“กานหายไป...” บุตราพึมพำ หล่อนกวาดตามองหาเพื่อนเสียทั่ว หลังจากลงทุนไปควานหาในห้องน้ำหญิงทุกแห่งในนี้ แต่ไม่มีแม้เงาของกานพลู หล่อนหายเงียบไปเลย “หายไปไหนนะ” ผู้คนก็มากมายจนบุตราไม่แน่ใจว่าจะตามหาตัวกานพลูพบได้ง่ายๆ หรือไม่ “ดูซิ จนเข้าไปจะตีสองแล้ว”
หล่อนมองดูเวลาแล้วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ก่อนไปห้องน้ำ กานพลูแก่ดีกรีไปแล้วไม่ใช่น้อยๆ เลย
“เพื่อนคุณโตแล้วนะ บุต...”
“โตแต่ตัวกับอายุหรอก เขาเคยมาแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน...แล้วก็เมาแอ๋ไปแล้ว”
หล่อนหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ ของกานพลูมาถือเอาไว้ เปิดดูในนั้นก็พบว่าอยู่ครบ นอกเสียจากกระเป๋าใส่เศษเงินใบเล็กๆ ที่กานพลูนิยมติดตัวไว้ในกระโปรง รองเท้าส้นสูงที่ใส่มาทำงานก็ยังอยู่ในรถ ที่ติดไปกับกานพลูก็คือรองเท้าแตะสานเตี้ยๆ ที่บุตราเอาใส่ไว้ในรถเท่านั้น แล้วกานพลูหายไปแห่งหนใดกันในสถานที่นี้
“ถ้าพลัดหลงกับเรา บุตว่ากานพลูต้องแย่แน่ๆ จะกลับบ้านได้ยังไง”
ประภัทรแทบจะสำลักเหล้าทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น
“เพื่อนคุณน่ะโตแล้วนะ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกก็อายเด็กสิบสี่สิบห้ามันแย่เลย”
“คุณไม่รู้อะไร เอาละ...บุตจะลองลุกเดินๆ หากานเขาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ...ก็เห็นจะต้องรอที่นี่เลิกแล้วเดินดูว่าไปแอบซ่อนอยู่ตรงไหน”
“ขออย่างเดียวนะ บุต” แฟนหนุ่มของหล่อนทำท่าขรึมๆ เมื่อบุตรามองหน้าเขาเขม็ง “อย่าให้เพื่อนของคุณถูกผู้ชายหิ้วติดมือออกไปจากที่นี่เสียก่อนที่คุณจะตามหาตัวพบ”
บุตราเองก็สะท้านเยือกกับคำเตือนนั้น เพราะเป็นสิ่งที่หล่อนกำลังกลัวอยู่ แต่หล่อนไม่ได้พูดออกมาดังๆ เท่านั้นเอง
“ปายหนาย”
กานพลูถามด้วยเสียงเหมือนคนลิ้นไก่สั้นเอามากๆ เมื่อพินิจนัยหิ้วหล่อนติดมือขึ้นจากเก้าอี้ “กลับบ้านเหรอ...”
“ฮื่อ”
“ยังม่ายกลับ...อาวเหล้ามาอีก”
“ต้องกลับ”
เขาเอาหล่อนออกมาจนได้ มิไยที่กานพลูจะร่ำร้องมากมาย แต่ในสถานที่แบบนี้ต่อให้ลงไปดิ้นพราดๆ กลิ้งเกลือกก็จะไม่มีใครใส่ใจกระมัง พินิจนัยจับหล่อนยัดใส่เข้าไปทางตอนท้ายของรถ ด้านหน้านั้นแม่สาววัยรุ่นอีกสองที่ภูษิตได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย กระโดดเข้าไปขย่มเบาะเปิดวิทยุกันอยู่ลั่นๆ แล้ว
“ส่งฉันก่อนแล้วกันนะ” เขาตามเข้ามานั่ง
กานพลูนั้นเหมือนลานในตัวได้หมุนไปจนสุดขั้วแล้วอยู่ๆ ก็ขาดเอากลางคันเพราะพอรถแล่นออกไปได้ไม่นานหล่อนก็โงนเงนไปมาแล้วก็เอนอิงพิงไหล่เขาซุกตัวเหมือนหาที่ปลอดภัยให้พอหลับตาลงได้
“คืนนี้คงจะนอนหลับสบาย!...อีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้วล่ะ...ไปถึงก็จับเอาน้ำราดหัวรดตัวพอให้รู้ตัว แล้วก็กินซะก่อน อย่าเพิ่งปล่อยกลับ...”
“ฉันอยากรู้ว่ามาจากไหน” เขามองคนในอ้อมแขนได้แต่กลิ่นเหล้าไม่มีกลิ่นหอมใดๆ ที่จะทำให้อารมณ์ได้เกิดกำซาบซ่านสักน้อย “แล้วถ้าถึงตอนรู้ตัว เกิดไม่ยอมไปจากฉัน จะทำยังไงดี”
“เตะส่งมาให้ฉันแล้วกัน...จะจัดการจำหน่าย จ่ายแจกเอง” ภูษิตตอบอย่างครึ้มๆ “เอ็งมันยังอ่อนหัดนัก ไม่รู้จักวิธีจับไก่แถมยังไม่รู้จักวิธีทำให้ไก่ไปพ้นๆ ตัว” เสียงเขาหัวเราะครื้นเครง มีอีกสองเสียงกับเสียงวิทยุช่วยกันประสาน
“แล้วเอ็งจะกลับเข้าบ้านได้ยังไงกัน แม่เอ็งได้เอาตาย หิ้วผู้หญิงกลับไปอีกตั้งสอง”
“ข้าจะแวะนอนที่เรือนหลังเล็ก...แม่ไม่มีวันรู้ ป่านนี้น่ะเร้อ...หลับอุตุเห็นเลขเด็ดไปถึงไหนๆ แล้ว”
รถจอดลงหน้าโรงแรมชั้นสองที่พินิจนัยแวะมาพักเป็นประจำเมื่อเขาเข้ากรุงเทพฯ เขาพากานพลูลงมาด้วย หล่อนไม่พูดไม่จาสักคำ สุดแต่ว่าเขาจะพาหล่อนไปไหนก็ไปด้วย
“ถูกหรือผิดกันแน่วะ”
เขาถามตัวเอง ที่ไม่เคยทำออกนอกลู่นอกทางแบบนี้กระมังที่คอยเตือนเขาว่าเขาทำไม่ถูก แต่อีกใจหนึ่งที่มีความฮึกเหิมคึกคะนองแบบสัตว์เพศผู้ก็เตือนให้ใจแล่นโลดอยากจะฉีกเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างบอบบางของหล่อนออก แล้วฉีกเนื้อหล่อนออกขบเคี้ยวว่าจะหวานฉ่ำกินแล้วติดใจได้แค่ไหน
พอปล่อยหล่อนบนเตียง กานพลูก็เหมือนถุงแป้งเหี่ยวๆ ที่โอนพับลงไป ทอดแขนทอดขาแผ่เหยียดยาว ชายกระโปรงร่นถกขึ้นไปเห็นขาอ่อนขาวๆ ที่ทำให้พินิจนัยกลืนน้ำลายดังเอื๊อก มองเมินไปทางอื่นเหมือนจะตั้งสติอยู่เหมือนกัน
ถอดเสื้อออกไปจากตัวแล้ว กางเกงขายาวก็เกะกะอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มมีเพียงกางเกงในตัวเดียวที่ติดตัวอยู่เขานั่งลงข้าง ๆ ร่างที่ระทดระทวยไม่มีสติสตังสักน้อยนั่น
มือลูบไปที่ขาอ่อนขาวๆ นั้นด้วยความลืมตัว เขาเองก็ยังตัดกิเลสไม่ขาด เห็นเนื้อหนังขาวๆ มาโชว์ล่อ มันก็วับๆ หวำๆ กระเจิดกระเจิงไปไกลสุดกู่อยู่เหมือนกัน
เอาเสื้อหล่อนออกจากกระโปรง ถอดเสื้อตัวนอกออกเห็นบราสีเนื้อตัวน้อยปิดทรวงอกขนาดเล็กๆ เป็นกระเปาะเล็กๆ ราวกับนมของสาวน้อยที่เพิ่งตั้งเต้า เหมือนดอกไม้...พินิจนัยบอกกับตัวเอง ดอกไม้ตูมๆ ที่เพิ่งจะแย้มผลิออกมา แล้วสิ่งที่สะดุดตาก็คือ ไฝแดงเม็ดใหญ่พอสมควรตรงเนินเนื้อของทรวงอกด้านขวา...
เขาโน้มตัวโน้มใบหน้าลงไปเคลียคลอ กลิ่นเนื้อสาวชุ่มฉ่ำใจดีไม่หยอก
รู้สึกถึงความสะท้านไหวของหล่อน เหมือนจะเริ่มรู้ตัว แต่เขาก็หยุดตัวเองเกือบไม่ได้ แม้หล่อนจะดิ้นรนผลักไส ยันมือไว้ที่หัวของเขาผลักออกพร้อมกับกรีดเสียงร้องโหยหวน เหมือนเสียงอะไรนะ...พินิจนัยถามกับตัวเองเมื่อขันตัวออกมาห่างๆ เพราะแก้วหูเสียดร้าว หล่อนลุกขึ้นมาเบิกตาโพลงมองดูเขา เหมือนเขาเป็นสัตว์ประหลาดจากต่างดาวกระนั้นแหละ อ้อ...เขานึกออกแล้ว หล่อนร้องเหมือนสัตว์ที่กำลังจะถูกหามเข้าไปฆ่า เสียงของหล่อนเข้าไปสั่นประสาทของเขาให้คลอนไหว แล้วเขาก็ยกมือทั้งสองขึ้น
“เอาละ อีหนู หุบปากซะ”
เขาโยนเสื้อไปให้ แต่กานพลูก็เมาจนใส่ผิดใส่ถูก หล่อนทำทุกอย่างด้วยสัญชาตญาณปกป้องตัวเองซะมากกว่า
“ฉันจะไม่แตะต้องหนูอีก เงียบซะ เงียบซะ...เออนั่น...ยังง้าน...”
เขาลุกจากเตียง หนักหัวเพราะเหล้าจนต้องวิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำเอาน้ำรดหัวตัวให้ไอ้ที่เดือดๆ ในอกในกายให้มันดับไปจนได้ นึกถึงภูษิตแวบหนึ่ง เพื่อนของเขาคงหัวเราะเขาจนกลิ้งเมื่อรู้ว่า เขาไม่มีน้ำยาเอาแบบนี้
หัวเราะเป็นหัวเราะซิวะ ชายหนุ่มพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ชะโงกหน้าไปมองแม่สาวที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงครอบครองเตียงไปแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นหล่อนหลับไม่รู้เรื่อง ฮึ...นี่หากเขาโดดใส่หล่อนยามนี้หล่อนจะต้านทานอะไรเขาไหว
แต่มันเหือดหายไปแล้ว ไอ้ที่วูบวาบอยู่ตะกี้ โดนน้ำดับเสียเหี้ยนไม่มีไฟคุอยู่อีกเลย
หยิบหมอนอีกใบออกมา แล้ววางลงริมเตียงด้านหนึ่งจับแขนขาของเจ้าหล่อนให้ถดถอยรัศมีความกว้างออก แล้วก็สอดตัวเองลงในผ้าห่ม ลืมเสียสนิทว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเป็นคนแปลกหน้า เพราะพินิจนัยเพียงแต่โยนผ้าขนหนูที่พันกายอยู่ออกไปบนพื้นกลางห้อง
เอื้อมมือไปดับไฟที่โต๊ะตรงหัวเตียงแล้วห้องทั้งห้องก็มืดมิด ไม่ถึงห้านาที เขาก็หลับสนิท มีเสียงกรนเบาๆ แข่งกับเสียงเดินของเครื่องแอร์ เป็นการหลับที่เขาไม่ต้องกระสับกระส่ายตัวเองก่อนหน้านั้นและหลับลึกสนิทนาน จนกระทั่งรุ่งเช้าที่เป็นการรับวันใหม่ แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของเขา ด้วยเสียงกรีดร้องยาวนาน แหลมลั่นเข้าไปเสียดร้าวในโสดประสาท
ไก่ที่เขาหิ้วติดมือกลับมานั่นเอง หล่อนลุกมานั่ง ตาเบิกโพลงมองดูเขา ปากอ้ากว้างส่งเสียงแสบแก้วหูอยู่นั่น
“เฮ้ย...ไก่ต้องขันเอ้กอี้เอ๊กเอ๊กซิ มาร้องยังกะหมาโดนน้ำร้อนได้ยังไงกัน อีหนู”
“น้าสุ…” พินิจนัยทักอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นน้าสาว แล้วพอพิจารณาสีหน้าของเธอถนัด เขาก็แอบถอนใจเบาๆ พอไม่ให้ได้ยิน “มาหาผมแต่หัววันเชียว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากแปลงเพาะชำของตัวเอง ปัดมือที่เปื้อนคราบดินกับผ้าผืนใหญ่ที่ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเดิมเป็นสีขาวหรือไม่จากเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ส่งมาให้ “เชิญน้าสุบนบ้านดีกว่า ตรงนี้มันสกปรก”“น้าเพิ่งมาจากบ้านของพ่อเธอ”เพียงอ้าปาก พินิจนัยก็เดาได้ปรุโปร่ง แต่ชายหนุ่มก็ถามเรื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายด้วยประการทั้งปวง“พ่อคงกำลังเบิกบานซินะครับ เข้าหอมาเจ็ดวันแล้ว…เมียสาววัยเอ๊าะ…ให้กกกอด”“นี่เธอไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” เขาแกล้งถามส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง “พ่อจะได้เตะผมตาย…ถ้าสาระแนเข้าไปวุ่นวายกับเขา”“เธอน่าจะไปกันท่าเอาไว้มั่ง น้าละไม่ชอบเล้ย ที่ถึงกับมาจดทะเบียนกันด้วย แม่คนนั้นน่ะทำหน้าซื่อ แต่น้าก็รู้ทันว่ามันหวังสมบัติ ก็ยังสาวแส้ปูนนั้น มันจะอยากมีผัวแก่คราวพ่อเชียวรื้อ…ป้ามันต้องส่งมาฮุบสมบัติที่จริงหน้าตามันก็ยังงั้นๆ คุณพี่ถูกเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า”คราวนี้พินิจนัยหัวเราะก๊ากใหญ่“น้าสุก้อ ใครจะเชื่อ นี่มันพอศอสองพันห้าร
คุณจินดาก้าวเข้ามาในห้อง แล้วสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือกานพลูคุดคู้หลบอยู่มุมหนึ่งของเตียง มีผ้าห่มพันกายเอาไว้แน่นหนา เมื่อเธอแตะมือลงบนเนื้อตัวของหล่อน กานพลูก็สะดุ้งโหยง กรีดเสียงออกมาอีกทั้งที่ยังหลับตาแน่น“คุณกาน...” เธอเรียกให้เสียง “ลืมตาก่อนเถอะค่ะ ไม่มีอันตรายแล้ว”แต่ในอกของเธอกำลังหนักใจแทน นี่กานพลูเกิดเป็นอะไรขึ้นมากันหนอ“คุณกาน ไม่ค่ะ...ไม่ต้องกลัว”ด้วยความเวทนาต่อสภาพของหญิงสาววัยคราวลูก ทำให้เธอกอดหล่อนเอาไว้แน่ แล้วปลอบโยนไปตามเพลง“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณร้องเสียลั่นไปหมดทั้งบ้าน ท่านเองก็ยังกลัวนี่ไปตั้งหลักที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”“กาน...กาน...” น้ำตาไหลพราก หล่อนยึดคุณจินดาเอาไว้แน่นแล้วสะอึกสะอื้นบอกต่อ “กานกลัว...กลัวผู้ชาย กานไม่อยากนอนกับผู้ชาย”…แล้วมันจะลงเอยกันแบบไหนนะนี่…เธอรำพึงอยู่ในใจ“ท่านเป็นสามีคุณแล้วนะคะ ถูกต้องตามกฎหมาย…” เธอปลอบประโลมเท่าที่จะทำได้ “แล้วถ้าคุณยังบ่ายเบี่ยง คุณแน่ใจไหมคะว่าไม่มีปัญหา”กานพลูมองหน้าเธอเขม็ง แววตางุนงงสงสัย“ไอ้เรื่องปัญหาของคุณกานน่ะค่ะ ตรงนี้…” เธอชี้ที่ท้องของหญิงสาว ลดเสียงให้เบาลง “ถ้าเกิดมันป่องขึ้นมาแล้วคุณยังไม่เคยนอ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
“คราวนี้เกิดอะไรขึ้นคะ ทุกทีไม่เคยเห็นคุณนิจจะขัดขวาง เวลาท่านจะมีเมียสักคน”“เพราะผมรู้ว่าแค่ของเล่นมังครับ นี่เกิดจะเอาจริงขึ้นมา อายุก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้ว บอกจริงๆ นะครับ ตัวผู้หญิงน่ะยังพอจะวางใจได้ว่าซื่อๆ แต่ป้าของเขานั่นตะหาก ผมว่าท่าแกจะเค็มไม่เบา พาหลานสาวมาทำแบบนี้ก็นับว่าร้ายนะครับ...ไม่ใช่หวังดีหรอก”“เด็กไม่มีทางเลือกค่ะ” คุณจินดาบอก “แล้วก็กำลังมีปัญหามาด้วยซิ...”ชายหนุ่มหวนคิดถึงคืนนั้นที่เขาพากานพลูออกมาจากเธค แล้วไปที่โรงแรม แต่เขาก็ไม่ได้แตะต้องล่วงเกินหล่อนเลย เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้นว่า ก่อนหน้าคืนนั้นหล่อนเคยผ่านผู้ชายคนใดมาบ้าง...แล้วที่ป้าของหล่อนกลัวหล่อนจะท้องนั้น มันมีมูลความจริงเพียงใดกัน“คุณนิจรับปากดิฉันก่อนแล้วกันว่า จะไม่ไปหาเรื่องเธอ”ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่คุณจินดาเตรียมกางกั้นหล่อนเอาไว้แล้วหรือครับ”“ถ้าคุณกานจะต้องแต่งกับท่าน อยู่ที่นี่กับท่าน ดิฉันคิดว่าเธอควรจะมีใครสักคนเป็นพี่เลี้ยง แล้วการเป็นคุณนายบ้านนี้ เธอก็ควรอยู่บนลำแข้งตัวเอง ไม่ใช่เป็นหุ่นเชิดของคุณป้าเธอเอง...ไม่อย่างนั้นคุณเพ็ญแกคงจะสูบเลือดเอาไปจนหมดนั่นแหละ อย่างที่คุณนิ
“กานไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลย”หล่อนบอกซ้ำๆ ซากๆ แต่ดวงหน้าขาวเผือดนั่นก็ทำให้นายบดินทร์ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้“แค่ตกใจเท่านั้นเองค่ะ เดี๋ยวก็คงจะหาย กานซุ่มซ่ามไปมากกว่า”กานพลูออกตัว และนั่นเป็นสิ่งที่คุณนายจันทร์เพ็ญเห็นด้วยอย่างมาก นางกล่าวเสริมว่า“แม่คนนี้น่ะ ได้แผลเพราะความซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะนี่ก็คงจะเพราะอยากลงไปเดินเล่น จนได้ดี มันยังมืดอยู่เลย...ทีหลังก็รอให้ฟ้าสว่างก่อนนะจ๊ะ แล้วเวลาเดินก็ดู ๆ ซะมั่ง เดี๋ยวดิฉันทายาเอง” นางบอกกับเขาให้คลายความห่วงใยลงไป พอเขาเดินไปจากห้องแล้ว นางก็เอ็ดหลานสาวทันที “ทีหลังระวังหน่อยนะ แกไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วจะได้ซุ่มซ่ามได้น่าเอ็นดูตลอด เขาจะเอือมระอาเอาได้ เพราะเขาจะให้แกเป็นเมีย ไม่ใช่เอามาเลี้ยงเป็นลูก”นั่นทำให้กานพลูไม่กล้าปริปากบอกนางเกี่ยวกับเรื่องพินิจนัยหล่อนนึกหวาดๆ ความหวาดนั่นทำให้หล่อนไม่อยากปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารมื้อเช้า ซึ่งผึ้งบอกด้วยหน้าตาระรื่นว่า“คุณนิจจะมาทานข้าวเช้าด้วย เธอไม่ได้มานานแล้วนะคะ...ใครๆก็คิดถึงเธอ ยายแม่ครัวงี้ดีใจนักหนาที่จะได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอทาน”หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งห้อย