สำนักเซียนดาราสวรรค์
“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”
จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร
“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะ
ครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”
ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนัก
คล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า “อาจารย์เจ้าสำนักสละพลังเซียนเพื่อปกป้องนาง ชะตาของนางคงไม่ธรรมดาเพราะฉะนั้นข้าฝากให้เจ้าดูแลนางด้วย”
“ขอรับ” หยางซีอวิ๋นพยักหน้า “ข้าจะดูแลนางให้ดีที่สุดขอรับ”
ครั้นได้ฝากฝังกับศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักแล้ว เฉาหมิงก็พลอยโล่งใจไปบ้าง เรื่องราวใด ๆ หากไม่ร้ายแรงอย่างโดนจอมมารลอบโจมตี ลูกศิษย์ทั้งสามคนก็จะได้กลับสำนักเซียนมาหาเขาในเร็ววัน
เมืองหลินซื่อ
หยางซีอวิ๋นและศิษย์น้องทั้งสองเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบปี พลันได้เห็นว่าด้านล่างเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด
“ศิษย์พี่ ดูนั่นสิ” อิงฮวาชี้ไปที่ร้านอาหารทางซ้ายมือเพราะจำได้ว่าเมื่อปีก่อนเฉาหมิงเคยพานางไปทานอาหารที่นั่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่อิงฮวา” จื่อเถิงยิ้มให้นางแล้วพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่ร้านนั้นพร้อมเสียงท้องร้องโครกคราก
“ลงจากเขามาได้ไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม พวกเจ้าใช้พลังไปมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” หยางซีอวิ๋นหัวเราะร่วนเพราะก่อนที่จะลงมาพวกเขาทานอาหารไปชุดใหญ่จนอิ่มแปล้
“ทำอย่างไรได้เล่า ข้ากำลังโตย่อมต้องกินจุเป็นธรรมดา” อิงฮวาเอ่ยปากแล้วรีบไปสั่งของโปรดทันที
ขณะกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ทั้งสามคนก็ได้ยินเรื่องราวแปลกประหลาดจากคนในร้านที่พูดต่อกันมา
“พวกท่านหมายถึงสิ่งใดหรือ” หยางซีอวิ๋นเอ่ยปากถามหญิงผู้หนึ่ง
“เมืองหนานเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว ข้ากับครอบครัวเพิ่งอพยพหนีตายกันมาไม่นานนี้เอง” นางพูดพลางกอดบุตรชายของตนเองไว้แน่น “ข้าบอกใครตั้งหลายคนแต่ไม่มีใครเชื่อสักคน”
“เจ้าพูดเช่นนั้นจะมีใครเชื่อเล่า สัตว์อสูรก็เป็นเพียงเรื่องในตำนานทั้งนั้น” บุรุษชาวเมืองหลินซื่อเลิกคิ้วไม่เชื่อ
“ท่านป้าเล่าให้ข้าฟังอีกสักนิดเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในเมืองหนาน” จื่อเถิงถามคนตรงหน้า นางสัมผัสได้ว่าเรื่องเล่านั้นคือความจริงทุกประการเพราะลักษณะของสัตว์อสูรหายากเช่นนั้นมีปรากฏอยู่ในตำราเซียน ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
ครั้นได้ยินเรื่องราวจนครบถ้วนแล้ว จื่อเถิงจึงตัดสินใจว่าจะมุ่งหน้าไปที่เมืองหนานหลังตะวันขึ้นฟ้า
“ศิษย์พี่ไม่กลัวหรือ” อิงฮวาจับชายแขนเสื้อจื่อเถิงพลางมองนางด้วยสายตากังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะรับมือกับสัตว์ร้ายไม่ไหว
“หน้าที่ของเรามิใช่ว่าต้องช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าหรอกหรือ หากมัวแต่หวาดกลัวเช่นนี้ วิชาเซียนที่ร่ำเรียนมาหลายปีคงจะ
สูญเปล่า” จื่อเถิงอธิบายให้นางฟัง ความมุ่งมั่นฉายชัดในแววตา
“ข้ารู้ ข้าแค่ลังเลเล็กน้อย” นางเม้มปากขมวดคิ้วพยายามรวบรวมความกล้าขึ้นมา
“อีกอย่างเจ้าไม่รู้หรือว่ามากับผู้ใด” จื่อเถิงชี้ไปทางหยางซีอวิ๋น “ศิษย์พี่เก่งกาจ ไม่อาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้ เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย”
หยางซีอวิ๋นส่ายหน้าเพราะถูกยกยอเกินความเป็นจริง “พวกเจ้าต้องสัญญากับข้าหนึ่งอย่าง”
“...” ทั้งสองคนตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะบอก
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากข้าบอกให้หนี พวกเจ้าต้องรีบหนี เข้าใจหรือไม่” หยางซีอวิ๋นทำสีหน้าจริงจัง
“ข้า...” อิงฮวาและจื่อเถิงอำอึ้งเพราะรู้ความหมายนั้นดี
หากหยางซีอวิ๋นควบคุมสถานการณ์ได้ เขาไม่มีทางบอกให้พวกนางหนี และถ้าเขาเอ่ยปากขอคำมั่นสัญญาเช่นนั้น ความหมายหนึ่งเดียวก็คือเขาจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้พวกนางมีเวลาหนี
“รับปากข้า” ศิษย์พี่รอฟังคำตอบ
“ข้าสัญญา” จื่อเถิงพยักหน้า “แต่ว่าศิษย์พี่ ข้า...”
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นจงทำตามสัญญาที่รับปากข้าจื่อเถิง” หยางซีอวิ๋นไม่ยอมอ่อนข้อให้นาง
การเดินทางช่วยเหลือชาวบ้านครั้งนี้ เขามีหน้าที่ปกป้องนางด้วยชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพราะชะตาที่แท้จริงของนางมีความสำคัญอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่” จื่อเถิงเบ้ปาก ทำตาปริบ ๆ น้ำตารื้นส่งสัญญาณให้อิงฮวาเป็นอย่างดี
“ร้องไห้เช่นนี้ข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” หยางซีอวิ๋นเบือนหน้าหนี “น้ำตาของพวกเจ้าไม่ได้ผลหรอก”
หยางซีอวิ๋นทำทีไม่สนใจ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาขอให้อาจารย์สอนวิชาหนึ่งให้เป็นพิเศษ นั่นก็คือวิชาที่ผูกมัดคำสัญญาไม่อาจลบเลือน
หากวันใดมีภัยคืบคลานเข้ามาและเขาไม่อาจต้านทานไว้ได้ วิชาเซียนจะสำแดงฤทธิ์บังคับให้พวกนางทำตามสัญญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หยางซีอวิ๋นจึงได้แต่ภาวนาว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นจนกว่าพวกเขาจะกลับถึงสำนักก่อนเทศกาลโคมไฟ
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง เมืองหนานกำลังลุกเป็นไฟ ยามนั้นเซียนหลายสำนักปรากฏตัวขึ้นที่นั่นเพื่อช่วยเหลือชาวเมือง หลายคนเพิ่งได้ประสบพบสัตว์อสูรในตำนานเป็นครั้งแรก
กระนั้นยังยืนหยัดสู้ไม่ถอยเพราะมีชีวิตของชาวเมืองเป็นเดิมพัน
ลูกน้องมือซ้ายของจอมมารนั่งมองสัตว์อสูรบุกทะลวงกระแทกร่างกายกำยำล่ำสันใส่ประตูวังหลวงอย่างรุนแรง ในขณะที่อีกฟากมีทหารอารักขาผู้เป็นเพียงมนุษย์เดินดินดันประตูนั้นไว้สุดความสามารถ
เฉินซือหยางแทบอยากจะเข้าร่วมวงใจจะขาดแต่จำเป็นต้องแอบหลบอยู่ในหอสังเกตการณ์เพื่อตรวจดูว่าผู้ใดคือคนที่เขากำลังตามหา
“ไม่ใช่ นั่นก็ไม่ใช่ ตรงนั้นก็ไม่ใช่” เขาเลิกคิ้วเบื่อหน่ายกับหน้าที่นี้เต็มทน “ฆ่าให้หมดเลยก็แล้วกัน ข้าชักจะหิวแล้วล่ะ”
“ยังไม่ได้” โจวเหวินหลงห้ามเอาไว้ก่อนเพราะกำลังรอว่าจะมีผู้ใดโผล่มาอีกหรือไม่ สายตากวาดมองผู้คนเบื้องล่างพลันได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งท่าทางไม่เกรงกลัวสัตว์ร้ายตรงหน้า
“อืม เจ้ามองพวกเขาอยู่ใช่หรือไม่” เฉินซือหยางเองก็คิดแบบเดียวกัน หลังจากตามหาเป้าหมายมานานสิบแปดปี เวลานี้พอจะแยกเซียนที่เป็นเทพจุติจากภพสวรรค์กับมนุษย์ธรรมดาได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธเทพอีกแล้ว
เหลือก็เพียงแต่ยั่วโมโหให้อีกฝ่ายปลดผนึกพลังที่แท้จริงออกมาก็จะสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเทพดาราหรือไม่
เฉินซือหยางยิ้มกว้างหันไปมองสหาย “ข้าลงไปเล่นข้างล่างได้แล้วใช่หรือไม่”
ครั้นได้รับอนุญาตแล้วปีศาจผู้หิวกระหายจึงเริ่มทำลายสรรพสิ่งรอบตัวในทันใด การกระทำโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาดึงดูดความสนใจจากชายหญิงคู่นั้นเป็นอย่างยิ่ง
พลันดาบเซียนคู่กายของพวกเขาทั้งคู่ปรากฏขึ้น เข้าต่อกรกับเฉินซือหยางเพื่อหยุดยั้งความสูญเสีย
แน่นอนว่าปีศาจที่ต้องการกำราบเซียนอย่างเฉินซือหยางไม่มีทางออมมือ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเซียนทั้งสองด้วยความเหี้ยมโหด
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้