยู่ดี
“เรียกเราว่าองค์ชายเฮลิออสคงดีกว่าเรียกแบบนับญาติ เราไม่สนิทชิดเชื่อกันถึงขั้นพี่น้อง” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกตอบกลับ นัยน์ตาอเมทิสต์กดสายตามองต่ำ ยิ่งเพิ่มระยะห่างจากความเป็นมิตรไมตรีไปมากโข
อาร์มิสกอดอกลูบคางครุ่นคิด
“มันก็จริงนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะมีเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน แต่ก็แทบไม่เคยเจอหน้ากันเลย...งั้น! …ไว้วันหลังมาสนิทกันไว้นะครับ”
“หึ” เฮลิออสกระตุกยิ้ม คำว่าสนิทมันคงไม่มีวันสำหรับศัตรู "ถ้าให้เราสนิทกับท่าน เราไปคุยกับต้นไม้ยังดีเสียกว่า"
อาร์มิสยังคงสีหน้ายิ้มแย้มไม่สะทกสะท้านแม้จะถูกหลอกด่าจากพี่ชายต่างมารดา
"ผมก็ไม่คิดว่าการตอบรับมิตรไมตรีที่ยื่นให้ของผมมันจะถูกองค์ชายผู้ขึ้นชื่อว่านิสัยแข็งกระด้างปฏิเสธ แบบนี้ผมก็ไม่ต้องพูดสุภาพกับองค์ชายแล้วสิ"
เฮลิออสหัวเราะอย่างขบขันกับการโต้เถียงกลับขององค์ชายที่ภาพลักษณ์ภายนอกเป็นคนอ่อนโยนและใจดี ทว่าคนตรงหน้าก็ถนัดเหน็บแนมเก่งใช่ย่อย
"เราก็ไม่อยากทำตัวสุภาพกับท่านเหมือนกัน เพราะท่านก็ดูไม่น่าเคารพสักเท่าไหร่" เฮลิออสก้าวมาข้างหน้า กวาดตามองสำรวจร่างกายของอาร์มิสพลันก็แสยะยิ้มออกมา "อยู่แต่วังคงสบายจนเคยชิน สภาพแบบนี้คงจะจับดาบไม่ไหว" เขาส่ายหัวไปมาราวกับกำลังดูแคลนชายหนุ่มที่ตัวบางกว่าเขา
คนที่ถูกดูแคลนก็ยังคลี่ยิ้มกวนประสาทกลับ
"ผมเน้นใช้สมอง ไม่เน้นใช้แรงเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้นหรอก"
สายตาของเฮลิออสจ้องเอาเรื่องกับน้องชายต่างมารดา ทว่าก็ถูกขัดจากองครักษ์ข้างหลัง
"ฝ่าบาท...รีบไปเข้าพบจักรพรรดิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" เออร์วินกล่าวเตือนสติเจ้านาย เกรงว่าถ้ายังคุยกันต่อคงได้ชักดาบใส่องค์ชายอาร์มิสเป็นแน่
เฮลิออสผ่อนคลายสีหน้าลง
“เราคงขอตัว อ่า...ก่อนไป...ขอแสดงความยินดีเรื่องคู่หมั้นด้วยนะ หวังว่าองค์ชายอาร์มิสจะทรงดูแลของรักของหวงไว้ให้ดีไปตลอดรอดฝั่ง...”
เฮลิออสเดินสวนอาร์มิส เขารู้สึกว่าอาร์มิสเป็นพวกปากไม่ดีและยั่วโมโหเขาขึ้นได้ง่ายๆ ถ้าเขาคล้อยตามการชักจูง ชื่อเสียงคงแย่ลงกว่าเดิม ทว่าตอนนี้ถ้าเรียงลำดับอำนาจ อาร์มิสผู้เป็นน้องดันมีเสียงมากกว่าเขา เพราะอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท แม้จะยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการแต่ก็มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์อันชอบธรรม ซึ่งแตกต่างกับเขาเป็นบุตรนอกสมรส แม้จะเกิดก่อนก็ตาม แต่ถึงยังไงเขาก็ยังเป็นองค์ชายและซอร์ดมาสเตอร์ในจักรวรรดิผู้นำทัพชนะสงคราม
ตอนนี้ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทยังไม่ใช่ของเขา แต่สักวันหนึ่งมันต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
การพลิกกระดานหมากรุกมันพึ่งเริ่มต้นต่างหาก
พอแผ่นหลังกว้างลับสายตาไป...
เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันผมสีบลอนด์สง่าก็ผุดยิ้มขึ้นพร้อมเสียงขบขัน
ตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันหวังว่าองค์ชายจะลืมหม่อมฉันได
ตอนที่13ใช่พระเอกในนิยายจริงๆ เหรอตำหนักองค์ชายอาร์มิสพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หญิงสาวชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายทอดน่องเดินเข้ามาในตำหนักรอง หวังว่าการมาตำหนักนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเคียร่ามาถึงหน้าห้องขององค์ชายอาร์ส องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเปิดประตูให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนว่าได้รับคำสั่งตรงจากองค์ชายว่าให้ต้อนรับหญิงสาวผู้นี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องให้ความสว่างอยู่น้อยนิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ยังคงกระดกแก้วเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะวางแก้วลงเขาเหลือบมองเธอและละทิ้งสายตาไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ“จริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเลย...สภาพตอนนี้ของข้าคงดูไม่ได้” อาร์มิสหยิบขวดเหล้าเพื่อจะเติมลงแก้วใบหรูทว่าเคียร่ากลับกระชากขวดเหล้ามาไว้ในมือตัวเอง“พอได้แล้วเพคะ องค์ชายไม่ควรดื่มหนักขนาดนี้นะคะ”เคียร่ามองใบหน้าแดงจัดของอาร์มิส เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเอามาก พอเห็นสภาพนี้ก็เกิดรู้สึกผิดเล็กน้อย“เจ้าอยากให้เราเลิกกับจริงๆ เหรอ...” นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่หญิงสาว ขอบตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา“ใช่แล้วเพคะ ห
“องค์ชายเฮลิออสมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิอีเมอร์สันชายวัยกลางอายุราว50ปีผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สว่างไสวเหมือนกับอาร์มิสและมีนัยน์ตาสีอเมทิสต์เหมือนกับเฮลิออส ใบหน้านิ่งขรึมไร้อารมณ์ถึงแม้ว่าจะทำงานเอกสารกองเท่าภูเขาอยู่แต่ก็ไม่แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อยอีเมอร์สันวางปากกาพร้อมกวาดตามองต่อคนที่มาเยือน“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท...”“ได้ข่าวว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแรมเดือน ทำไมถึงพึ่งจะมาเข้าเฝ้าเรา” อีเมอร์สันเอ่ยเสียงเรียบนิ่งนัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองราวกับตานกอินทรี ทั้งดุดัน และน่าเกรงขาม“กระหม่อมเหนื่อยล้ากับการเดินทาง เลยต้องการพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงดี อีกอย่างกระหม่อมอยากเที่ยวชมเมืองหลวงที่ไม่ได้กลับมาแสนนานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“เราเข้าใจได้ ขอบใจที่เจ้าชนะสงครามแดนเหนือและกลับมาที่เมืองหลวง ผลงานที่เจ้าสร้างไว้เพื่อจักรวรรดิเราจะตอบแทนให้สมกับที่เจ้าทำไว้”เฮลิออสยกยิ้มราวกับว่าคำพูดของอีเมอร์สันเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้“กระหม่อมไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่อยากกลับมาอยู่ในที่ที่เคยอยู่ก็เพียงพอแล้ว...”อีเมอร์สันรู้ความต้องการของเฮลิออสลูกชายของตนเป็นอย่างดี การมาเยือนขอ
ทหารนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของบารอนด์วาเลียอย่างรีบร้อนปัง!“ท่านบารอนด์! มีคนบุกรุกโกดังชั้นใต้ดินมันเผาโกดังมอดไหม้ไปทั่วแล้วขอรับ!! พวกทาสหนีออกหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลยครับ!”เสียงประตูดังขึ้นทำให้บารอนด์ตื่นจากภวังค์ เขารีบลุกออกจากเตียงนอนเปิดหน้าต่างเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ทหารพูด พื้นที่โกดังซึ่งมองเห็นได้ชัดเกิดไฟไหม้ควันฟุ้งลอยเหนือชั้นบรรยากาศ“ใครกันมันกล้ามาหยามข้าขนาดนี้! ดูแลประสาอะไรวะ! รีบไปจับตัวคนบุกรุกมาให้ข้า!!” เสียงโวยวายของชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว“คือว่า...ผู้บุกรุกได้ทำร้ายทหารของเราจนแน่นิ่งไปหมดแล้วครับ...” ทหารตัวใหญ่แสดงความหวาดเกรงมือไม้สั่นปากสั่นเทา“อะไรกัน! มันมีกันเยอะงั้นเหรอ!”“มีผู้ชาย 2 คน คะ ครับ.. มันลอบทำร้ายทหารของเราทีละคน ก่อนจะรู้ตัวพวกทหารก็สลบกันไปหมดแล้วครับ!”ปัก!!! เสียงถีบหลังบารอนด์จากคนชุดดำที่ลอยตัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตัวบารอนด์ได้กระเด็นตามแรงถีบนอนกลิ้งส่งเสียงโอดครวญอยู่บนพื้นพรมผืนหรู“จะ เจ็บ..” บารอนด์หันไปมองหาความช่วยเหลือจากทหาร ทว่าทหารคนนั้นก็ได้สลบไปแล้ว คนชุดดำสองคนที่บุ
โถงงานเลี้ยงในคฤหาสน์เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาของเหล่าลูกหลานขุนนางชนชั้นสูง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดเดรสรัดรูปสีขาวกำลังถูกเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดพูดจาเหน็บแนม“ข้านึกว่าเลดี้เคียร่าจะออกจากงานไปเสียแล้ว มางานวันเกิดแต่ไม่คิดว่ามีของขวัญให้เจ้าภาพงาน หรือว่าที่เลดี้มาคือจงใจอยากจะเป็นที่หมายตาของบุรุษหรือคะ”โมอามองต่ำแสดงสายตาดูถูกดูแคลนใส่หญิงสาวใบหน้ายิ้มแย้ม“นั้นสิคะ อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อเป็นคนในตระกูลคราเรนซ์ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”ลูกสมุนของโมอาช่วยเสริมเติมแต่งหวังว่าจะทำให้เคียร่าหน้าเสียอีกครั้ง“ของขวัญสำหรับเลดี้โมอามีแน่นอนค่ะ ไหน ๆ แล้วข้าอยากจะมอบความสุนทรีย์บรรเลงเปียโนให้กับทุกคนในงานเลี้ยงได้ฟังกันนะคะ”“คนอย่างเลดี้เล่นเปียโนก็คงเป็นเพลงเพี้ยน ๆ เหมือนคราก่อน ข้าก็ไม่หวังกับเลดี้เคียร่าหรอกค่ะ”โมอาแสยะยิ้ม เธอคิดไม่ถึงว่าเคียร่าจะกล้าเล่นดนตรีอีกครั้ง เพราะว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในงานออกสังคมครั้งแรกที่เคียร่าไป เธอได้บรรเลงเพลงให้ผู้คนมากมายได้ฟัง จนทั้งงานได้แต่ขนานนามหัวเราะถึงการเล่นดนตรียอดแย่ของเธอมือเรียวสวยวางมือลงบนเปียโน หลับตาลงนึก
“คุณหนู! ทำไมกลับมาเสียเช้า รู้ไหมข้าเป็นกังวลแทบบ้า!” หญิงสาวแต่งตัวใส่ชุดนอนของผู้เป็นนายดีดตัวลงออกจากเตียงและบ่นกับเคียร่าที่พึ่งกลับมาถึงตอนรุ่งเช้า“เกิดเหตุนิดหน่อยน่ะ ขอบใจนะที่แสดงเป็นข้า”เคียร่ายิ้มหวานพลันลูบหัวโรสอย่างเอ็นดู“ใจข้าว้าวุ่นขนาดไหน...นึกว่าคุณหนูจะไม่กลับมาเสียแล้ว” โรสขมวดคิ้วพร้อมแสดงหน้าน้อยใจ ถ้าเจ้านายไม่กลับมาเธอคงต้องออกตามหาผู้เป็นนายอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่“เอาน่า วันนี้เรามีนัดสำคัญข้าจะพลาดไปได้ไง และข้าก็ได้เอกสารหลักฐานมาครบแล้ว คืนนี้เราจะเอาคืนตระกูลวาเลียกัน”ใบหน้าสวยเจ้าเล่ห์แสยะยิ้ม ทำเอาโรสถึงกับใจเต้นแรง เธอรู้สึกชอบบุคลิกนี้ของเจ้านายที่สุด โดยปกติเมื่อคุณหนูอยู่ต่อหน้าคนอื่นการแสดงสีหน้าและท่าทางจะกลายเป็นคนละคนกับตอนนี้เคียร่าต้องแสดงเป็นหญิงสาวใสซื่อ อ่อนแอไม่สู้คนอยู่ตลอด แต่พอได้พ้นสายตาผู้อื่นไป ก็จะแสดงอีกตัวตนหนึ่งออกมาจนตอนนี้โรสเริ่มชินและเข้าใจเจ้านายของตัวเองมากขึ้นแล้วเฮลิออสหยิบโน้ตบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาอ่านและคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเธอรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปคงโดนตราหน้าว่าเป็นพวกโรคจิตเป็นแน่ร่างสูงจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เร