โจ๊กอั้นเซียงกลิ่นหอมกรุ่นถูกยกเข้ามาวางข้างหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย
“คุณหนูอาการเพิ่งดีขึ้น ทานโจ๊กสักหน่อยนะเจ้าคะ”
โปหรานตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นเป่าเพื่อไล่ไอระอุที่พวยพุ่งขึ้นกลางอากาศจนเป็นควันสีขาวกระทั่งค่อย ๆ จางลง
“อาหราน ไม่เป็นไร ข้ากินเองได้”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวช่วยนะเจ้าคะ” โปหรานวางช้อนกระเบื้องเคลือบลงในถ้วยดังเดิม จากนั้นเข้ามาช่วยประคองไป๋เฉินเซียงให้ขยับกายได้สะดวก ต่อมาก็คว้าถ้วยโจ๊กส่งให้ไป๋เฉินเซียง
“ขอบใจนะ”
มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมา ไป๋เฉินเซียงคนอาหารเหลวในถ้วยเล็กน้อยเพื่อให้โจ๊กคลายความร้อนสักพัก ระหว่างนี้จิตใจก็ล่องลอยกระทั่งนึกถึงความเป็นอยู่ของตนเมื่อชาติก่อน
โจ๊กอั้นเซียงนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศรสชาติไม่เลว ทว่าในยามนั้นที่นางเป็นอนุท้ายจวนหวังเหว่ย [1] ไป๋เฉินเซียงได้กินเพียงโจ๊กต้มเกลือกับผักลวกแสนจืดชืด ทั้งยังถูกฮูหยินใหญ่โขกสับประหนึ่งวัวม้าก็ไม่ปาน
กระทั่งวันหนึ่งฝนตกลมแรง ไป๋เฉินเซียงก็ยังถูกกดหัวใช้ให้ไปหาบน้ำเพื่อนำมาต้มให้ฮูหยินใหญ่ได้อาบ วันต่อมาไป๋เฉินเซียงก็เกิดล้มป่วย อาหารที่นางได้รับเพื่อใช้ประทังความหิวในยามนั้นก็คือ โจ๊กเปล่าอันแสนจืดจางหนึ่งถ้วยกับน้ำไม่กี่อึก
“คุณหนู”
“…”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“…”
“คุณหนู”
ไป๋เฉินเซียงหลุดจากภวังค์ “ว่าอย่างไร”
โปหรานมองไปยังมือของไป๋เฉินเซียงที่ยังคงคนโจ๊กจนควันที่มีเริ่มจางลง ไป๋เฉินเซียงมองตามก็คลี่ยิ้มบาง “ข้าไม่ค่อยหิวเท่าใด”
อีกด้าน ณ โถงรับรองจวนสกุลไป๋
บุรุษร่างท้วมสวมอาภรณ์ตัวยาวลายต้นไผ่เขียวขจีเดินวนไปมาที่ด้านในโถงกว้าง สีหน้าคร่ำเคร่ง พลางยกมือลูบหนวดเครานับร้อยรอบ ดวงตากลอกไปมาจนไม่รู้จะไปวางความอึดอัดไว้ที่ใด
“ท่านพี่ เดินวนไปเวียนมาเช่นนี้จะช่วยอะไรเจ้าคะ นางก็แค่ความจำเสื่อม แต่ง ๆ ไปก็จบ ไม่เห็นมีสิ่งใดยากเลย”
ฮูหยินใหญ่นามว่าหยางปิ่งอี้เอ่ยพลางหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ ส่วนบุตรสาวที่นั่งขนาบข้างก็พยักหน้าหงึกหงักรอสำทับอยู่ไม่ห่าง
“เจ้าจะเข้าใจสิ่งใด เมื่อครู่ข้าเห็นแววตาแข็งกร้าวดื้อดึงของนาง เซียงเซียงดูเปลี่ยนไปมาก ไม่คิดเลยว่าตกน้ำพริบตาเดียวก็ท่าทางเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน”
ไป๋อีถิงโพล่ง “นางอาจจะแสร้งผีเข้าก็ได้นะเจ้าคะ”
หยางปิ่งอี้ฉีกยิ้มเผล่ไม่ทุกข์ร้อน “ท่านบอกว่านางไม่ยินดีแต่งเป็นอนุท่านแม่ทัพชิงหลง ทว่าหากนางความจำเสื่อม ท่านพี่ก็ลองเกลี้ยกล่อมนางอีกสักครั้ง บางทีหนนี้อาจจะง่ายดายราวพลิกฝ่ามือก็ได้”
ไป๋จื่อเหิงยังคงหนักใจ ริมฝีปากเม้ม ๆ คลาย ๆ อยู่เช่นนั้น
“ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะส่งข้าไปแทนนางกระมัง ต่อให้เป็นแม่ทัพชิงหลงผู้เก่งกาจ แต่ข้าก็ไม่อยากเป็นอนุใคร อีกอย่างผู้คนล้วนโจษจันว่าฮูหยินเอกของเขาจูจวิ้นอี๋อะไรนั่นเหี้ยมโหดร้ายกาจ ข้าไม่มีทางยอมแต่งไปที่นรกขุมนั้นเป็นอันขาด” ไป๋อีถิงยืนกรานเสียงแข็ง
หยางปิ่งอี้ยกมือปิดปากบุตรสาวด้วยความร้อนใจ นางหันรีหันขวางด้วยความหวาดระแวง “พูดอะไรของเจ้า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง สกุลหลานและสกุลจูใช่เจ้าจะกล่าวล่วงเกินได้”
แต่เดิมการแต่งอนุหนนี้ควรเป็นไป๋อีถิง ทว่านางคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากฮูหยินใหญ่นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะยินยอมลดตัวไปเป็นอนุของใคร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหยางปิ่งอี้จะเห็นด้วยหรือไม่ นางย่อมไม่ยินดีอยู่แล้วหากลูกที่ตนดูแลทะนุถนอมดุจไข่ในหินต้องตกเป็นสองรองจากผู้อื่น ช่างดูต่ำต้อยด้อยค่ายิ่ง
หนำซ้ำแม่ทัพชิงหลงผู้นี้แม้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยโดยตรง ทว่าหยางปิ่งอี้ย่อมรู้ว่าเขามีอุปนิสัยเช่นไร อนุล้นเรือนเพียงนั้นคงหลีกไม่พ้นเสเพลลุ่มหลงในอิสตรี เบื่อแล้วก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี หากลูกสาวของนางแต่งเข้าไปเป็นอนุของเขาก็รังแต่จะเป็นที่รองมือรองเท้าให้ภรรยาเอก จูฮูหยินผู้นี้ร้ายกาจยิ่งกว่าโผล่มาจากนรก
เช่นนั้นผู้ที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของอนุแสนต้อยต่ำเช่นไป๋เฉินเซียงก็ควรต้องเป็นฝ่ายแบกรับเรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว
“หากท่านแม่ทัพรู้ว่าเราส่งเซียงเซียงไปทั้งที่ยังป่วย ระวังศีรษะของสกุลไป๋จะไร้ที่วาง” เพียงนึกถึงกระบี่ระดับพระกาฬของแม่ทัพชิงหลง ไป๋จื่อเหิงก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ ขนอ่อนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
“ท่านพี่ แม่ทัพชิงหลงน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ จากที่ข้าได้ยิน แม่ทัพไร้พ่ายแท้จริงน่าจะเป็นน้องชายของเขากระมัง”
“เจ้าหุบปาก!” ไป๋จื่อเหิงตะคอกเสียงดัง
สองแม่ลูกสะดุ้งโหยงโผกอดกันกลม
แน่นอนว่าหยางปิ่งอี้กล่าวถูกต้อง เดิมทีแม่ทัพผู้น่าเกรงขามหาใช่แม่ทัพชิงหลงที่คว้าชัยชนะมาเพียงไม่กี่สมรภูมิ ทว่าผู้ที่น่ากลัวดั่งมัจจุราชถือกำเนิดแท้ที่จริงก็คือ แม่ทัพไป๋หู่ [2] น้องชายของเขา นามว่า หลานอี้ซิน
เชิงอรรถ
^ 王伟 หวังเหว่ย ยอดเยี่ยม ดีเลิศ หรือยิ่งใหญ่
^ ไป๋หู่ เสือขาว 白虎 พยัคฆ์ขาวเป็นเทพแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง
หนึ่งสัปดาห์ผันผ่าน สตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา คาดผ้าแพรปิดใบหน้าครึ่งล่างเยื้องย่างเข้ามาหยุดยืนบริเวณประตูหน้าจวนสกุลวูซึ่งมีหมอทั้งชายและหญิงเดินกระทบไหล่เข้าออกไม่ขาดสายเสียงใสเอ่ย “ข้าหมอหญิงจากต่างถิ่น ได้ยินว่าคุณหนูวูเกิดป่วยด้วยโรคประหลาด จึงเดินทางมาเพื่อทำการรักษานางเจ้าค่ะ”บ่าวชายที่เฝ้าหน้าประตูกวาดตามองเรือนร่างสตรีผู้มาเยือนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าแน่ใจรึว่าเป็นหมอ”หญิงสาวยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา แม้เผยรูปโฉมเพียงครึ่งบนของใบหน้าทว่านัยน์ตาสว่างใสของนางก็ทำเอาบุรุษใจสั่นระทวย หญิงสาวกล่าวต่อ “พี่ชาย ข้าเป็นหมอเจ้าค่ะ หากไม่เชื่อท่านอยากให้ข้าช่วยจับชีพจรหรือไม่” เปลือกตาบางหลุบต่ำลงกว่าสะดืออีกฝ่ายเป็นเชิงเย้าแหย่บ่าวนายนั้นมองแววตากระจ่างใสดั่งน้ำค้างด้วยความเลื่อนลอย ความคิดสกปรกผุดขึ้นเต็มศีรษะ ครั้นสังเกตเห็นสายตาของนางที่ลดมองต่ำ บ่าวรับใช้นายนั้นก็ถึงขั้นตัวงอ ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ตอบกลับด้วยท่าทีเสียอาการ “ชะ...เช่นนั้นท่านหมอรอสักครู่”ชายหนุ่มผละห่างไปพร้อมเหงื่อเย็นที่หลั่งเต็มหน้าผาก เสียงใส
“ตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหน้าโถงกราบไหว้ ไป๋เฉินเซียงเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปใกล้ เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม นางประสานมือค้อมศีรษะเพื่อเคารพอีกฝ่าย“ท่านอาจารย์”นักพรตชราติงรุ่ยฉีเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า เขาสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของไป๋เฉินเซียง จึงเอ่ยถามเพื่อคลายข้อสงสัย“เจ้ามีเรื่องลำบากใจใด”ไป๋เฉินเซียงลังเลพักใหญ่ ไม่นานก็ตัดสินใจเปิดปาก “ท่านอาจารย์ ข้าอยากลงเขาเจ้าค่ะ”“หืม”ไป๋เฉินเซียงรวบรวมความกล้า ไม่ทันอธิบายหว่านล้อม ผู้เป็นอาจารย์ก็โพล่งตัดบทความในใจขึ้นเสียก่อน “เจ้าแน่ใจหรือ”ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาฉงน เดิมทีนางคิดว่าอาจถูกอาจารย์ซักไซ้ไล่เลียงมากกว่านี้ “ท่านอาจารย์ไม่ถามหรือเจ้าคะ ว่าเหตุใดข้าจึงอยากลงเขา”นักพรตชราหัวเราะขัน “เซียงเอ๋อร์ ทุกชีวิตย่อมมีเส้นทางของตนเอง เจ้ายังจำที่ข้าเคยบอกไว้ได้หรือไม่”ไป๋เฉินเซียงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง “ที่ข้าได้กราบท่านเป็นอาจารย์หาใช่ความบังเอิญ”“ไม่ผิด”คิ้วสวยขมวดแน่น อาจารย์ของนางมักเล่นถ้อยคำให้นางคิดเองอยู่เสมอ“ล
หลานอี้ซินส่ายศีรษะ มือยังถือม้วนภาพกำไว้จนแน่น ภายในใจยามนี้ดุจดั่งมีเส้นด้ายล่องหนมัดตัวเขาไว้ พริบตาหลานอี้ซินก็สะบัดกายขึ้นรถม้าไม่พูดไม่จา ทิ้งให้หลีซงยืนอ้าปากหวองุนงงจวบจนรถม้าเคลื่อนออกไปเว่ยเสี่ยวเฉินย้ายสายตาจากสหายกลับมายังองครักษ์ร่างสูงที่ยังยืนเป็นเบื้อใบ้เว่ยเสี่ยวเฉินเรียกสติ “หลีซง หากเจ้าไม่ไปยามนี้ เกรงว่าคงได้เดินกลับเองแล้วกระมัง”หลีซงหลุดจากภวังค์ “อ้อ...เช่นนั้นลาก่อนคุณชาย”ต่างฝ่ายต่างค้อมตัวเป็นมารยาทแก่กันเล็กน้อย“แล้วพบกันใหม่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าฝากฝังนายของเจ้าด้วยเล่า”“ขอรับ”เว่ยเสี่ยวเฉินมองตามแผ่นหลังหลีซงพลางแย้มยิ้มสว่างเจิดจ้าดั่งดวงตะวันทอแสง พริบตาร่างสูงก็หมุนกายกลับเข้าไปในจวนรถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางเรียบเรื่อย จากเมื่อคืนที่มีการจัดงานครึกครื้นก็เงียบลงถนัดตา เหลือเพียงบางร้านที่ยังเก็บข้าวของไม่เรียบร้อยหลีซงกระโจนขึ้นรถม้า “ท่านแม่ทัพ”“เข้ามาเถิด”หลีซงแหวกม่านประตูสีเข้มที่ปักลายพยัคฆ์ด้วยเส้นด้ายไหมทองคำออก ขาสูงเยื้องย่างเข้าไปด้านในก่อนหย่อนกายลงฝั่งตรงข้
กว่าจะกลับถึงที่หมายก็เล่นเอาหอบ ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองม่านเมฆาพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยมหรือ”ไป๋เฉินเซียงตกใจหน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง หากข้าหัวใจวายตายจะทำเช่นไร”นักพรตน้อยเกาจวิ้นถือโคมไฟส่องแสงสว่างอยู่ในมือ ริมฝีปากยกยิ้มบาง “ขออภัย ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับตอนฟ้าสางเสียอีก นี่ใกล้ถึงต้นยามเหม่า [1] แล้ว ข้าและท่านอาจารย์จึงออกมาเข้าฌานแต่เช้าตรู่”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง ต่อมาก็อ้าปากหาวหวอดใหญ่ “ข้าเที่ยวเล่นเพลินไปหน่อย เห็นว่าไม่กี่ชั่วยามก็คงเช้า เลยไม่พักโรงเตี๊ยมให้สิ้นเปลืองเจ้าค่ะ”นักพรตน้อยเกาจวิ้นตาโต “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงแกร่ง แต่การขึ้นเขาลำพังก็อันตรายมาก เงินไม่กี่ตำลึงไยถึงตระหนี่เพียงนี้ นั่นคุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงหรือ”“ศิษย์พี่ ท่านเอะอะอันใด อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะเจ้าคะ ตลอดเส้นทางนั้นราบรื่นมาก ไม่มีอันตรายใดกล้ำกรายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม” ไป๋เฉินเซียงยกปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี
ในคืนเทศกาลโคมไฟเว่ยเสี่ยวเฉินไม่ได้พูดเปล่า เขาออกตามหาไป๋เฉินเซียงจริง ทว่าแทบพลิกแผ่นดินหา เขาก็ยังหานางไม่พบ กระทั่งถอดใจเดินคอตกกลับเรือนอย่างจำนน“เจ้ากับนางคงไร้วาสนาต่อกัน” หลานอี้ซินเอ่ยเสียงเรียบเว่ยเสี่ยวเฉินกระเง้ากระงอด “เจ้าเงียบปากไปเลย คนเช่นเจ้าเชื่อเรื่องบุญวาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้ากับนางมีวาสนาร่วมกันแน่ ข้าเชื่อว่าจะต้องได้พบนางอีก”บุรุษร่างสูงกระแทกกายนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ขัดฝั่งตรงข้าม เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นยามโฉ่ว [1] เว่ยเสี่ยวเฉินเหลือบซ้ายแลขวา “เอ๊ะ หลีซงเล่า เขาไม่ได้เข้ามาด้วยหรือ”หลานอี้ซินยกชาขึ้นจิบ “ไปแล้ว”“หา…ไปไหน องครักษ์เจ้าคงไม่ได้ไปหาสาวงามกระมัง หากบอกว่ากลับจวนสกุลหลานเขาคงไม่ทิ้งเจ้าไว้ลำพังแน่”“ทำไม เจ้าคร้านจะดูแลสหายตาบอดงั้นหรือ”“โธ่ เหตุใดแม่ทัพไป๋หู่ผู้เกรียงไกรจึงมีถ้อยคำน้อยอกน้อยใจเยี่ยงสตรีไปได้ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย” เว่ยเสี่ยวเฉินหรี่ตาพลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาทว่าสีหน้าของเขากลับเฉยชาดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก&n
ไป๋เฉินเซียงไม่ได้เดินทางกลับในทันที เพราะค่ำคืนนี้เป็นเวลามืดมากแล้วหากเดินเท้าขึ้นเขาลำพังเกรงว่าจะเกิดอันตราย“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”เสียงสอดประสานดังขึ้นหน้าโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยม ไป๋เฉินเซียงเหลือบมองบุรุษร่างสูงผ่านแพรผืนโปร่ง“นายท่านทั้งสอง ขออภัยจริง ๆ วันนี้เทศกาลโคมไฟ ผู้คนจึงเข้ามาพักมากกว่าปกติ ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งห้องขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไป๋เฉินเซียงพิเคราะห์มือเรียวยาวของอีกฝ่าย ดูไปแล้วดั่งชายงามไม่เคยตรากตรำงานหนัก เมื่อเทียบกับมือที่ปรุงโอสถเก็บสมุนไพรของนางแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าบุรุษเช่นเขาอยู่หลายขุมไป๋เฉินเซียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ต่างฝ่ายต่างเลื่อนก้อนเงินไปตรงหน้าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไป๋เฉินเซียง “เถ้าแก่ แต่ข้ามาก่อนเขา”“เอ๋ เอ๋ น้องชาย เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเรามาพร้อมกัน” บุรุษหน้าวสันต์กล่าวอย่างใจเย็น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพราวระยับเต็มไปด้วยกลิ่นอายหยอกล้อ“แล้วท่านจะเอาอย่างไร วันนี้ข้าต้องการห้องพัก”เถ้าแ