แชร์

บทที่3 คุณชายจางหนิงอ้าย

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:24:33

จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

ยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆ

เมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวน

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่นนี้ สำหรับอาหารนั้นเป็นเนื้อสัตว์บ้างบางมื้อเพราะว่าเยว่ซินได้ให้บ่าวรับใช้ไปซื้อพวกเนื้อสัตว์จากตลาด อีกทั้งยังเลี้ยงไก่ไว้เพื่อเก็บกินไข่และทำอาหารอื่น ๆ รวมไปถึงได้ซื้อเมล็ดพันธ์ผักสำหรับปลูกไว้ข้างเรือนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด

ตอนนี้ตัวของนทีเองยอมรับแล้วว่าตัวเขาคือจางหนิงอ้ายผู้ถูกเรียกเป็นดั่งสวะของตระกูล เมื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดแล้วก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเขายังมีเวลาให้ครุ่นคิดอีกมากมาย

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ความฝันแม้ว่าจะเหนือขั้นกว่าจินตนาการที่คาดคิด แต่กับเขาที่ชื่นชอบการอ่านนิยายมาบ้างไม่น้อยจึงไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกไปสักเท่าไหร่ ทักษะและความรู้มากมายที่เขามีจึงมั่นใจว่าสามารถนำมาใช้ในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน

"คุณชายหลับสบายดีหรือไม่ขอรับ?" ลู่ซีถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายของตนนั้นตื่นแต่เช้าตรู่เช่นนี้

"หากไม่นับว่าอากาศหนาวเย็นกว่าที่คิด ก็นับว่าหลับสบายอยู่ไม่น้อย..." นทีพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ร่างของจางหนิงอ้ายนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก เพียงแค่สายลมอ่อนพัดมายังทำให้รู้สึกหนาวเย็นสะท้านไปทั้งกายแล้ว

"คุณชายยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่?" ลู่ซีถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

"ตอนนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อยเพราะอาจไม่ได้ขยับตัวมาหลายวันในก่อนหน้า หากได้ออกกำลังสักนิดก็คงดีขึ้นกว่านี้อีกมาก..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงโดยมีลู่ซีคอยประคองอยู่ไม่ห่าง

"ข้าเชื่อว่าร่างกายของคุณชายย่อมแข็งแรงขึ้นในเร็ววันขอรับ!" ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นรอยยิ้มของคุณชายตนอีกครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา

"ลู่ซีพาข้าออกไปด้านนอกหน่อย ข้าอยากเดินออกกำลังสักเล็กน้อยในช่วงเช้านี้" หนิงอ้ายบอกถึงความต้องการของตนให้รับรู้

"ขอรับคุณชาย!" ลู่ซีรับคำก่อนที่จะประคองอีกฝ่ายลงจากเตียงนอน ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะมุ่งตรงไปยังด้านนอกของตัวเรือนที่ตรงด้านหลังมีป่าไม้ขึ้นตลอดทั้งแนว

"ไม่คิดว่าเรือนพักจะอยู่ส่วนด้านหลังของจวนมากกว่าที่ข้าคิดไว้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบของตัวเรือนหลังนี้ เพราะนอกจากแนวป่าไผ่ด้านหลังแล้วยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นอยู่ไม่น้อย

"เป็นเช่นนั้นขอรับ เรือนหลังนี้นับได้ว่าเป็นหลังสุดท้ายของจวนสกุลจางเคยเป็นเรือนรับรองมาก่อน เพียงแต่ในระยะหลังมานี้ได้มีการขยับขยายพื้นที่มากขึ้นตัวเรือนหลักรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นจึงอยู่ในส่วนกลางเสียมากกว่า หากเลยพ้นจากแนวเขตป่าไผ่ไปก็ถือว่าสิ้นสุดพื้นที่ของจวนสกุลจางแล้วขอรับ..." ลู่ซีอธิบายให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

"แล้วไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่มย่ามในบริเวณนี้ใช่หรือไม่?" หนิงอ้ายถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

"ท่านประมุขตระกูลได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในบริเวณเรือนพักหลังนี้ แม้แต่บ่าวไพร่ในโรงครัวหรือโรงซักล้างรวมไปถึงเวรยามประจำจุด ต่างไม่ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ส่วนหลังนี้เพราะกลัวบทลงโทษขอรับ"

"เช่นนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีพวกสอดรู้สอดเห็นเข้ามาวุ่นวาย..." ลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยตามความคิดของคุณชายตน

นทีที่อยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายรู้ดีว่าร่างกายนี้ยังคงไม่ฟื้นตัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นในการออกกำลังจึงไม่ควรที่จะหักโหมจนเกินไป ควรจะออกกำลังแบบเบา ๆ เสียก่อนโดยเริ่มจากการแยกขาออกเล็กน้อยทำร่างกายให้ผ่อนคลายแล้วปล่อยมือลงตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะเริ่มขยับด้วยท่าทางการแกว่งแขวนไปมา พร้อมกับมองไปที่จุดใดจุดหนึ่งปล่อยความคิดให้ลอยไปกับสายลมแล้วหายใจเข้า จากนั้นแกว่งแขนไปข้างหลังให้เกิดแรงเหวี่ยงกลับมาพร้อมหายใจออก ทำแบบนี้ซ้ำไปมาเป็นเวลาสองเค่อก็สัมผัสได้ว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างไม่น้อยพอให้ชื่นใจ

ร่างกายของหนิงอ้ายได้ออกกำลังเล็กน้อยในยามเช้าเช่นนี้ ทางฝั่งของลู่ซีที่เป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณแม้ว่าภายนอกจะดูเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีแต่นับได้ว่าร่างกายมีความแข็งแรงกว่าเขาจนเห็นได้ชัด

เพราะในขณะที่หนิงอ้ายที่ออกกำลังด้วยความเมื่อยล้าแต่อีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งอาการเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากนั้นหนิงอ้ายยังสังเกตุว่าท่าทางฝึกฝนในเชิงยุทธ์ของอีกฝ่ายที่เขาเห็นมีความคล้ายคลึงกับพื้นฐานของศาสตร์การต่อสู้ในโลกเดิมของเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร่างกายนี้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

"นี่ก็เป็นเวลาถึงยามเฉินแล้ว ข้าว่าคุณชายควรกลับเรือนพักเสียทีนะขอรับ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้น

"เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ปล่อยให้ท่านแม่รอนานคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเท่าไหร่..." หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เพราะตอนนี้มารดาของเจ้าของร่างเดิมน่าจะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน

"เจ้าไม่ต้องช่วยข้าหรอก ได้ออกกำลังไปเล็กน้อยเช่นนี้ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้นมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน" หนิงอ้ายปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่าทุกย่างก้าวแฝงไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น โดยที่มีลู่ซีคอยเดินตามหลังด้วยความเป็นห่วง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงหน้าเรือนพักที่ในตอนนี้เยว่ซินได้ยืนรออยู่

"เป็นอย่างไรบ้างหนิงเอ๋อร์? เหตุใดจึงไม่นอนพักผ่อนอีกสักสองสามวันเล่า?" เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะบุตรชายของนางพึ่งฟื้นจากพิษไข้ไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ

"ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล ได้เดินออกกำลังในยามเช้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งเพราะตอนนี้ร่างกายของข้ารู้สึกดีขึ้นมากไม่น้อยเลยขอรับ" นทีตอบกลับไปพร้อมกับเข้าไปออดอ้อนเยว่ซินผู้เป็นมารดาของเจ้าของร่างที่ตนเข้ามาอยู่ในตอนนี้

"อย่างไรเจ้าอย่าเพิ่งหักโหมออกกำลังเกินไปนักเล่า..." เยว่ซินเอ่ยย้ำเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง

"ขอรับท่านแม่" นทีตอบรับความเป็นห่วงนี้ด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก ในชีวิตนี้เขาได้มีครอบครัวตามที่ต้องการแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องตัวเองและคนที่เขารักได้...

ยามว่างหนิงอ้ายได้เลือกหยิบตำราสมุนไพรออกมาศึกษาเพื่อทบทวนความรู้ไปในตัว หนิงอ้ายคนเก่านั้นให้ความสนใจกับสมุนไพร รวมไปถึงการหลอมสร้างปรุงโอสถเป็นพิเศษ นับได้ว่าความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หนิงอ้ายคนเก่าได้ศึกษาอย่างเชี่ยวชาญยิ่ง

แต่ด้วยเพราะไม่อาจปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้จึงไม่อาจทดลองหลอมสร้างปรุงโอสถระดับต่ำออกมา อีกทั้งความรู้ในตำรากับการปฏิบัติจริงนั้นจำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดจากนักปรุงโอสถโดยตรงหรือจากสำนักศึกษาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาที่สมควรแล้วนทีเห็นว่าควรแก่เวลาพักผ่อนเสียที เด็กหนุ่มจึงปิดตำราลงก่อนจะเก็บเข้าชั้น ก่อนที่จะดับตะเกียงลงพร้อมกับซุกตัวนอนบนเตียงอุ่น ๆ ที่ในตอนนี้มารดาได้จัดการยัดนุ่นตามความต้องการของหนิงอ้าย สิ่งนี้ให้ความรู้สึกสบายไม่ต่างจากโลกเดิมของเขา ก่อนที่ดวงตาเรียวงามจะค่อย ๆ หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด

"ลู่ซี เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องการปลุกพลังวิญญาณได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามลู่ซีขึ้น ความจำในเรื่องนี้ยังคงเลือนลาง และมีบางส่วนที่เขายังไม่อาจเข้าใจได้มากนักในตอนนี้

"ขอรับ..."

"การปลุกพลังวิญญาณของผู้ฝึกตน จะทำให้รับรู้ได้ว่าคนผู้นั้นมีปราณธาตุต้นกำเนิดและถือครองวิญญาณยุทธ์ประเภทไหนและมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด..."

"และหากสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นทักษะความสามารถที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยขอรับ" ลู่ซีอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น

"เช่นนั้นข้าขอดูวิญญาณยุทธ์ของเจ้าได้หรือไม่?" หนิงอ้ายถามออกไปด้วยความอยากรู้

วิญญาณยุทธ์ราชากระบี่กลืนโลหิต สถิตร่าง!!

วูบ!

บนฝ่ามือของลู่ซีปรากฎเป็นกระบี่สีแดงฉานเล่มเล็กที่หมุนวนโดยรอบ สร้างความแปลกใจให้กับนที ผู้ที่คุ้นเคยในเรื่องราวหลักการของวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้

"นี่คือวิญญาณยุทธ์ของข้า สังกัดปราณธาตุลมสายสนับสนุนขอรับ..." ลู่ซีได้สลายกระบี่ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือให้หายไปราวกับว่าก่อนหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

จากนั้นลู่ซีได้พูดคุยในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายกับหนิงอ้าย ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ค่อนข้างเหนือกว่าจินตนาการรับรู้ของนทีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เป็นเวลาหนึ่งแล้วเดือนที่นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายคนนี้ ทุกวันเขามักจะออกกำลังอยู่เสมออีกทั้งยังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย

จริงอยู่ที่ว่าเขาจะยังไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนเต็มตัวก็จริง แต่เพราะหนิงอ้ายคนเดิมได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับวิถีของผู้ฝึกตนอยู่บ้างจึงพอทราบในเรื่องของจุดพลังปราณในร่างกายทั้ง361จุด และตรงใจกลางนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าจุดตันเถียรที่เป็นเหมือนกับจุดกักเก็บพลังลมปราณของร่างกายที่สำคัญของผู้ฝึกตน

ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแม้ไม่อาจปลุกพลังลมปราณได้ในตอนนี้แต่การโคจรพลังลมปราณไปตามเคล็ดวิถีพื้นฐาน เมื่อทำอย่างนี้สม่ำเสมอจึงส่งผลให้ร่างกายที่เคยบอบบางไร้เรี่ยวแรง ในแต่ตอนนี้กลับดูสมบูรณ์และมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากอีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าจุดตันเถียรของเขามีพลังวิญญาณสะสมไหลเวียนมากขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก

"ไม่คาดคิดว่าร่างกายของข้าจะสามรถดูดซับลมปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้..." นทีเอ่ยขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

"ตอนนี้คุณชายดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์จากการชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน" ลู่ซีพูดด้วยความชื่นชม

"นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายนี้แต่เดิมก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้อยู่แล้วจึงมีการตอบสนองต่อการดูดซับปราณฟ้าดินเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในครั้งนั้นได้เกิดกลโกงสิ่งใดกัน ผลจึงปรากฎว่าข้าเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณเสียได้!" หนิงอ้ายพูดออกมาตามที่ตนคิดเอาไว้

เพราะจางหนิงอ้ายคนนี้มีบิดามารดาที่เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ธรรมดาสามัญ จึงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ไร้พลังวิญญาณ และการที่เขาสามารถชักนำลมปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ความความจริงแล้วเขาก็สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้เช่นกัน

แต่ข้อเสียสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปลุกพลังวิญญาณเช่นเขานั้น แม้ว่าจะสามารถชักนำปราณฟ้าดินเหล่านี้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ผ่านจุดตันเถียรได้ก็จริงแต่เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงจึงยังไม่สามารถกักเก็บพลังปราณเหล่านี้ในจุดตันเถียรได้เหมือนกับผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงต้องคอยนั่งโคจรพลังลมปราณฟ้าดินอย่างสม่ำเสมอเช้าเย็นเพื่อทะลวงเส้นปราณในร่างกายทั้ง361จุด เพื่อทะลวงให้จุดพลังลมปราณเหล่านี้บริสุทธิ์มากเพียงพอ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนิงอ้ายนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ให้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างราบรื่นไร้ซึ่งการต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าผสานเข้าเป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันแล้ว

ความสามารถพิเศษของเขาในโลกเดิมยังคงติดตามมาด้วย แต่ด้วยเพราะร่างกายนี้ยังไร้ซึ่งในความสมดุลอีกหลายด้าน เขาจึงคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยหรือหลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จ ถึงตอนนั้นเขาคงต้องเร่งพัฒนาความสามารถเดิมของเขาเสียทีเพราะสิ่งนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์กับเขามาเลยทีเดียว

‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าขออวยพรให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุข มีอิสระสามารถทำทุกอย่างที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องสนถ้อยคำอื่น ส่วนข้าที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างนี้ขอสัญญาว่าข้าจะทำให้ชื่อของเจ้าเป็นที่รู้จักและทุกคนจะได้รับรู้ว่าหนิงอ้ายผู้นี้มากไปด้วยความสามารถเพียงใด...’ นทีเอ่ยขึ้นในใจเพื่อส่งสารไปถึงเจ้าของร่างเดิมและหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นเดียวกับเขาในทุกวันนี้

หนิงอ้ายใช้เวลาในยามกลางวันไปกับการเรียนรู้ทบทวนศาสตร์ตำราเป็นส่วนใหญ่ ในยามกลางคืนเขาเลือกที่จะนั่งดูดซับลมปราณฟ้าดินเพื่อชักนำเอาพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไหลเวียนในร่างกายผ่านจุดตันเถียรให้ได้มากที่สุด

แน่นอนว่าจิตวิญญาณของเขาคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปีที่ผ่านเรื่องราวความสุข ความทุกข์มาอย่างมากมาย ดังนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จและเป้าหมายที่วางไว้ เส้นทางเดียวที่ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดนั่นคือการฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดเพียงเท่านั้น...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status