วันงานจวนตระกูลเหวิน ผู้คนมากมายทยอยมากันอย่างไม่ขาดสายทั้งขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนัก พ่อค้าวาณิช หรือแม้แต่คนในวังก็ส่งของขวัญมามากมาย
“งานปีนี้จัดได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีก่อน ๆ เลยนะขอรับท่านเสนาบดี”
เสียงเอ่ยทักทายเจ้าของงานดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของคนตระกูลฟางที่เข้างานมาด้วยใบหน้าแจ่มใส ฟางหมิงชิง เสนาบดีกรมการคลังเดินเข้ามาหาเจ้าของงานข้างกายมีฮูหยินอย่างจางหวั่นเมี่ยวและบุตรชายบุตรสาว ฟางจ้าวคังและฟางถิงอิง
“ไม่หรอก อันที่จริงก็อยากงดจัดเช่นกันแต่ทุกคนไม่เห็นด้วย นี้ก็ลดลงมาแล้วนะเพราะภัยหนาวที่มาเยือน ทำให้ผู้คนล้มตายกันไม่น้อยเลย นี้ก็ส่งคนให้เอาของไปบริจาคแล้ว แต่ก็ไม่พออยู่ดี”
เจ้าของงานกล่าวด้วยรอยยิ้มทำเอาคนถามหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อยเพราะยังไม่ได้ช่วยอันใดในเรื่องนี้เลย
“เจ้ากรมอาญาช่างเป็นคนดีเสียจริง ทางข้าเองก็พึ่งให้คนไปตั้งโรงทานมีหลายคนร่วมด้วยเมื่อเช้าก็เลยพอให้ได้อิ่มกันบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในวงสนทนาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรมองเสนาบดีกรมอาญาด้วยรอยยิ้ม ข้างกายยังมีดรุณน้อยวัยแรกแย้มมาด้วยถึงสองคน
“นึกว่าใคร นายท่านโจวนี้เอง กิจการช่วงนี้คงขายดีมากเป็นแน่ถึงได้แจกข้าวแจกของผู้ลี้ภัยมากมายเหล่านั้นได้”
น้ำเสียงเหน็บแนมดังขึ้นจากด้านข้างไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นฟางฟมิงชิงนั้นเอง นายท่านโจวผู้นี้มีร้านค้าหลักคือขายข้าวกับธัญพืชต่าง ๆ และร้านค้าผ้า ยิ่งช่วงหน้าหนาวนี้คงขึ้นราคาเก็บเอากำไรสนุกมือสิท่า
“เชิญทุกท่านด้านในดีกว่า วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศด้วย” เจ้าบ้านอย่างเหวินกงอวิ๋นรีบห้ามทัพทันทีก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปที่โถงรับรอง ในขณะที่ทางฝั่งตระกูลฟางล้วนยิ้มหน้าบานจนหน้าหมั่นไส้
“เอาละ ข้าขอบคุณทุกคนมากที่มาในวันนี้ อันที่จริงข้าเองก็คงจัดงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วละ เพราะจัดแล้วมันเหนื่อยปล่อยให้เด็ก ๆ จัดงานของเขาไป อีกอย่างภัยธรรมชาติก็โหดร้ายขึ้นทุกปีเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยคนยังดีกว่า” คำพูดนี้ทำเอาหลายคนหน้าชากันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าไม่พอใจเพราะเขาเองก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่จัดงานเช่นนี้อีกเพียงแค่ไม่จัดของตนเองเท่านั้น
“อีกเรื่อง ข้าเองก็แก่แล้ว บุตรชายทั้งสองคนก็ยังไม่ออกเรือนกับเขา ไม่รู้ว่าจะได้ออกหรือไม่ด้วยซ้ำ” เหวินกงอวิ๋นกล่าวขำ ๆ จนผู้คนหัวเราะตาม แต่เมื่อมองไปแล้วกลับเห็นเพียงบุตรชายคนโตเท่านั้น ไม่เห็นอีกคนจนทุกคนนึกสงสัย
“อ่อ เจ้ารองยังมาไม่ถึง เมื่อคืนได้ข่าวว่ามีหิมะถล่มขว้างทางจึงทำให้ล่าช้านะ” เหวินกงอวิ๋นแจ้งเรื่องบุตรชายคนรองให้ทุกคนได้ทราบเดี๋ยวจะเอาไปพูดต่าง ๆ นานากันอีกกว่าไม่กตัญญูบิดานั้นนี้ให้น่ารำคาญ
“ท่านเสนาบดี” ฟางหมิงชิงเอ่ยเรียกเจ้าของงานด้วยรอยยิ้มเป็นนัย
“อ้อ เกือบลืมไปเลย อันที่จริงบุตรชายข้าก็มีสัญญาหมั้นหมายอยู่นะ รู้สึกจะเป็นเจ้ารองใช่ไหมเจ้าใหญ่”
“ขอรับท่านพ่อ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มอบอุ่นตามแบบฉบับของผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นใบหน้าหล่อเหลาคมคายมีรอยยิ้มบางประดับอยู่เล็กน้อยยิ่งเสริมให้เจ้าตัวดูเป็นบุรุษที่อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง
“คุณชายรองมีสัญญาหมั้นหมายหรือ กับใครกัน” เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนในงานดังขึ้นจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไรกันบ้าง แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ยืนยิ้มรับทุกคำกล่าวของผู้คนอย่างเย่อหยิ่ง
“เอาล่ะ ๆ ฟงหนานมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับ คุณหนูตระกูลฟาง ฟางมู่ตาน”
สิ้นเสียงนั้นทุกคนก็เงียบกันอย่างมิได้นัดหมาย ฟางมู่ตาน หลายคนเคยได้ยินชื่อนี้ แต่นางตายไปแล้วมิใช่หรือ
“อย่างที่ทุกคนทราบ มู่ตาน บุตรสาวคนนี้ของข้าอายุสั้นนัก ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงอยากให้ตระกูลเหวินพิจารณาเปลี่ยนตัวคู่หมั้นเป็นถิงอิง ที่ตอนนี้นางเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลฟาง ท่านเสนาบดีเห็นเป็นอย่างไรขอรับ” น้ำเสียงนอบน้อมมีความเศร้าเสียใจปนอยู่ทำให้ผู้คนรู้สงสารอยู่ไม่น้อยเลย เพราะหลังจากที่สูญเสียภรรยาเอกไป ตระกูลฟางก็ต้องมาสูญเสียคุณหนูใหญ่อีกคนด้วยอาการตรอมใจของนางที่ทำใจเรื่องมารดาไม่ได้
“อันที่จริงเรื่องนี้ข้าได้ถามกับบุตรชายแล้ว เขายินดีหมั้นหมายและแต่งกับคุณหนูตระกูลฟาง หากแต่”
สายตาคมจ้องมองไปที่กลุ่มคนตระกูลฟางทีละคนก่อนจะหยุดอยู่ที่ฟางหมิงชิงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หากแต่ ต้องเป็นคุณหนูใหญ่ ฟางมู่ตาน เท่านั้น เขาถึงจะยอม”
คนตระกูลฟางถึงกับสีหน้าเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ฟัง ทุกคนเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นเหตุใดคุณชายรองถึงระบุตัวคู่หมั้นเช่นนี้
“ท่านเสนาบดีล้อข้าเล่นแล้ว คนไม่อยู่แล้วจะให้แต่งได้อย่างไร”
จางหวั่นเมี่ยวกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ในขณะที่หลายคนมองว่านี้อาจเป็นการเลี่ยงไม่แต่งของตระกูลเหวินหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาเพราะหากเป็นเช่นนี้ตระกูลตนเองก็จะมีสิทธิ์ได้เกี่ยวดองกับตระกูลเหวินมากขึ้น
“ข้าเองก็ตามใจบุตรชายคนนี้มาก เขาอยากได้อะไร อยากทำอะไรข้าก็ไม่เคยขัด เรื่องนี้เขาเองก็ตัดสินใจอยู่นานเพราะก็รู้กันอยู่ว่าคุณหนูใหญ่นั้นนางไม่อยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเขาแจ้งมาเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่บอกพวกท่านไปตามที่เขาต้องการ ส่วนจะหาคนมาได้หรือไม่นั้นอยู่ที่พวกท่านแล้ว สัญญาหมั้นหมายและแต่งงานนี้จะถูกจัดขึ้นเมื่อคุณหนูใหญ่อายุครบสิบแปดปี เอาละเชิญทุกท่านตามสบายข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เหวินกงอวิ๋นกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินออกจากงานไปปล่อยให้แขกทั้งหลายได้ดื่มกินกันอย่างเต็มที่ ผู้คนที่มาร่วมงานล้วนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานหัวข้อก็คงหนีไปพ้นเรื่องการหมั้นหมายนี้
“กลับ” ฟางหมิงชิงขบฟันตนเองแน่นด้วยความโมโหก่อนจะเดินออกจากงานไปท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาทั้งเสียงกระซิบนินทา เสียงหัวร่อต่อกระซิกราวกับชมเรื่องตลก แต่สำหรับพวกเขามันคงเป็นเรื่องตลกร้ายเสียมากกว่า
ปัง!
เสียงตบโต๊ะด้วยความโมโหของผู้นำตระกูลฟางทำเอาทุกคนไม่กล้าไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้า จางหวั่นเมี่ยวเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันเมื่อเรื่องทั้งหมดกลายเป็นเช่นนี้
“เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ หากนี้เป็นการปฏิเสธสัญญาหมั้นหมายของตระกูลเหวินเล่า” เสียงแตกห้าวของบุรุษวัยกำลังโตเอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“นั้นสิเจ้าคะ ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่านังเด็กนั้นมันตายไปแล้ว ทำไมถึงต้องเจาะจงว่าเป็นนางให้ได้ ข้าไม่เข้าใจ” นางไม่เข้าใจความคิดของคนผู้นี้เลยสักนิดว่าเขาคิดจะทำอะไร ถึงได้ต้องการแต่งงานกับคนที่ตายไปแล้ว
“นาง ตายแล้วจริงหรือ” เสียงเข้มดุเอ่ยขึ้นลอย ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าถามผู้ใด จางหวั่นเมี่ยวเงยหน้ามองสามีตนเองทันที
“นี่ท่าน คิดว่านางยังอยู่งั้นหรือ”
“แล้วเจ้าเห็นศพนางหรือไม่” เขาถามฮูหยินตนเสียงเข้ม พวกเขาไม่มีใครเคยเห็นศพนางเลยสักคน มีเพียงคำบอกเล่าของสาวใช้ผู้นั้นเท่านั้นที่บอกว่านางตายแล้ว
“ไป ให้คนไปตามสาวใช้คนนั้นมา” จางหวั่นเมี่ยวรีบสั่งให้คนไปตามสาวใช้คนนั้นมาทันทีอย่างร้อนใจ ผ่านไปเพียงครู่เดียวสาวใช้ที่ไปตามก็กลับมารายงานว่า สาวใช้คนนั้นไถ่ตัวเองออกจากจวนไปแล้วเมื่อครึ่งปีก่อน
“ข้าพลาดเอง เป็นข้าเองที่พลาด” นางให้สาวใช้ข้างกายเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ แต่นางไม่ใช่คนที่ไปกับรถม้าคันนั้นด้วย มีเพียงสาวใช้อีกคนกับคนขับรถม้าที่เดินทางไปกับเด็กนั้น ผ่านไปสองวันพวกเขาจึงกลับมารายงานว่านางตายแล้วสิ่งที่ใช้ยืนยันคือหยกพกของนางที่ห้อยเอว พวกเขาไม่ได้เอะใจอันใดเลย เพราะเด็กตัวเพียงเท่านั้นไม่มีทางที่จะขัดขืนได้แน่
“ให้คนไปตามหาสาวใช้คนนั้น” เสียงสั่งการดังลั่นไปทั่วห้องโถง พ่อบ้านฟางที่ยืนอยู่ไม่ไกลรับคำสั่งทันที
“เดี๋ยวก่อน ให้คนตามหานางด้วย เป็นหรือตายข้าต้องรู้”
“ขอรับ”
ในขณะที่ทางเมืองหลวงกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น มู่ตานก็กำลังเรียนรู้งานกับชิงหมิงอย่างขะมักเขม้น ด้วยความสามารถของนางนั้นทำให้ไม่เกินสิบวันก็สามารถอ่านบัญชีทั้งหมดที่มีได้แล้วพร้อมกับตรวจบัญชีของร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้ามาใหม่แล้วสรุปยอดรวมส่งให้เหวินฟงหนานได้อย่างเรียบร้อยจนน่าทึ่ง
หนึ่งเดือนหลังจากเข้ามาเป็นผู้ช่วยของชายหนุ่มมู่ตานได้เรียนรู้งานอีกหลายอย่างและสิ่งหนึ่งที่นางเห็นว่าน่าจะสามารถทำเงินให้กับกิจการของเหวินฟงหนานได้นั้นคือผ้าไหม
นางลองให้คนไปเก็บรังไหมป่ามาให้เพื่อเพาะเลี้ยง ไหมป่าที่นางหมายถึงคือรังไหมของผีเสื้อกลางคืนที่พบอยู่ในป่ารังมันมีขนาดเล็กกว่ารังไหมโดยทั่วไป นางเคยนำมันมาทำเป็นเส้นด้ายในตอนที่อยู่กับผู้เป็นปู่แล้วพบว่ามันมีความเหนียวทนเป็นอย่างมากหากนำมาทำชุดได้คงสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าไหมทั่วไป
ด้วยเหตุนี้นางจึงวุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงไหมพวกนี้ มู่ตานใช้ใบไม้ดอกไม้ผสมรวมกับใบหม่อนในการเลี้ยงพวกมันไม่รู้ว่าจะได้ผลเป็นเช่นไรแต่นางขอลองดูก่อน
นอกจากนี้ในป่าลึกสิ่งหนึ่งที่มู่ตานชอบมากคือดอกกล้วยไม้นานาชนิดที่หลากสีสัน ซึ่งน้อยมากที่จะสามารถพบเห็นได้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่เพียงในวังไม่ก็ในจวนขุนนางใหญ่ที่จะเพาะเลี้ยงพวกมันเอาไว้ได้ แต่มู่ตานรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรมันจึงจะรอดและออกดอกมากมายให้ได้ชม เรื่องนี้แม้แต่เหวินฟงหนานยังต้องยอมรับในความสามารถของนาง ตอนนี้ที่จวนเลยมีดอกกล้วยไม้อยู่เป็นจำนวนมาก
“จะได้ผลหรือ รังไหมพวกนี้เล็กกว่าไหมทั่วไปมาก กว่าจะได้ผ้าพับหนึ่งคงใช้พวกมันไม่น้อยเลย” ชิงหมิงยืนดูหญิงสาวเลี้ยงหนอนไหมป่าที่นางให้คนไปหามาให้อย่างพิจารณา
“ข้าอยากลองดูเจ้าค่ะ ถึงแม้ต้องใช้มันในจำนวนมาก แต่ถ้ามันสามารถสร้างสิ่งที่คุ้มค่าให้เราได้ มันจะดีมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
รอยยิ้มสดใสของนางเป็นสิ่งที่พอจะทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นได้บ้าง เพราะหลังจากวันนั้นนางก็แทบไม่กินไม่นอนเลยเอาแต่ทำงาน พอบังคับให้พักนางก็จะหาสิ่งอื่นมาทำ พวกเขามารู้ภายหลังว่าที่นางเป็นเช่นนั้นเพราะทุกครั้งที่หลับตาลงนางมักจะเห็นภาพการตายของปู่นาง หญิงสาวจึงเลือกที่จะทำงานและไม่ยอมนอน จนเหวินฟงหนานลองหาหมอมาช่วยให้นางดีขึ้น และมันก็ได้ผลถึงแม้อาจจะต้องกินยาเป็นเวลานานแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
“ข้ากลับเมืองหลวงไปเดือนเดียวเหตุใดในจวนถึงเป็นเช่นนี้เล่า”
ร่างสูงของเหวินฟงหนานเดินเข้ามาหาทั้งสองคนที่พูดคุยกันอยู่ ต้นไม้น้อยใหญ่มีต้นกล้วยไม้ผูกติดอยู่แทบทุกต้น ตามเรือนก็มีกระถางกล้วยไม้มากมายทั้งที่มีดอกและไม่มีดอก ไหนจะโรงเลี้ยงไหมนี้อีก น่าจะพึ่งสร้างเสร็จไม่นานนี้
“ขออภัยเจ้าค่ะ คุณชาย ข้าอยากลองทำอะไรบางอย่างดูเลยให้คนมาสร้างโรงเลี้ยงไหมให้ หากผลออกมาไม่ดีข้าจะให้คนรื้อออกให้นะเจ้าคะ”
อายุครรภ์ของมู่ตานตอนนี้ห้าเดือนแล้ว ท้องของนางใหญ่มากเวลาลุกนั่งหรือเดินต้องมีคนคอยประคองอยู่ตลอด ท่านหมอแจ้งว่าในท้องของนางอาจมีถึงสามชีวิตที่อยู่ในนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เหวินฟงหนานดีใจเลยสักเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านหมอก็บอกแล้วหากดูแลตัวเองให้ดีข้ากับจะต้องปลอดภัยแน่นอนท่านอย่ากังวลนักเลย”มู่ตานพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นสามีที่ตอนนี้เอาแต่ตามติดนางไม่ห่างเลย“อืม ข้าเชื่อว่าเจ้ากับลูกจะต้องปลอดภัยแน่” แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มือหนาลูบท้องของฮูหยินตนเองเบา ๆ ราวกับต้องการจะสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กในท้องจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามู่ตานไม่ได้มีอาการใดที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิดจนกระทั่งวันนี้ นางรู้สึกเจ็บหน่วงตั้งแต่เช้าจึงรีบให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการ เมื่อตรวจดูแล้วกลับพบว่านางกำลังจะคลอดแล้วซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรสำหรับท้องแฝดที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วยระยะอายุครรภ์กว่าแปดเดือนถือว่าผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายมาได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการคลอดบุตรแต่ละครั้งก็ถือว่าอันตรายมากอยู่ดีเหวินกงอวิ๋นเชิญ
“ตำแหน่งของนางงั้นหรือ ข้าให้ท่านพูดอีกครั้ง ตำแหน่งของใครนะ” ดวงตาแข็งกร้าวของฟางมู่ตานจ้องมองคนมองอย่างน่ากลัว“ขะ…ของเจ้า” จางหวั่นเมี่ยวม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะมีแรงกดดันมากถึงเพียงนี้“เจ้าค่ะ ของข้า” ฟางมู่ตานกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่อยากระบายมานาน“เรื่องนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับคนที่เลี้ยงดูมา มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็ไม่ต่างกัน พวกท่านตามใจนาง อยากได้อะไรก็เพียงชี้นิ้วสั่ง อยากทุบตีใครก็มีบิดาช่วยปิดเรื่องให้ การที่ข้าถูกนำไปทิ้งนั้นถือเป็นโชคดีของข้ามากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านว่าหรือไม่”มู่ตานมองสบตากับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นฟางหมิงชิงเสียเองที่ต้องหลบตานาง“หากวันนั้นท่านไม่ติดนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นทำงานให้ ข้าก็คงไม่รอด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนตระกูลฟางอีกแล้ว ข้าแต่งเข้าตระกูลเหวินแล้ว จะเป็นหรือตาย ก็เป็นคนตระกูลนี้ อย่าคิดจะด่าข้าว่าอกตัญญูเพราะฟางมู่ตานตายไปตั้งแต่ที่ท่านให้คนเอานางไปฆ่าทิ้งแล้ว”มู่ตานชี้หน้าฟางหมิงชิงทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก วัน
อาภรณ์สีแดงสดถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างเบามือจนเผยให้เห็นร่างบางขาวเนียนผ่องของหญิงสาว เหวินฟงหนานถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อสัดส่วนที่สมบรูณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้าฟางมู่ตานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งเห็นสายตาของเหวินฟงหนานที่มองมา นางยิ่งทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจก้าวลงอ่างน้ำไปเพื่อให้มันช่วยอำพรางร่างกายของนาง แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดยิ่ง เหวินฟงหนานยกยิ้มมุมปากก่อนจะสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็วระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของคนที่พึ่งลงอ่างน้ำมาทำเอาฟางมู่ตานนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือร้อนแตะเข้าเบา ๆ ที่ไหล่เนียนมือหนาวักน้ำขึ้นพร้อมกับลูบไล้เบา ๆ ตั้งแต่ไหล่ขาวลงไปที่ต้นแขนเล็ก ริมฝีปากร้อนกดจูบลงที่ไหล่นวลอย่างแผ่วเบาทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกสัมผัส เขาปัดผมยาวของหญิงสาวออกแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่หลังคอระหงจนมู่ตานเผลอปล่อยเสียงที่น่าอายออกมาเหวินฟงหนานก็ยกยิ้มอย่างพอใจทันที“ไม่ต้องกลัว ข้าจะถนอมเจ้าอย่างถึงที่สุดเด็กดี” เสียงกระซิบข้างหูแผ่วเบาทั้งมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยิ่งทำให้ฟางมู่ตานสะท้านร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน นา
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวในทันทีด้วยใบหน้าอิ่มความสุขจนทุกคนสัมผัสได้ เขามองหญิงสาวไม่วางตาก่อนจะรับมือนางมาจากชิงหมิงแล้วส่งขึ้นรถม้าด้วยตนเองอย่างใส่ใจเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ออกเดินทางจากจวนแห่งนี้เคลื่อนไปยังจวนตระกูลเหวินที่ไม่อยู่ไกลกันนัก ขบวนเจ้าสาวยาวเหยียดสุดสายตาทั้งสินเดิมของมารดาทที่ได้กลับมาแม้ไปทั้งหมดก็ตาม สินเดิมพระราชทาน และเดิมที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเติมเข้ามาให้ ทำเอาคนที่เห็นถึงกับอิจฉาตาร้อนโดยเฉพาะคนที่แอบหนีมาอย่างฟางถิงอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างคับแค้นใจยิ่งพิธีมากมายที่ต้องทำแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยังยิ้มได้ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ฟางหมิงชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจนักเพราะก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลายกน้ำชาเขายังนั่งนิ่งไม่ยอมรับน้ำชาจากบ่าวสาวจนเหวินฟงหนานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มว่าเขาเป็นอันใด แต่สายตาที่ฟางหมิงชิงได้สบนั้นกลับเยือกเย็นจนสามารถแช่แข็งเขาได้เลยมืออันสั่นเทายื่นออกไปรับน้ำชาจากบ่าวสาวช้า ๆ มันสั่นจนน้ำชาหกออกจากถ้วยเล็กน้อยแต่ก็ต้
ฟางถิงอิงยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นมันมีทั้งความรู้สึกอับอาย ทั้งโมโห ที่แค้นเคืองตีกันวุ่นไปหมดในหัวของนาง ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะมีน้ำใสไหลอาบลงมาอย่างไม่อาจห้าม“อิงเอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น!!” จางหวั่นเมี่ยวที่เห็นว่าบุตรสาวออกจากจวนมานานแล้วยังไม่กลับเสียที่จึงออกมาตาม เห็นผู้คนมุงอยู่ตรงนี้หลายคนจึงเดินเข้ามาดูด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบุตรสาวยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้คนในสภาพน้ำตานองหน้า ทั้งยังตื่นตระหนกมากด้วย“พวกเจ้าทำอะไรนาง!! ฟางมู่ตานเจ้าทำอะไรลูกข้า!!” จางหวั่นเมี่ยวตวาดลั่นพร้อมกับรั้งบุตรสาวมาไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง“แม่รองถามผิดหรือไม่ ท่านไม่ลองถามบุตรสาวสุดที่รักของท่านดูก่อนเล่า ว่ามาหาเรื่องข้าด้วยเหตุใด มาพูดจาให้ร้ายข้า ฮึก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งที่ข้าต้องการลืมมันไป ฮึก ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฮึก ฮือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากท่านไม่ใช่หรือ ที่เอาข้าไปทิ้งไว้เช่นนั้น ฮืออ!!”นอกจากจะเรียกจางหวั่นเมี่ยวว่าแม่รองแล้ว มู่ตานยังทำในสิ่งที่พวกเขาต้องตกตะลึงตาค้างยิ่งกว่า จะมีอะไรเรียกความเห็นใจจากทุ
เมื่อกลับมาถึงจวนสิ่งที่ฟางมู่ตานเห็นเป็นอย่างแรกเลยนั้นคือความวุ่นวายของบ่าวไพร่ที่กำลังขนย้ายต้นกล้วยไม้ขึ้นรถม้า“จะย้ายมันไปที่ไหนกันหรือ” มู่ตานเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านนางไป“คุณชายให้คนย้ายไปที่จวนใหญ่ที่เมืองหลวงขอรับ” เมื่อได้คำตอบแล้วมู่ตานก็ถามหาคนสั่งการต่อก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มตามที่บ่าวรับใช้บอกมาร่างสูงสง่าของเหวินฟงหนานกำลังนั่งอ่านสมุดบัญชีของเดือนนี้อย่างตั้งใจ แต่พอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในห้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูทันที“ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้บ่าวรับใช้ขนต้นกล้วยไม้ไปที่เมืองหลวง จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งในห้อง“เจ้าลืมงานแต่งของเราหรือ” เหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวไปด้วย“ไม่ลืมเจ้าค่ะ ท่านจะให้มันในงานหรือเจ้าคะ”“ใช่ กล้วยไม้นั้นถือว่าหาได้ยากยิ่งน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงมันได้เช่นนี้ อีกอย่างเจ้าก็ชอบมันมากไม่ใช่หรือ ข้าจึงให้คนใช้มันร่วมกับดอกโบตั๋นประดับในงาน”“ท่านช่างใส่ใจยิ่งนัก” ฟางมู่ตานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่หากฟังให้ดีมันแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่เล็กน้อยไม่จริงจังนักนางรู้ดีว่าเจตนาของชายหนุ