บทที่ 3 บะหมี่เนื้อตุ๋น
-กิจกรรมท้าทายประจำรอบ "ต้มไข่ยางมะตูมสิบฟองเริ่มต้นได้" มู่หนิงชิงเปิดน้ำใส่หม้อ หยิบไข่ไก่วางลงไปสิบใบ ใส่เกลือหนึ่งช้อนโต๊ะ ตั้งไฟรอจนกระทั่งน้ำเดือดนางจึงตั้งเวลาไปที่สามนาทีครึ่ง ระหว่างนั้นก็ใช้เนตรปีศาจของตน เพ่งดูระดับความสุกของไข่ไปด้วย จะหาว่านางโกงไม่ได้นะ ไม่มีกติกาบอกว่าห้ามใช้ความสามารถพิเศษ ในการทำกิจกรรมท้าทาย เมื่อครบเวลาก็รีบปิดไฟ เทน้ำร้อนออก เปิดน้ำเย็นใส่หม้อแทนทันที แช่ไข่ทิ้งไว้ในน้ำเย็นครู่หนึ่ง จึงหยิบไข่ฟองแรกมาปอก ใช้มีดหั่นครึ่งเพื่อตรวจดูระดับความสุก “เยสสส!!! ไข่ต้มยางมะตูมสวยงาม” ไข่ที่เหลืออีกเก้าฟองถูกปอกเปลือกใส่จาน และหั่นครึ่งเพื่อตรวจสอบด้วยความว่องไว หากทิ้งไว้นานกว่านี้ไข่แดงจะสุกมากขึ้น “เสร็จแล้ว ผ่านหรือไม่ซินดี้” -ผลการท้าทาย ต้มไข่ยางมะตูมทั้งสิบฟองประสบความสำเร็จ ท่านต้องการรับรางวัลพิเศษ แม่ไก่พันธุ์ไข่สายดุเลยหรือไม่ “คิกๆ ชอบจริงๆชื่อพันธุ์เนี่ย ขอบใจซินดี้ ขอฝากไว้ก่อนแล้วกัน สะดวกเมื่อไหร่จะมารับนะ” มู่หนิงชิงละมือจากจานไข่ หันไปหั่นผักที่ใช้เป็นเครื่องเคียงสำหรับบะหมี่เนื้อตุ๋น นางใช้เวลาตุ๋นเนื้อราวหนึ่งชั่วยามก่อนที่จะเปิดฝาเพื่อชิมรสชาติ “อืมมม อร่อยมากอ่ะ ขนาดว่าไม่ได้ทำเนื้อตุ๋นกินเองนานแล้วนะเนี่ย ฝีมือไม่ตกจริงๆ ชิงชิง" หลายคนที่รู้จักมู่หนิงชิงต่างสงสัยว่า คนรักการกินอย่างนางไยถึงไม่อ้วน เหตุผลเป็นเพราะเจ้าตัวออกกำลังกาย และฝึกซ้อมการต่อสู้หนักทุกวัน เพื่อรักษารูปร่างให้ปราดเปรียว มีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งยามต้องออกไปปฏิบัติภารกิจโจรกรรม เอ้ย จารกรรม เมื่อถึงเวลา เนื้อตุ๋นที่เตรียมไว้ก็ได้ที่ นางจึงเริ่มลวกบะหมี่ใส่ชามทั้งห้าใบ ตามด้วยตักชิ้นเนื้อที่เปื่อยนุ่ม จนแทบจะละลายในปากยามสัมผัสลงไปวาง เคียงข้างกับไข่ต้มยางมะตูมสองชิ้น โรยหน้าด้วยงาคั่วคลุกผักซอย ตักน้ำซุปใส่เป็นขั้นตอนสุดท้าย อืมม น้ำลายไหล ร่างบางยกชามบะหมี่ออกมาวางบนโต๊ะใกล้หน้าต่างในห้องนอน ก่อนขยี้ผมตัวเองให้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย มองคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน จากนั้นจึงรุดออกไปจากห้องด้วยท่าทางตื่นเต้นตกใจ “ท่านพ่อ! ท่านแม่เจ้าคะ! ตื่นเถิดเจ้าค่ะ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในห้องลูกเจ้าค่ะ!” มู่เฟิงลุกพรวดพุ่งมาที่ประตูทันทียามได้ยินเสียงบุตรสาว “ชิงเอ๋อร์! เกิดอะไรขึ้นลูก บอกพ่อมา” “ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยตามลูกมาที่ห้องทีเถิดเจ้าค่ะ มีสิ่งที่ท่านต้องเห็น” เมื่อก้าวพ้นประตูห้องนอน กลิ่มหอมของบะหมี่เนื้อตุ๋นลอยเข้าจมูก มู่หนิงชิงลอบยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ นางหวังว่าทุกคนในบ้าน จะมีความสุขกับอาหารที่นางทำเองกับมือ “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกนอนหลับฝันไปว่า มีท่านเทพผู้หนึ่งมาหา และบอกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในป่า เป็นเพราะความประมาทของท่านเอง ท่านจึงขอมอบพรวิเศษให้ลูกหนึ่งข้อเพื่อทดแทน แต่สิ่งที่ขอต้องไม่ใช่เงินทอง ลูกจึงขอท่านไปว่า ขอให้บ้านของเรามีอาหารดีๆกินทุกวัน วันละมื้อก็ยังดีเจ้าค่ะ ท่านเทพพยักหน้าบอกว่าพรที่ลูกขอสมปรารถนาแล้ว จากนั้นลูกก็สะดุ้งตื่น และพบว่ามีบะหมี่ห้าชามนี้ตั้งอยู่เจ้าค่ะ” 'โกหกขาวเพื่อครอบครัวไม่บาป ท่านเทพที่ข้าเอามาแอบอ้างโปรดอย่าถือสานะเจ้าคะ' เรื่องราวที่ฟังดูแล้วเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำเอาผู้เป็นบิดามารดายืนตัวแข็งดวงตาเบิกกว้าง ทว่าบะหมี่ทั้งห้าชามตรงหน้าเป็นของจริง อีกทั้งที่บ้านก็ไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น แล้วเนื้อตุ๋นในชามจะมาจากที่ใดได้ มู่เฟิงคุกเข่าลงกับพื้น พนมมือสวดมนต์ขอบคุณสวรรค์ ซูซื่อคุกเข่าลงทำตามสามี ตัวมู่หนิงชิงเองจึงทำบ้างเพื่อความเนียน เมื่อกล่าวขอบคุณสวรรค์เสร็จสรรพ พี่สาวจึงไปปลุกน้องทั้งสองคน จากห้องนอนถัดไปมากินบะหมี่ด้วยกัน เด็กน้อยเดินงัวเงียตามพี่สาวมาแต่โดยดี ครั้นได้กลิ่นและมองเห็นชามบะหมี่ ตั้งอยู่บนโต๊ะกินข้าวเป็นที่เรียบร้อยก็ตื่นเต็มตา “เนื้ออ! พวกเรามีเนื้อกินด้วยหรือเจ้าคะท่านพ่อ?!” มู่หนิงอันตาโต หันไปถามบิดาเสียงสูง เด็กหญิงทั้งดีใจและประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีเนื้อให้กิน นานเท่าไหร่แล้วที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ไม่ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อ… “เฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รีบๆนั่งลงกินบะหมี่ตอนที่ยังร้อนเถอะ ถ้าไม่ร้อนจะไม่อร่อยเอานะ” พี่สาวแสนดีรีบขยับชามบะหมี่มาวางตรงหน้าเด็กทั้งสอง เมื่อมู่เฟิงตักน้ำแกงเข้าปากทุกคนจึงขยับตะเกียบ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทำเอามู่หนิงชิงถึงกับหน้าเสีย “ฮึก ฮึก” เสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงดังขึ้น ริมฝีปากเล็กสั่นเทาขณะเคี้ยวอาหารในปาก “อันเอ๋อร์! น้องร้องไห้ทำไม บะหมี่ไม่อร่อยหรือ” คนทำบะหมี่เอ่ยถามอย่างร้อนรน รสชาติอาหารของนางแย่มากเลยหรือ มู่หนิงชิงใจคอไม่ดีรีบผินหน้า มองสำรวจสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ เวลานี้ขอบตาของทุกคนรื้นน้ำ ซูซื่อน้ำตาไหลจากหางตา ขณะคีบชิ้นเนื้อขึ้นมาจากชาม “อร่อยมากจริงๆ ฮึก ตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยกินบะหมี่เนื้อตุ๋น ฮึก อร่อยมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก น้ำแกงรสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้น เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี ไข่ต้มยางมะตูมก็อร่อย งาคั่วกับผักซอยนี่ก็เข้ากันกับน้ำแกงยิ่ง นี่คงเป็นรสชาติที่สวรรค์รังสรรค์มาให้พวกเราสินะ” “อาเหม่ยพูดถูกจริงๆ ข้าก็คิดเช่นนั้น” มือใหญ่ของมู่เฟิงกุมมือภรรยา ขอบตาแดงจากน้ำตาที่เอ่อท้น “อร่อยมากจริงๆ ขอรับ” มู่หนิงเฉิงเอ่ยเสียงสั่นเครือ น้ำตาเม็ดเล็กไหลอาบแก้มของเด็กชาย มู่หนิงชิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางนึกว่างานเลี้ยงจะล่มเสียแล้ว อร่อยจนถึงขั้นน้ำตาไหลขนาดนี้ นางค่อยรู้สึกฮึกเหิมหน่อย!! หนึ่งเค่อต่อมา บะหมี่เนื้อตุ๋นชามใหญ่ของทุกคนก็หมดเกลี้ยง ชามใส่บะหมี่สะอาดจนแทบไม่ต้องล้างเลยก็ว่าได้ ทุกคนมีสีหน้าเปรมปรีดิ์เปี่ยมด้วยความสุข นั่งลูบท้องตนเองเบาๆ ไม่ได้รู้สึกอิ่มท้องเช่นนี้มานานมากแล้ว… ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทานจนอิ่มหนำสำราญ คงเป็นงานแต่งบุตรชายคนโตเจ้าของที่ดินกระมังหากจำไม่ผิด มู่หนิงชิงเห็นว่าโอกาสกำลังเหมาะ จึงเอ่ยปากเข้าเรื่องสำคัญทันที “ข้ามีเรื่องอยากขอร้องทุกคนเจ้าค่ะ ข้าขอให้ทุกคนช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้พูดกับใครเด็ดขาดโดยเฉพาะกับบ้านใหญ่” สีหน้าท่าทางของมู่หนิงชิงเคร่งขรึมขณะเอื้อนเอ่ย กวาดตามองสมาชิกครอบครัวด้วยแววตาจริงจัง “พ่อสัญญาว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ!!” มู่เฟิงรับปากเป็นคนแรกบทที่ 86 อาการป่วยของซวินเหิงเยว่ (ตอนปลาย) องค์ชายสี่ถูกแต่งตั้งให้มาเป็นอ๋องครองเมืองแทนซวินเหิงเยว่ คนรักของเขาซึ่งเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์เดินทางติดตามมาด้วย องค์ชายสี่เป็นคนมีคุณธรรม และตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ มีปัญหาอะไรก็จะปรึกษาหย่งหนานโหวเพื่อขอคำแนะนำ ทั้งคู่กลายมาเป็นสหายดีที่ต่อกัน ช่วยกันดูแลเมืองอี้เฉิงให้เจริญรุ่งเรืองมิต่างจากตอนที่ซวินเหิงเยว่ครองเมือง แม้นว่าโหวหนุ่มจะคิดถึงสหายรักจอมกวนอยู่บ่อยครั้ง หากแต่หน้าที่ต้องมาก่อน จะทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ เหมือนตั้งแต่สมัยที่ยังเยาว์จนกระทั่งก่อนซวินเหิงเยว่อภิเษกสมรสไม่ได้อีกต่อไป ตระกูลฟ่านเปิดใจยอมรับโหวหนุ่มมากขึ้น อนุญาตให้หมั้นหมายฟ่านฮุ่ยเจินไว้ก่อน แต่กำหนดแต่งงานยังมิได้ระบุ หลังผ่านพ้นหน้าหนาวในปีนั้น องค์รัชทายาทซวินเหิงเยว่และพระชายา ออกเดินทางทั่วแคว้น เพื่อศึกษาพื้นที่ และตรวจดูความเป็นอยู่ของราษฎร ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ซวินเสวียนคง อันที่ซวินเหิงเยว่เป็นผู้บีบคั้นพระบิดา ให้ออกพระราชโองการให้เขากับพระชายา ออกเดินทางเยี่ยมราษฎร ชายหนุ่มไม่โปรดชีวิตวุ่นวายในเมือง เนื่องจากบรรดาขุนน
บทที่ 86 อาการป่วยของซวินเหิงเยว่ (ตอนต้น) แสงตะวันอบอุ่นยามเช้าในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างห้องหอ ปลุกให้ซวินเหิงเยว่ที่ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรลืมตาขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวพึ่งล้มตัวลงนอนไปได้ไม่ถึงสองชั่วยาม! เขานอนตะแคงทอดมองชายาคนงาม ที่ยังอยู่ในห้วงนิทราด้วยแววตาลึกซึ้ง ท่อนแขนแกร่งพาดบนอยู่เอวคอดกิ่ว มือใหญ่วางทาบอยู่บนสะโพกเปลือยเปล่า และเมื่อขยับผ้าห่มเล็กน้อย ตั้งใจจะช่วยคลุมกายชายารักให้มากขึ้น เพราะกลัวว่านางจะหนาว ดวงเนตรคู่คมพลันเหลือบเห็นจ้ำสีกุหลาบกระจายอยู่เต็มผิวขาวเนียนละออ ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มอย่างพึงใจ นึกถึงภาพเร่าร้อนของเขาและนางที่ร่วมกระทำกันมาทั้งคืน เพียงแค่คิดความเป็นชายก็ตั้งตระหง่าน ชายหนุ่มมุดหายเข้าไปใต้ผ้าห่ม ซุกใบหน้าหล่อเหลากับบุปผางามที่ยังแดงช้ำจากร่วมหออย่างดุเดือด เซียวหนิงชิงรู้สึกถึงบางสิ่งร้อนชื้นกำลังดูดดึงส่วนบอบบางของตน ความรู้สึกรัญจวนวาบหวามพลันบังเกิด ถึงตายังหลับทว่ากลับส่งเสียงครางหวาน ขานรับการปรนเปรอจากลิ้นร้อนของสวามี ร่างแกร่งใต้ผ้าห่มยิ่งได้ใจ ขยับทั้งลิ้นและนิ้วเป็นจังหวะประสาน ส่งร่างบางถึงฝั่งฝันในเวลาต่อมา ก
บทที่ 85 ค่ำคืนที่รอคอย (ตอนปลาย) เขาปลดอาภรณ์ของตนออก เผยให้เรือนกายแกร่งสมส่วน ผิวขาวเนียน แผ่นอกแกร่ง หน้าท้องแน่นเป็นลอนที่เซียวหนิงชิงหลงใหล ไล่ต่ำลงมาจนถึงความเป็นชายใหญ่โตขาวนวลส่วนปลายแดงก่ำ ที่กำลังตั้งตระหง่านชี้นางอยู่ตอนนี้! เซียวหนิงชิงหน้าร้อบวาบ ดวงตาเบิกกว้าง ตกใจกับขนาดส่วนนั้นของซวินเหิงเยว่ พลันคิดในใจว่าใหญ่ขนาดนี้นางไม่เจ็บแย่เหรอ จะใหญ่โตไปไหน…! ครั้นได้เห็นสีหน้าของคนรัก ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โน้มตัวลงบดจูบนางอีกครั้ง ก่อนเลื่อนริมฝีปากไปที่ข้างใบหูขาว เสียงแหบพร่าเร้าใจกระซิบใส่หูเล็กจนคนฟังใจสั่น "อย่ากลัวไปเลยเด็กดี ข้าจะอ่อนโยนกับชิงเอ๋อร์ จะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี" ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น พรมจูบดูดดึงผิวขาวอย่างอย่างเอาแต่ใจ มือแกร่งกอบกุมบีบเคล้นเต้าอวบ สร้างความรู้สึกวาบหวามจนหญิงสาวเริ่มบิดเร่า ชายหนุ่มเปลี่ยนมาอ้าปากเข้าครอบครองเต้าอวบ ปลายลิ้นร้อนตวัดรัวชิมรสหวานล้ำจากยอดถันสีสวย เซียวหนิงชิงหลุดครางหวาน แอ่นอกรับสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้อย่างลืมอาย จิกนิ้วกับผ้าปูที่นอนจนยับย่น "อื้ออ สวามี" เสียงครางแผ่วราวเสียงครางของลูกแ
บทที่ 85 ค่ำคืนที่รอคอย (ตอนต้น) เสียงดนตรีจากวงปี่พาทย์ดังขึ้นหน้าจวนแม่ทัพอุดร เป็นสัญญาณว่าบัดนี้เจ้าบ่าวมาถึงตามฤกษ์ยามที่กำหนดไว้ องค์รัชทายาทซวินเหิงเยว่ในชุดสีแดงงามสง่า ลงจากหลังอาชาสีขาวตัวใหญ่ด้วยท่วงท่าองอาจ ดวงพักตร์หล่อเหลาที่ยามปกติเย็นชาเย่อหยิ่งอยู่เป็นนิจ วันนี้ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน รอยยิ้มบางประดับมุมปากตั้งแต่ออกจากตำหนักบูรพาจนถึงตอนนี้ยังไม่เลือนหาย ตลอดเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนผ่าน มีประชาชนออกมายืนรอชื่นชมบารมีขององค์รัชทายาท และรอรับถั่วเงินถั่วทองรวมถึงลูกวาดมงคลที่โปรยแจก นอกจากพวกเขาจะตกตะลึงในรูปโฉมหล่อเหลาของชายหนุ่มแล้ว ทุกคนยังอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเกี้ยวดอกไม้สีแดงแปดคนหามหลังใหญ่ ถูกสั่งทำขึ้นอย่างประณีตวิจิตร ประหนึ่งงานศิลปะชั้นยอด ครั้นมองเห็นหาบสินสอดอีกหลายสิบหีบ ที่นำมามอบให้เจ้าสาวเพิ่มเติมนอกเหนือจากวันหมั้น ชาวบ้านแต่ละคนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ยืนอ้าปากค้างหุบไม่ลงกันไปพักใหญ่!! หลังจากทำพิธีฝั่งเจ้าสาวเสร็จก็ได้ฤกษ์ส่งตัวเซียวหนิงชิงขึ้นเกี้ยว ท่านชายฮั่นจินผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย ถึงแม้จะไม่เต็มใจเป็นน้องเสียเท่าไหร่ ยืนย่อเข่าลงเ
บทที่ 84 วันสำคัญของคู่รัก (ตอนปลาย) เมืองเฉินเฉิง เจ็ดวันก่อนออกเดินทาง เซียวหนิงชิงพาทุกคนไปที่ไร่ชาของครอบครัวของนักพรตหวู่หุน หวู่ฟู่เต๋อพาพวกเขาเดินดูไร่ชาด้วยตนเอง พร้อมอธิบายความรู้เรื่องชาอย่างคร่าวๆ “อีกไม่นาน ชาฤดูใบไม้ผลิยอดแรกจะถูกเก็บเกี่ยว และนี่คือยอดชาที่ดีที่สุดของปีขอรับ” เขาอธิบายให้ทุกคนฟัง เฉินอ๋องหันไปแปลเป็นภาษาฮวาล่าให้ลี่นาซาและฮั่นจินเข้าใจ ลี่นาซาเลยขอทำการค้าชากับพวกเขาในปีถัดไป เพราะปีนี้ถูกเซียวหนิงชิงกว้านซื้อไปหมดแล้ว “ข้าแบ่งให้ท่านแม่บุญธรรมครึ่งหนึ่งก็ได้เจ้าค่ะ หากสนใจทำการค้าปรึกษารุ่ยอ๋องได้เลย คนรักของข้าความสามารถทางด้านการค้าไม่เป็นรองคนตระกูลฟ่านเลยนะเจ้าคะ” เซียวหนิงชิงสนทนากับลี่นาซาด้วยภาษาฮวาล่าอย่างยิ้มแย้ม ทว่าคนที่ถูกกล่าวถึงกลับยืนหน้านิ่ง แผ่จิตสังหารจ้องตาเด็กหนุ่มชาวฮวาล่า ผู้มีหน้าตาคมคายอย่างเอาเรื่อง ทางฮั่นจินเองก็ไม่ยอมลดละ จ้องตาชายหนุ่มอายุมากกว่าอย่างท้าทาย เซียวหนิงชิงคล้ายมองเห็นสายฟ้าพุ่งปะทะกันอยู่กลางอากาศ นางกระซิบถามหลี่โหยวว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่านอ๋องเหลือบมาเห็นตอนที่ท่านชายฮั่นจิน เอาดอกไม้มาปักผมให้ท่านหญ
บทที่ 84 วันสำคัญของคู่รัก (ตอนต้น) ชาวฮวาล่าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นล้วนตกตะลึงกับถ้อยคำของท่านชายฮั่นจิน ลี่นาซาตกใจจนหน้าเหวอ ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย จึงหันไปตำหนิบุตรชายเสียงเขียว "ฮั่นจิน! ลูกจะหยาบคายกับท่านหญิงแบบนี้ไม่ได้นะ เป็นลูกผู้ชายต้องให้เกียรติสตรี" "ท่านแม่ ลูกไม่ได้หยาบคายนะขอรับ ลูกซื่อสัตย์กับความรู้สึกและหัวใจของลูก ลูกชอบนาง ลูกก็บอกนางตามตรง ไยท่านแม่กล่าวว่าลูกหยาบคาย" ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น เซียวหนิงชิงหันมากระซิบถามบิดา เรื่องนิสัยใจคอของบุรุษชาวฮวาล่า คำตอบที่ได้รับช่วยให้นางกระจ่างแจ้ง "ฮั่นจินเติบโตมากับพ่อก็จริง แต่นิสัยบางส่วนเหมือนกับหยาอินไม่มีผิด คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ถึงภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่าจิตใจกลับอ่อนโยนยิ่ง นาซาเคยเล่าให้พ่อฟังถึงวิธีที่หยาอินใช้เกี้ยวพานนาง ลูกคิดว่าเขาเกี้ยวพานนางอย่างไร“ "อย่าบอกว่า จู่ๆก็มาสารภาพรักและขอแต่งงานเลยนะเจ้าคะ" เซียวหนิงชิงลองเดาดูจากพฤติกรรมของคนเป็นลูก เฉินอ๋องอมยิ้ม พยักหน้าเป็นคำตอบ “…” เซียวหนิงชิง 'ได้เลือดพ่อแท้ๆมาเต็มๆ' ขบวนอาคั