สวัสดีค่ะฉันชื่อหนูดาอายุยี่สิบห้าปี สวยแบบพอดีและยังโสด คุณพ่อคุณแม่ได้จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบห้าปีก่อน แต่ท่านทั้งสองก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ส่วนหนึ่ง และโชคดีที่คุณอาน้องชายแท้ ๆ ของคุณพ่อ ได้รับฉันไปดูแลอุปการะเลี้ยงดูเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง
ส่วนธุรกิจของคุณพ่อก็ให้คุณอาดูแลไปก่อน จนกว่าฉันจะบรรลุนิติภาวะมีความรับชอบในวัยผู้ใหญ่ คุณอาของฉันจะนำเงินปันผลเข้าบัญชีให้ทุกปี ทำให้ฉันไม่เดือนร้อนเรื่องเงิน พอเรียนจบไม่ต้องทำงานก็ยังมีเงินใช้จ่าย ฉันยังคงไม่รับช่วงต่อธุระกิจของคุณพ่อ เพราะยังอยากจะท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่ฉันชอบ และเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่นั้น ๆ
นอกจากนี้ฉันยังชอบทำอาหาร จึงไปสมัครเรียนทำอาหารทั้งไทยและเทศ ที่ขาดไม่ได้ก็คือศิลปะป้องกันตัวที่หลากหลาย ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้เอาไว้บ้าง เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวไม่สามารถบอกได้ว่า จะเจอกับเรื่องอันตรายในรูปแบบใดบ้าง เรื่องอื่น ๆ ก็มีเรียนให้เป็นความรู้ติดตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ดนตรี ขี่ม้า เต้นรำ
สองอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันนี้ฉันออกมาทำธุระเรื่องเตรียมสิ่งของ ที่จะนำไปบริจาคในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุยี่สิบห้าปีของฉัน
ในตอนที่ยืนอยู่หน้าร้านขายสินค้าเพื่อเลือกดูของ ก็มีคุณตาที่อายุมากแล้วคนนึงเข้ามาทัก “นังหนูเดินทางมาอยู่ในที่ไกลแสนไกลแห่งนี้นานแล้ว ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องกลับไปหาคนที่รออยู่ทางนั้นแล้วล่ะ”
“คุณตาพูดกับหนูเหรอคะ?”
กริ๊ง ๆ ๆ “สวัสดีค่ะคุณอา” ฉันกดรับโทรศัพท์เพราะมีสายเรียกเข้ามา
“หนูดาอีกสองวันอย่าลืมที่นัดกันไว้นะ ของที่จะเอาไปบริจาคถ้าหนูดาจัดการเสร็จแล้ว ก็โทรมาบอกอา ๆ จะได้ให้คนขับรถไปรับมาเตรียมไว้ก่อน”
“ได้ค่ะคุณอา หนูดาไม่ไปสายแน่นอนไว้เจอกันนะคะ” พอฉันวางสายแล้วหันกลับมาคุณตาคนนั้นก็หายไปแล้ว ฉันจึงกลับไปจัดการเรื่องของบริจาคต่อจนลืมเรื่องนั้นไป เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันก็ได้นั่งทบทวนถึงคำพูดของคุณตาคนนั้นที่บอกว่า ‘ฉันต้องกลับไปหาคนที่รอฉันอยู่ที่นั่น มันคือที่ไหนกันล่ะ?’
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วพออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว
“มาแล้วรึนังหนู วันนี้ข้ามาเพื่อเตือนให้เจ้ารู้ตัวเอาไว้ก่อน อีกสองวันข้าจะมารับเจ้าไป หากช้ากว่านี้ร่างของเจ้าที่นั่นจะแย่เอาได้” คุณตาได้เอ่ยกับหนูดาทันทีที่เจอหน้า
“หืม คุณตาจะพาหนูไปที่ไหนเหรอคะ” ฉันถามคุณตาเพราะยังไม่เข้าใจ
“ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังในตอนที่มารับเจ้าก็แล้วกัน ก่อนข้าจะไปเจ้าสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ เจ้าอยากจะขอสิ่งใดบ้างล่ะ”
ฉันนั่งคิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าจะขออะไร เพราะความรู้ความสามารถที่มีก็น่าจะใช้ชีวิตได้ไม่ลำบาก “ถ้าหนูจะขอหลายอย่างรวมอยู่ในข้อเดียวกันได้ไหมคะคุณตา” ฉันลองหยั่งเชิงถามดูก่อน
“เจ้าลองพูดมาก่อนแล้วข้าจะพิจารณาดูอีกทีว่าจะให้ได้หรือไม่”
“ถ้างั้นหนูขอมิติที่มีบ้านหลังนี้และห้างสรรพสินค้า ที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดรวมถึงความรู้ของโลกแห่งนี้ให้ติดตัวไปด้วย ขอให้หนูสามารถจดจำทุกสิ่งได้เพียงแค่ผ่านสายตา ขอให้ร่างกายต้านพิษได้ทุกชนิดและใช้เลือดในการแก้พิษทุกชนิดได้เช่นกันเจ้าค่ะ” ขอมากไปหรือเปล่านะ?
“ได้ ข้าให้พรตามที่เจ้าขอมาและมันจะปรากฏขึ้น เมื่อเจ้ากลับไปยังที่แห่งนั้นแล้ว” คุณตาพูดจบก็หายไปทันที
วันนี้ก็ครบสองวันตามที่คุณตาบอกไว้ ระหว่างทางที่ฉันกำลังขับรถกลับจากการไปบริจาคของ จู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้า ฉันจึงหักรถหลบแต่มีรถบรรทุกขับตามหลังมาด้วยความเร็ว ทำให้เบรกไม่ทันจนชนเข้ากับรถของฉันอย่างแรง และทำให้รถของฉันพลิกคว่ำไปหลายตลบ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเสียชีวิตคาที่ทันที
“ที่นี่ที่ไหนกัน? ทำไมมองไม่เห็นอะไรเลย” ฉันลืมตาอีกทีก็เห็นแต่สีขาวรอบ ๆ ตัว ไม่มีอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย
“นังหนูข้ามารับเจ้าชาตินี้เจ้าได้หมดอายุขัยแล้ว แต่ว่าข้าจะให้เจ้าได้กลับไปแก้ไข เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าในชาติก่อนหน้านี้”
“ห๊ะ” กลับไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของชาติก่อนหน้างั้นเหรอ ไหน ๆ ก็ตายแล้วพ่อแม่ก็ล้วนจากไปก่อน ไม่มีอะไรค้างคาสำหรับชาตินี้ ไปสู้ชีวิตในชาติก่อนดูก็ไม่เสียหาย
“เจ้าเป็นคนจิตใจดี เมื่อกลับไปครั้งนี้ชะตาชีวิตของเจ้า จะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเองแล้วล่ะนะ”
“โชคดีนะหลานตา ต่อจากนี้ขอให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” หลังจากที่พูดจบก็มีเสียงของผู้มาใหม่เดินเข้ามา
“นางไปแล้วรึตาเฒ่า ถ้าครั้งหน้าเจ้ามัวแต่ไปดื่มสุราดอกท้อกับเหล่าสหาย จนผูกด้ายแดงผิดอีกละก็ข้าจะไม่ช่วยอีกแล้ว” ยายเฒ่าแสร้งพูดจาโมโห
“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว” ตาเฒ่าพูดออกไปด้วยความสำนึกผิด
ณ สวนดอกไม้ข้างเรือนนอนของลี่หลิน เนื่องจากสภาพอากาศมีลมพัดเย็นสบาย ลี่หลินจึงเลือกมานั่งเล่นรับลมอยู่ในศาลากลางสวนดอกไม้ ซึ่งมีสาวใช้อย่างอิ่งจื่อคอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ“ฮ้า วันนี้อากาศช่างดีจริง ๆ เจ้าว่าไหมอิงจื่อ” ลี่หลินสูดหายใจลึก ๆ หนึ่งครั้งก่อนพูดกับอิงจื่อด้วยความเบิกบานใจ“วันนี้อากาศดีอย่างที่นายหญิงว่ามาจริง ๆ เจ้าค่ะ” อิงจื่อชอบให้เจ้านายของตนมีสีหน้าสดชื่นมีความสุข มากกว่าทำหน้าอมทุกข์เช่นแต่ก่อน“อืม ใช่แล้วล่ะ อากาศดีเช่นนี้ปูเสื่อนอนเล่นคงจะดีไม่น้อย อิงจื่อเจ้าไปเตรียมชาผลไม้มาให้ข้าสักกาเถิด แล้วก็ของว่างที่ไม่หวานมากมาสักจานก็แล้วกันนะ” ลี่หลินชอบชาผลไม้ของบุตรสาวมาก เพราะมันมีกลิ่นหอมยามยกขึ้นดื่ม“บ่าวจะรีบไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” อิงจื่อก็รีบไปเตรียมชาตามที่นายหญิงสั่งทันที“หลินเอ๋อร์เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?” อี้ซวนเดินเข้าไปใกล้ ๆ ลี่หลินแล้วเอ่ยเรียกลี่หลินอย่างสนิทสนมลี่หลินกำลังจะย่อตัวลงนอนบนเสื่อ จึงหยุดชะงักด้วยความตกใจ เมื่อมีเสียงที่คุ้นเคยทักทายขึ้นจากทางด้านหลังของนาง“อ๊ะ!!” ลี่หลินรีบหันกลับไปมองจึงเสียหลักกำลังจะหงายหลังล้มลง ทันใดนั้นก็มีมื
จนกระทั่งถึงเช้าของอีกวัน ลี่หลินที่ผ่านการร้องไห้มาทั้งคืนก็มีสภาพซีดเซียว ซึ่งเสี่ยวหลานก็มีสภาพไม่ต่างกับกับเจ้านายแม้แต่น้อย“ฮึก ๆ เสี่ยวหลานนางจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เมื่อคืนนางจะหิวไหม จะนอนที่ไหน จะกลัวหรือไม่ ข้าจะทำยังไงดีเล่าเสี่ยวหลาน ฮือ ๆ” ลี่หลินยังคงร้องไห้ที่ยังหาบุตรสาวไม่เจอเสี่ยวหลานมองนายหญิงแล้วก็สงสารจับใจ เมื่อคืนก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เอาแต่โทษตัวเองที่ยอมปล่อยให้คุณหนูไปวิ่งเล่นเพียงลำพัง“ไต้ซือเหลียงฟู่มีจดหมายส่งมาจากปรมาจารย์เฉินขอรับ”ไต้ซือรับจดหมายจากท่านปรมาจารย์จากพระลูกวัด เมื่อเปิดอ่านเนื้อหาข้างในจดหมายแล้ว ก็บอกให้พระลูกวัดที่ไปค้นหาซินเยว่กลับมาลี่หลินได้ยินท่านไต้ซือสั่งการลูกศิษย์เช่นนั้น ก็คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบุตรสาวของนางหรือไม่ ไต้ซือถึงได้เรียกทุกคนกลับมา“สีกาลี่หลินเจ้าคงต้องออกไปตามหาด้วยตัวเองแล้ว บางทีสายสัมพันธ์แม่ลูกอาจจะทำให้เจ้าหานางพบก็เป็นได้” เมื่อได้ยินไต้ซือบอกมาเช่นนี้ลี่หลินรีบไปตามหาบุตรสาวทันทีก่อนหน้าที่จะเรื่องขึ้นซินเยว่ที่ขอท่านแม่ออกมาวิ่งเล่น “ท่านแม่ เยว่เอ๋อร์ขอไปเล่นตรงนั้นได้หรือไม่เ
ช่วงสายของวันถัดมาจิ้งถงที่มักจะมาหามู่เหวิน เพื่อชวนอีกฝ่ายพูดคุยถึงเรื่องในอดีต เพราะอยากให้สหายของตนหายจากอาการความจำเสื่อม“มู่เหวินเจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ที่ตัดสินใจเช่นนี้” จิ้งถงเอ่ยถามขึ้นด้วยคาดหวังว่า สหายจะเปลี่ยนใจและตัดสินใจให้ดี ๆ อีกครั้ง“อืม ข้าตัดสินใจดีแล้ว คราวนั้นยามที่ข้าฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ก็ได้สาบานกับตนเองไว้แล้วว่า จะติดตามรับใช้ผู้มีพระคุณไปชั่วชีวิต ซึ่งคนผู้นั้นเป็นเจ้าของเชือกถักเส้นนี้” มู่เหวินยืนยันด้วยความหนักแน่น“เจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วนายท่านเล่า” จิ้งถงกล่าวถึงอี้ซวนที่เปรียบเสมือนผู้พระคุณ ที่คอยดูแลและฝึกสอนวรยุทธ์ให้กับพวกเขา“ข้าคิดว่าท่านอี้ซวนต้องเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน” เขาไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องที่ตัดสินใจ ถ้าอี้ซวนรู้ว่าคนที่เขาจะไปติดตามรับใช้คือใคร เพราะเขาได้ถามเรื่องผู้มีพระคุณกับเสี่ยวหลาน ก่อนที่จิ้งถงจะมาพบเขาในวันนี้เรียบร้อยแล้วย้อนไปก่อนหน้าที่จิ้งถงจะมาพบมู่เหวินที่เรือนของซินเยว่ เรื่องเจ้าของเชือกถักของผู้มีพระคุณ ถูกหยิบยกขึ้นมาถามเอาความกับเสี่ยวหลานอีกครั้ง“เสี่ยวหลานเจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่ ข้าขอคุยกับเจ้า
บริเวณด้านหน้าโรงเตี๊ยมที่จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ เพื่อแขกคนสำคัญที่เชิญมาร่วมงานในวันนี้ ลี่หลินรู้สึกว่าเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ของนางมีคนมานั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงยกยิ้มบาง ๆ เพื่อเป็นการทักทายคน ทันทีทีเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่นางถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทัน“ที่ว่างมีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่เลือกไปนั่ง ท่านจะมานั่งข้าง ๆ ข้าทำไมกัน” ลี่หลินหุบยิ้มแล้วรีบพูดคล้ายประชด“ข้าจะไปนั่งที่อื่นด้วยเหตุใด เพราะตรงนี้เยว่เอ๋อร์นางเป็นคนจัดให้ข้าเอง ถ้าเจ้าอยากจะย้ายไปนั่งที่อื่นเจ้าก็ย้ายไปเองสิ” อี้ซวนตอบกลับลี่หลินอย่างกวน ๆ“เยว่เอ๋อร์ก็จัดที่นั่งตรงนี้ให้ข้า ทำไมข้าจะต้องย้ายไปนั่งที่อื่นตามที่ท่านบอกด้วย ท่านไม่ย้ายข้าก็ไม่ย้ายเหมือนกัน เชอะ” ‘หนอย...เจ้าหัวขโมยนี่ไปสนิทกับบุตรสาวนางตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงได้เรียกชื่ออย่างสนิทสนมเช่นนี้ได้’อี้ซวนเห็นนางทำหน้าแง่งอนก็ชอบอกชอบใจ ไม่ว่านางจะทำสีหน้าแบบไหนก็น่ามองไปหมดลี่หลินเมื่อหันหน้าหลบไปอีกทาง ก็ต้องเจอกับสายตาของเหล่าคุณหนูทั้งหลายที่ยังไม่ออกเรือน พวกนางส่งสายตาร้อนแรงมาทางฝั่งที่นางนั่งอยู่ แต่สายตาเหล่านั้นล้วนถูกส่งมาให้กับบุรุษที่นั่งข้าง ๆ ลี่หลินรีบหัน
หลายวันต่อมาก็ถึงเวลาเปิดร้านค้าวัสดุโถส้วมเสียที ซึ่งกิจการนี้ของซินเยว่เป็นเจ้าแรกของเมืองเหลียงซาน เท่านั้นยังไม่พอนางยังเป็นเจ้าแรกของแคว้นอีกด้วย เงิน เงิน เงิน กำลังจะลอยมาหานางอีกแล้ว“นายหญิงเจ้าขา บ่าวงดงามหรือยังเจ้าคะ” เสี่ยวหลานถามเจ้านายผู้ที่แต่งหน้าให้กับตนเอง“คนงานขายสินค้าคนนี้ช่างงดงามจริง ๆ” ลี่หลินตอบกลับไปด้วยความเอ็นดู“พี่ทั้งสองเตรียมตัวพร้อมหรือยังเจ้าคะ ใกล้จะได้เวลาเปิดงานแล้วเจ้าค่ะ” ซินเยว่เข้ามาดูว่ามารดาของนาง แต่งหน้าทำผมให้อิงจื่อกับเสี่ยวหลานเสร็จหรือยัง“เยว่เอ๋อร์แม่จัดการเสร็จเรียบร้อยพอดี เป็นอย่างไรพวกนางสองคนงดงามหรือไม่” ลี่หลินตอบบุตรสาวพร้อมถามความเห็นของนางอีกคนซินเยว่มองดูแล้วก็พยักหน้าให้กับฝีมือการแต่งหน้าของมารดา ยิ่งนานวันฝีมือของมารดายิ่งเก่งกาจมากขึ้นทุกวัน ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งช่างแต่งหน้ามือหนึ่งแห่งเหลียงซานจริง ๆชุดที่เสี่ยวหลานกับอิงจื่อใส่ก็เป็นชุดใหม่ ที่ตัดจากร้านผ้าของจูจื่อฉิง ซินเยว่ถึงกับชมตนเองในใจว่า จัดงานอย่างไรให้ได้ลูกค้าเพิ่ม จากกิจการอีกสามอย่างก่อนหน้านี้ แต่เมื่อหันกลับไปมองเสี่ยวหลานที่หันหน้ามาหานางพอดี ก็ต้
อี้ซวนเห็นมีรายงานอีกหนึ่งฉบับวางอยู่ จึงได้หยิบมาอ่านเนื้อหาข้างใน เพียงครู่ที่ได้อ่านรายงานฉบับนั้นถึงกับหัวเราะในลำคอ ไม่รอช้าเขาหยิบกระดาษขึ้นมาขีดเขียนข้อความลงไป จากนั้นก็ยื่นมันไปทางจิ้งถงทันที“จิ้งถงเจ้านำจดหมายฉบับนี้ส่งไปยังหน่วยอาชาทมิฬ ให้พวกเขานำของขวัญในจดหมายส่งไปจวนตระกูลเสิ่นให้เร็วที่สุด” อี้ซวนคิดแผนการสร้างความร้าวฉานส่งไปเพิ่ม เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับลี่หลิน“รับทราบขอรับนายท่าน”“นายท่านขอรับ ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องรายงานข้าได้เจอกับมู่เหวินที่เมืองหลวงขอรับ” เทียนฉีรีบรายงานอี้ซวนทันที“เจ้าว่าอะไรนะ!! เจ้าได้เจอมู่เหวินเช่นนั้นหรือ” จิ้งถงตกใจจนเผลอตะโกนเสียงดังออกไป“เจ้ามั่นใจมากน้อยเพียงใด ว่านั่นใช่มู่เหวินตัวจริง” อี้ซวนถามเทียนฉีเพื่อความแน่ใจ“ข้าน้อยมั่นใจเต็มสิบส่วนขอรับ แต่ตอนที่เดินเข้าไปใกล้ ๆ มู่เหวินทำเพียงมองหน้าข้าแล้วก็เดินผ่านไป เมื่อสืบเรื่องของแม่นางลี่หลินเสร็จจะไปตามหาอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาหายตัวไปหายังไงก็หาไม่เจอขอรับ”อี้ซวนคิดว่ามู่เหวินตายไปแล้ว จากการที่เขารับภารกิจไปสืบราชการลับ และถูกดักซุ่มโจมตีจากศัตรู ในขณะที่เขากำลังจะสั่งงานจ