“เอาล่ะ เราไปกินข้าวกันได้แล้ว เสี่ยวเจี้ยน เอาเสื้อคลุมของฮูหยินมาให้ข้า”
เสี่ยวเจี้ยนรีบนำผ้าคลุมของผู้เป็นนาย ส่งให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะถอยกลับไปยืนเคียงข้างพ่อบ้าน จ้านซือถงจัดแจงห่มผ้าคลุมให้แก่ภรรยาอย่างเบามือ
“ท่านพี่เราจะไปกินข้าวกันแค่เพียงห้องข้าง ๆ ไยต้องสวมผ้าคลุมเล่าเจ้าคะ”
“นี่คือฤดูหนาว เจ้าควรดูแลตัวเองให้มากสักหน่อย หากป่วยไข้มาจะเป็นอันตรายเอาได้”
ปากก็พูดกับภรรยา ทว่ามือนั้นยังพยายามที่จะดึงผ้าคลุม ให้ปกปิดเนินอกขาวเนียนนั้น ให้พ้นสายตาของผู้อื่น ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับแขก ต่างพากันหันมองไปทางอื่น เพราะดูเหมือนว่าฮูหยินของบ้าน จะเริ่มมีใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงลำคอแล้วในตอนนี้
มือบางจึงยกขึ้นช่วยสามีจัดการกับผ้าคลุม โดยการเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้ชายผ้าปิดเนินอกอวบของนาง ฉีอิงจึงได้เห็นแววตาพึงพอใจของสามี ก่อนที่เขาจะคว้าเอวขอดของนาง พาเดินไปยังห้องอาหารที่อยู่ติดกัน
“ข้าว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าคงมีงานเพิ่ม”
จ้านซือเถาหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านของพี่ชาย และเสี่ยวเจี้ยน ที่ตอนนี้พากันยืนยิ้มจนตาปิดเลยทีเดียว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะยินดีทำอย่างยิ่งขอรับ”
พ่อบ้านชรา ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง เมื่อเห็นอาการของผู้เป็นนาย เขาคิดว่าคงไม่นาน จะต้องได้รับข่าวดีอย่างแน่นอน
เมื่อจ้านซือเถาเดินออกจากห้องตามพี่ชายไป พ่อบ้านชรากับเสี่ยวเจี้ยน ก็เดินตามไปเพื่อปรนนิบัติเจ้านายทั้งสาม
อาหารค่ำมื้อนี้ดูจะมีสีสันยิ่งนัก จากคนที่ไม่เคยสนทนากับผู้ใดมากนัก แม้แต่กับคนในครอบครัว ทว่าคืนนี้แม่ทัพหนุ่ม กับมีเรื่องมากมายพูดคุยกับน้องชาย เสมือนผูกขาดการสนทนาแต่ผู้เดียวก็ว่าได้ เมื่อเสร็จจากมื้ออาหาร ทั้งสามคนก็ร่วมดื่มสุรากันต่ออีก
แน่นอนว่าฉีอิงนั้น เวลานี้ได้ซบอยู่กับอกของสามี นางไม่คิดว่าสุราที่มีรสชาติหอมหวาน จะมีฤทธิ์แรงได้ถึงขนาดนี้ นางดื่มไปเพียงไม่กี่จอก ทว่าโลกกลับหมุนคว้างเลยทีเดียว
เมื่อเห็นอาการของภรรยา แม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยขอตัวกับน้องชาย ก่อนช้อนอุ้มร่างบางของภรรยาขึ้นสู่อ้อมแขน เสียงพร่ำบ่นของชายหนุ่มมีขึ้นเป็นระยะ โดยตลอดเส้นทางนั้น มีเสี่ยวเจี้ยนเดินตามไปด้วย
เมื่อถึงหน้าเรือน จ้านซือถงขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อเห็นเสี่ยวเตี๋ยยืนอยู่ ในชุดที่คล้ายกับภรรยาของเขา แม่ทัพหนุ่มอุ้มร่างภรรยาก้าวผ่านไป โดยไม่ได้สนใจสาวใช้อีกคนของภรรยาเลยแม้แต่น้อย มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเสี่ยวเตี๋ย แต่มันมิใช่สิ่งที่เขาต้องนำมาใส่ใจ
เสี่ยวเจี้ยนจัดแจงเปิดประตูให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับไปพักผ่อน ส่วนเจ้าของเรือนนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่ทัพหนุ่มจัดการด้วยตนเอง
ฉีอิงไม่ได้ปัดป้องแม้แต่น้อย เมื่อสามีกำลังจัดการกับเสื้อผ้าของนาง ‘จะว่าไป เขาก็หน้าตาดีไม่น้อยเลย’ หญิงสาวคิดอยู่ในใจ พร้อมพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะลืมตามองตอบ คนที่กำลังเช็ดเนื้อตัวให้แก่นาง
ผ้าชุบน้ำที่บิดจนหมาดแล้ว พาดผ่านช่วงเนินอกอิ่ม ทำให้ร่างงามถึงกับบิดกายเล็กน้อย ในความรู้สึกของหญิงสาวนั้น นางแค่ตกใจ ทว่าในความรู้สึกของชายหนุ่มนั้น แตกต่างออกไปมากทีเดียว
แม่ทัพหนุ่มยังคงเช็ดตัวให้ภรรยาอย่างเบามือ ร่างกายของนางนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็มิเคยคิดจะใส่ใจ จนหลายเดือนให้หลัง นางแต่งกายตามสมัยนิยม จนทำให้เขาอยากจะเป็นคนออกแบบ และสั่งตัดเสื้อผ้าให้นางเสียใหม่
“ท่านพี่ มือท่านไยอบอุ่นเช่นนี้” ฉีอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“เจ้าชอบมันเช่นนั้นรึ”
เสียงแหบพล่า เอ่ยกระซิบกับคนบนเตียง ที่นอนบิดกายเล็กน้อย จนอกอิ่มสัมผัสกับมือของชายหนุ่ม ที่ยังมีผ้าสำหรับเช็ดตัวของนางอยู่ในมือ
อืม! เสียงที่ออกมาจากลำคอของนาง ทำให้ซือถงห้ามใจตนเองไม่อยู่ มือหนาวางผ้าผืนเล็กลง ก่อนจะเปลี่ยนมาลูบไล้ยังเนินอกของภรรยา
จมูกคมฝังลงยังซอกคอขาวเนียน ที่มีกลิ่นหอมของดอกหลันฮวา มือบางของฉีอิง ลูบไล้ยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม ด้วยฤทธิ์สุราหรือเพราะความต้องการระหว่างชายหญิง ทั้งคู่หาได้ใส่ใจไม่
ซือถงบดเบียดกายลงทาบทับร่างงาม ก่อนจะจูบซับซอกคอทั้งซ้ายขวา ก่อนจะเลื่อนลงมายังเนินอก ที่ดันเต้าเต่งตึงให้อวดต่อสายตาเขา ชายหนุ่มดึงรั้งเสื้อ ที่รัดทรวงอกเพียงหมิ่นเหม่ ออกอย่างขัดใจ ก่อนจะจูบซับเบา ๆ ยังยอดปทุมถันสีชมพู ที่กำลังแข็งชูชันท้าทายปลายลิ้นของเขา ชายหนุ่มตวัดปลายลิ้นสาก หยอกเย้ากับเม็ดเล็กสีชมพู ก่อนจะขบเม้ม และดูดดึงประหนึ่งทารกกระหายนมมารดา
เสียงครางเบา ๆ หลุดออกมาจากเรียวปากอวบอิ่มเป็นระยะ ยิ่งเพิ่มความต้องการกลั่นแกล้ง ของชายหนุ่มให้มีมากขึ้น มือหนายังคงบีบเค้นเต้างาม ที่เต่งตึงจนเขาไม่อยากที่จะละจาก
ต้นขาแกร่งแทรกระหว่างเรียวขางามของฉีอิง ทำให้มันสัมผัสกับกลีบอ่อนของดอกไม้ด้านล่างของนาง ยิ่งเป็นการเพิ่มอาการบิดเร้าของหญิงสาวให้มีมากขึ้น ชายหนุ่มลากลิ้นตามผิวเนียนนุ่ม กลับขึ้นไปยังริมฝีปากอวบอิ่ม ก่อนจะปิดมันลง พร้อมสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก ลิ้นเล็กกวัดตอบอย่างเราร้อนไม่แพ้กัน
“ลิลลี่ระวัง!” ร่างงามหมุนกายได้อย่างว่องไว ฉึก! หนิงจิ่นเอ๋อร์ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อร่างของนาง มีมีดสั้นปักคาอยู่กลางอก และคนลงมือคือมารดาของนางเอง “เพื่อสกุลหนิงเจ้าต้องรู้จักการเสียสละ!” คำพูดที่ไร้เยื่อใยของมารดา ทำให้สองแก้มอาบไปด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูราวทำนบแตก เสมือนใจของนางที่แหลกสลาย เมื่อรู้ตัวว่าไร้ค่าเยี่ยงที่จ้าวหลันถิงเคยว่าไว้ เหตุใดต้องเป็นนางเล่าที่เสียสละเพียงลำพังจ้าวหลันถิง กระชับอาวุธในมือ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคนของหมู่บ้านหนิงที่ยังตกตะลึง กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการต่อสู้ นางจึงเลือกจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน หาไม่แล้ว! นางคือรายต่อไปที่ต้องตาย ส่วนท่านหญิงฮวา ได้เคลื่อนกายมายืนขวางทางของหนิงฮูหยินเอาไว้ แววตาอันแข็งกร้าวของหญิงสาว เหมือนกับใครบางคนที่คุ้นเคยยิ่งนัก ในความรู้สึกของหนิงฮูหยิน “เจ้าเหมือนคนที่ข้าเคยรู้จัก” “แล้ว!” “แต่นิสัยไยแตกต่างกันนักเล่า” “หน้าเหมือน! ทำไมนิสัยต้องเหมือนกันด้วย ขนาดฝาแฝดยังแตกต่างเลย” คำพูดเยี่ยงคนที่ม
เส้นทางลับ หญิงสาวทั้งสองเดินตามเส้นทางนั้นไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะมองเห็นผนังหินที่อยู่สุดทางเดิน ฮวาหลิวหลีขยับกลไกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ “เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าเจ้าเป็นใคร!” “ข้าฮวาหลิวหลี ธิดาของฮวาอ๋อง” “ไยท่านหญิงฮวาจึงได้รู้เส้นทาง ทั้งยังรู้เรื่องของข้าเล่า” “สวี่อ๋องมิได้แจ้งท่านในจดหมายหรอกหรือ” “ท่านรู้!” “ตอนแรกก็ไม่หรอก! แต่ก่อนที่เราจะมาถึงที่นี่ ท่านพ่อของข้ากับสวี่อ๋อง ได้หารือกันเพื่อป้องกันสิ่งไม่คาดคิด และมันก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ส่วนเรื่องต้าเว่ย! เขามิเคยแปรพรรค แค่ไหลไปตามน้ำก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ รอพบสวี่อ๋องท่านก็ถามเขาเองแล้วกันนะ ไปกันเถอะ!” “ที่ใด!” “ข้าไม่ได้ลวงท่านหรอกนะ...ระวัง!” เคร้ง! ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเดิน ลูกธนูก็พุ่งเข้าหาทั้งคู่ ฮวาหลิวหลียกดาบต้านรับเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะคว้าแขนของจ้าวหลันถิงวิ่งตรงเข้าไปในป่า “เร็ว! คนในหมู่บ้านหนิง แม้แต่เด็กก็มากด้วยฝีมือ”
“เฝ้านางเอาไว้ให้ดี”“เจ้าค่ะ”เสียงประติดลงไปครู่หนึ่ง ร่างบนเตียงแสร้งพลิกตัว ก่อนจะเปิดเปลือกตาเพียงเล็กน้อย เพื่อดูว่ามีใครอยู่ในห้องหรือไม่ คนพวกนี้กำลังคิดไม่ซื่ออย่างที่นางกังวลจริงๆ ขนาดต้าเว่ยยังพลาดพลั้ง แต่เอ๊ะ! เขามีฝีมือระดับนั้นจะพลาดได้อย่างไรกันหญิงสาวหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างแผ่วเบา กลิ่นนี้นางจดจำได้ เพราะมันคือยาที่นางเพิ่งใช้กับต้าเว่ย เขาเข้ามาที่นี่ได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ!“นางดื่มยาแล้วใช่ไหม”“เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะหลบหนีไปช่วยเจ้าได้”“หากข้าไม่เห็นนางเข้าเสียก่อน ก็คงแสร้งสิ้นสติไม่ทัน แต่จะเก่งกาจแค่ไหนก็สู้ยาของท่านกวงไม่ได้ เจ้าเฝ้านางให้ดี ข้าจะออกไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”“ทำไมไม่กำจัดนางเสีย!”“นางคือตัวประกัน ที่จะทำให้องค์รัชทายาทชีอันยอมสิโรราบ”“ทำไมเขาถึงจะยอมเสียงเพื่อนาง”“ชีอันแสร้งไม่ใยดีนาง ก็เพราะไม่อยากให้หยวนใช้นางต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเรารู้แล้วว่านางสำคัญ นายท่านจึงเลือกเก็บนางเอาไว้ แต่ต้องกำจัดสามีของนางทิ้งก่อน อย่าถามให้มากความ ที่ข้าบอกไปก็เกินพอแล้ว”ลมหายใจอันสม่ำเสมอของคนบ
“พระชายาไม่มีสาวใช้หรือเจ้าคะ” ยังคงเป็นหญิงสาวคนเดิมที่เอ่ยถาม“ท่านอ๋องมิได้ให้ติดตามมา”จ้าวหลันถิงสบถอยู่ภายในใจ ว่าจะสอดรู้เรื่องของนางไปทำไม นางเข้าใจนะ! ว่าสามีนั้นรูปงาม เป็นที่ต้องตาของสตรีมากมาย แต่พวกนางรักเขาจริงหรือ รึ! แค่ว่าเขาคือท่านอ๋อง ลองเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา หญิงสาวมากหน้าหลายตาเหล่านี้ คงไม่แม้แต่จะชายตามอง“ไยท่านอ๋องไม่รู้ใส่ใจพระชายาเช่นนี้นะ!”“ท่านอ๋องคิดเสมอว่าการที่ให้พระชายารออยู่ที่นี่ ย่อมจะทำให้นางปลอดภัยและสบายใจ อีกทั้งองค์รัชทายาทแห่งชีอันก็ทรงวางพระทัย ว่าพระขนิษฐาจะสำราญกับการได้ออกมาท่องเที่ยวนอกจวน”คำบอกเล่าเดียวของต้าเว่ย สยบทุกคำถามได้อย่างราบคราบ นี่กระมังที่ท่านอ๋องเบื่อหน่ายอิสตรี พวกนางไม่รู้ว่าไปสรรหาคำถามจากที่ใดมาเจรจาได้ทั้งวัน ชนิดที่เรียกว่านกแก้วยังต้องสิโรราบให้กับพวกนางการสนทนาเริ่มเป็นเรื่องโดยทั่วไป ก่อนที่จะมีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาขอแรงขององครักษ์หนุ่ม ให้ไปชั่วยกหม้อแกงในครัวออกมาที่ลานด้านหน้า“ข้าอยู่ได้”จ้าวหลันถิงบอกแก่ต้าเว่ย ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นส่งกล่องไม้ในมือให้แก่นายสาว แล้วถือกระบี่เดินตามหญิงชราไป จ้าวหลันถิงร
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทชีอัน องค์ชายเก้าพ่ะย่ะค่ะ คารวะท่านอ๋อง” “เชิญใต้เท้าตามสบาย” “ขอบพระทัย” ใต้เท้ากวงเดินขึ้นมานั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสี่ ก่อนจะเหลอบมองไปที่สตรีเพียงหนึ่งเดียว “ไม่คิดว่าพระชายาจะอยู่ด้วย” ชายสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงติดกระด้าง แม้ด้วยตำแหน่งของเขาจะน้อยกว่าหญิงสาว แต่หากนับตามอาวุโสและอำนาจในมือ เขาเหนือกว่านางในทุกด้านอยู่ดี “ข้าเพิ่งรู้ตัว ว่าการอยู่ในบ้านตนเอง ต้องรายงานคนนอกด้วย เช่นนั้นข้าต้องขออภัย ที่อาจหาญนั่งอยู่กับสามีและพี่ชายตนเองเยี่ยงนี้” หญิงสาวช้อนสายตามอง พร้อมกับที่เรียวปากอิ่มบิดขึ้นเล็กน้อย นางหรือจะไม่คุ้นชินกับสายตาและท่าทางยโสของชนรุ่นเก่า ที่คิดว่าตนเองเกิดก่อนและมากประสบการณ์ อายุในเพียงเลขห้า เพิ่งครึ่งคนเท่านั้น คนเก่งจริงจะรู้ประเมินคู่ต่อสู้ ไม่ใช่เบ่งกล้ามอันมโหฬารใส่ท่าเดียว “ใต้เท้ากวงมีสิ่งใด โปรดว่ามาเถิด” สวี่ฟงเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงคงเดิม ทว่าแววตานั้นหาได้เป็นเช่นดวงตาที่ส่งผ่านออกมาไม่ “เอ่อ...” ใต
“ข้าพลาดสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าบ้างนะ จ้าวหลันถิง” ร่างกำยำลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง เรือนร่างไร้อาภรณ์หากสตรีใดได้ยล คงยากจะถอนสายตาออกจากความสมบูรณ์แบบนั้นได้ ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้มันมีผู้ครอบครองแล้ว และเจ้าของดุราวนางเสือ สวี่ฟงก้มลงเก็บชุดของภรรยา เดินหายไปยังห้องอาบน้ำ เขาไม่ต้องการให้ใครได้แตะต้องมัน ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ในเมื่อนางเป็นของเขาแล้ว ยามบ่ายอ๋องหนุ่มพร้อมแขกทั้งสอง กำลังนั่งจิบชากันที่ศาลาชมบัว ซึ่งพวกเขายังมีเวลาอีกครึ่งเดือน สำหรับออกเดินทางสู่เมืองหลวง ส่วนเรือนของจ้าวหลันถิงนั้น อ๋องหนุ่มได้สั่งการให้เรียกช่างมาปรับปรุงต่อเติม ให้กว้างขวางกว่าเดิมอีกเท่าตัว“ข้าอยากให้เจ้าพาน้องหญิงไปด้วย อย่างไรเสียนางก็เป็นสายเลือดชีอัน ตั้งแต่นางแต่งมาที่หยวน ก็ยังไม่เคยเข้าเฝ้าเลยมิใช่รึ! ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวหลังแต่งงานของพวกเจ้าด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”สองสหายหันสบตากัน ก่อนจะหันกลับมาจ้องเจ้าของบ้าน ว่าพวกเขาหูไม่ได้เพี้ยนไป คนเยี่ยงสวี่ฟงน่ะหรือ! ที่จะยินยอมให้สตรีติดตามเดินทางไกล แค่เข้าใกล้ยังไม่