หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไป ทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นาน
เหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนัก
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้ว
ตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”
นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
“สวีลู่ชิง เจ้าไม่มีเรื่องอันใดจะบอกข้าจริงหรือ” สวีต้าเฟิงผู้เป็นพี่ชายถามไม่อ้อมค้อม เขายังคงสงสัยว่าทั้งคู่พูดคุยเรื่องใดในลานกว้างแห่งนั้นและทำไมจอมมารต้องขัดขวางไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้
อีกทั้งสายตาห่วงใยที่ปิดไม่มิดและท่าทางร้อนรนรวมถึงต้องการปกป้องศัตรูที่ควรจะสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแปลกไปหมดจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เทพวายุเป็นเพียงคนเดียวที่สวีลู่ชิงเล่าความจริงให้ฟัง นางบอกเรื่องที่ได้ยินได้เห็นกับพี่ชายราวกับสารภาพความในใจจนหมดสิ้น
“เขาพูดเช่นนั้นแต่ข้ากลับจำไม่ได้เลยสักเรื่อง” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองหน้าพี่ชายราวกับหาคำตอบ
“ปกติแล้วเทพเซียนที่ผ่านด่านเคราะห์ย่อมจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านนานไปอาจจะลืมเลือนก็ย่อมได้ เจ้าจำได้หรือว่าครั้งแรกที่เจ้าจุติลงไปกลายเป็นผู้ใด” เทพวายุถามน้องสาวบ้างเพราะเห็นนางขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน
“ครั้งแรก ข้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา อายุเพียงยี่สิบปีก็ป่วยด้วยโรคระบาด” สวีลู่ชิงยังคงจำได้ดีเพราะเหมือนเหตุการณ์เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน
ทว่า นางจำเรื่องที่กงจื่อเย่พูดถึงไม่ได้เลย แต่ในใจลึก ๆ เจ็บปวดโดยไม่รู้สาเหตุพลันนึกคำพูดสุดท้ายของเขาได้
“ท่านพี่ ข้ามีลูกด้วย” ดวงตาของนางเป็นประกายแต่พอเห็นใบหน้าของพี่ชายกลับเศร้าสร้อยทันใด “ท่านพี่ หากลูกของข้าเป็นมารอย่างเขา เช่นนั้นจะเป็นอย่างไรหรือ”
สวีต้าเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่คิดหนักไม่แพ้กันเพราะเด็กคนนั้นคงจะไม่ใช่มารน้อยธรรมดาแต่เป็นผู้ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันกับกงจื่อเย่ เพราะฉะนั้นแล้วพลังที่เขามีคงจะไม่น้อยหน้าและดูเป็นอันตรายไม่น้อย
สีหน้าน้องสาวทำให้เขาคิดหาหนทางเพราะสัมผัสได้ว่านางผูกพันกับเด็กคนนั้นจนอาจยอมฝ่าฝืนกฎสวรรค์เพื่อรักษาชีวิตมารน้อย
“หากเขาคิดทำลายสามภพ ข้าคงปล่อยไว้ไม่ได้ มารน้อยที่เกิดมาย่อมเหมือนเขาผู้นั้น ไร้ใจ ไม่รับรู้ความเจ็บปวดอันใด” เทพวายุยังคงไม่ลืมหน้าที่ของตนเองก่อนจะพูดอีกว่า “แต่ถ้าหากเขายังสั่งสอนได้บ้าง คงจะมีทางรอด”
“ท่านพี่ ไปหาเขาดีหรือไม่” เทพดาราเอ่ยถาม อย่างน้อยต้องตรวจสอบดูก่อนว่าอีกฝ่ายดีหรือร้าย
เมื่อคนเป็นพี่ชายเห็นด้วยจึงเตรียมตัวให้พร้อมแล้วแอบไปที่เขตแดนของภพมารกันเพียงลำพังในไม่กี่ชั่วยามต่อมา
ภพมาร
ข่าวคราวของกงจื่อเย่แพร่สะพัดไปทั่วจนแดนมืดโกลาหล ใครต่อใครต่างอ้างตัวคิดเป็นใหญ่ขึ้นมาแทนที่ในทันทีเพราะรอโอกาสนี้มานาน ไม่มีผู้ใดเลยเศร้าสลดเสียใจต่อการจากไปของอดีตผู้ปกครองดินแดน
แน่นอนว่าหนึ่งในความปั่นป่วนต้องเป็นเรื่องทายาทที่จอมมารคนเก่าทิ้งเอาไว้ ยิ่งเห็นว่าอีนั่วเป็นเพียงครึ่งมารและยังเยาว์วัยก็ยิ่งคิดว่าจะสังหารและดูดกลืนพลังมารของเขามาเป็นของตัวเองได้โดยง่าย
มารปีศาจกระหายพลังจึงเริ่มออกล่าอีนั่วโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัว ในขณะที่สมุนผู้จงรักภักดีของกงจื่อเย่ยังคงอยู่เคียงข้างมารน้อยต่อไปเพราะไม่อาจฝ่าฝืนตราประทับที่เขาเคยทำเอาไว้ได้
แม้กงจื่อเย่จะผนึกตรากับปีศาจหลายตนแต่เมื่อเขาสลายไป พลังที่ใช้กดสมุนเหล่านั้นจึงเริ่มคลายไปด้วย ยกเว้นสามหน่อที่ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงไม่หลุดพ้นเหมือนอย่างคนอื่นเขาจนพลอยโดนไล่ล่าไปด้วย
“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ” เฉินซือหยางถามสหายทั้งสองคน สายตามองซ้ายขวาเฝ้าเวรยามเพราะกำลังพาอีนั่วหลบหนีจากความวุ่นวาย
“เจ้าไม่รู้ ข้าจะรู้ได้อย่างไร แม้จะอยู่กับนายท่านมาร้อยปีแล้วแต่ข้าเหมือนไม่รู้จักคนผู้นั้นเลย” โจวเหวินหลงบอกไปตามตรงเพราะจนปัญญาจะหาคำตอบ ในเมื่อชะตาลิขิตให้ต้องตกเป็นทาสของจอมมารตนนั้นก็คงต้องยอม
“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมารน้อยนี่หรือ” ปีศาจหนุ่มหันไปมองอีนั่วที่กำลังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ หลิวอิงอิง
“อย่าได้คิดไร้สาระ” นางตวาดกลับมาทันทีพลางเอื้อมมือขวางเอาไว้ราวกับป้องกันอีนั่ว “นายท่านหายไปเพียงชั่วคราว หากเจ้าคิดทำอะไรกับเขา ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะรักษาชีวิตตัวเองได้”
“รู้แล้วน่า ใครจะไปกล้าลงมือกันเล่า ใจจริงข้าเพียงแค่อยากเป็นอิสระเท่านั้น” เขาส่ายหน้าแล้วพูดอีกว่า “แม้ภพมารจะกว้างใหญ่ แต่พวกเราจะหนีรอดไปได้กี่น้ำ ในเมื่อมารปีศาจพวกนั้นออกล่าเขาอย่างกับมีค่าหัว”
เสียงพูดคุยของสหายสามคนทำให้อีนั่วงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะหนวกหูจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อยพลันสามสหายนึกถึงใบหน้าของกงจื่อเย่ขึ้นมาทันที
ในใจคิดไปทางเดียวกันว่า พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด แม้จะมีดวงตาสีฟ้าเหมือนมารดาแต่ยิ่งโตยิ่งหน้าเหมือนบิดาราวกับเป็นคนเดียวกัน
ขณะที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด จู่ ๆ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังเทพสายหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้ คุ้นเคยเหลือเกินว่าก่อนหน้านี้ปะทะกันมาก่อน
เฉินซือหยางและโจวเหวินหลงร่ายอาคมมารเตรียมรับมือ หลิวอิงอิงกันอีนั่วไว้ข้างหลังคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่าหากอยากได้ตัวมารน้อยต้องข้ามศพนางไปก่อน
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” อีนั่วโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีสบายอารมณ์
“...” ทั้งสามมองหน้ากันจนกระทั่งได้ยินอีนั่วเรียกชื่อหนึ่งจึงได้เข้าใจ
“เสี่ยวไป๋” เขาเรียกเงาสีขาวที่ปรากฏตัวต่อหน้าอย่างอารมณ์ดีเพราะรู้ว่ามารดามาหาเขาแล้ว ก่อนจะเดินไปลูบขนสัตว์เทพประจำกายด้วยความสนิทสนม “พาข้าไปหาท่านแม่”
“ไม่ได้ขอรับ” สมุนปีศาจร้องห้ามทันที “หากออกไปตอนนี้ ไม่กลัวหรือว่าจะถูกนางสังหาร ลืมไปแล้วหรือว่าเกิดอันใดขึ้นกับนายท่าน”
อีนั่วพยักหน้ารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ “ข้ารู้...” เขาตอบเพียงแค่นั้นแล้วเดินไปพร้อมเสี่ยวไป๋แต่โจวเหวินหลงรีบขวางทางไว้
“ไปไม่ได้ขอรับ”
หากแต่อีนั่วไม่ยอมฟังเพราะมั่นใจเต็มสิบส่วน ต่อให้นางรู้ว่าเขาเป็นครึ่งมาร มารดาจะไม่ทำอะไรตนเองอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านั้นนึกกังวลไปต่าง ๆ นานา แต่ภายหลังได้รู้แล้วว่าเสียเวลาโดยใช่เหตุเพราะเขาสัมผัสความรู้สึกของสวีลู่ชิงได้
ต้นไม้แห่งชีวิตที่กำลังงอกงามในแก่นวิญญาณของมารน้อย ครึ่งหนึ่งคือความรู้สึกของกงจื่อเย่และอีกครึ่งคือของนาง มารน้อยยิ้มกว้างไม่กังวลสิ่งใดเพราะรู้ว่านางรักเขาเหมือนอย่างเคย
“ท่านแม่ไม่มีวันทำร้ายข้า” เขาบอกอย่างมั่นใจ “พวกเจ้าก็ด้วย หากไม่ทำตัววุ่นวาย ท่านแม่จะไม่ทำอันใดพวกเจ้าเช่นกัน”
เขาพูดแต่เพียงเท่านั้นแล้วหายตัวไปพร้อมเสี่ยวไป๋ในพริบตา ทำให้สมุนทั้งสามต้องเร่งตามติดไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้