2 สุรามงคล มอบใหม่แด่ท่านแล้ว
หน้าห้องหอที่ไร้เจ้าบ่าว สาวรับใช้นางหนึ่งมาตะโกนปลุกเจียงเยี่ยนฟางตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อจะพาอีกฝ่ายไปที่เรือนด้านหลังตามรับสั่งของเจ้านาย
ด้วยเจียงเยี่ยนฟางเดิมก็เป็นคนที่ตื่นก่อนฟ้าจะทันได้เปลี่ยนสีอยู่ตลอด ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สักพักแล้ว อาภรณ์บนกายของนางไม่ได้ดูหรูหราสมกับเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลขุนนางอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่คล้ายชุดของบุรุษชาวบ้านทั่วไปเสียมากกว่า เนื้อผ้าก็ทั้งหยาบทั้งหนา สีก็ดูหม่นหมอง แถมยังใช้ผ้ารัดไว้ที่ข้อมือเหมือนกับชาวบ้านที่ต้องทำงานแบกหามทั้งวันนั้นก็ด้วยอีก คงมีเพียงผ้าปิดหน้าสีม่วงที่ดูดีอยู่เพียงชิ้นเดียวบนตัวนาง
"เมื่อครู่คนจากวังหลวงเพิ่งจะมาส่งข่าวว่า ไทเฮาทรงพระอาการไม่ค่อยดี อยากพักผ่อน ไม่ต้องรบกวนเจ้าไปยกน้ำชาตามพิธี" สาวใช้ว่าพลางหมุนตัวเดินนำไปที่เรือนไม้ด้านหลังสุดของจวนทางทิศซี [1]
"..." เจียงเยี่ยนฟางไม่ได้ตอบ นางคร้านจะใส่ใจผู้อื่นเป็นทุนเดิม เพียงเดินตามเงียบ ๆ พอไม่ต้องอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องผู้นั้นนางก็ค่อยมีเวลาที่เลิกเสแสร้งบ้าง
ระหว่างเดินอยู่ก็กำลังคิดว่า ต่อให้ตระกูลเจียงเป็นถึงขุนนางในวัง ทว่าก็ยังถูกเลือกปฏิบัติอยู่ดี ถึงแม้นนางจะไม่เคยสัมผัสการถูกปรนนิบัติจากผู้อื่นมาก่อน แต่ย่อมรู้แน่ว่าปกติตระกูลสูงศักดิ์เวลาแต่งเข้ามาจำต้องมีสาวใช้มาดูแล และยามนี้นางก็เป็นถึงพระชายารองในจวนชินอ๋อง แม้ทำผิด ถูกพระสวามีลงโทษก็แล้วไป แต่บ่าวรับใช้ก็ควรจะใส่ใจนางบ้างถึงจะถูก และต่อให้ชินอ๋องผู้นี้เคยประกาศขอถอดยศตนเอง แล้วย้ายมานอกวังก็ตาม แต่ทว่าขนบทำเนียมเดิมก็ควรจะพอหลงเหลือไว้บ้างไม่ใช่หรือไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนรู้อยู่แล้วรึเปล่าว่า อย่างไรเสียชินอ๋องรูปงามผู้นั้นก็มีใจหนึ่งเดียวให้พระชายารองอีกคน จึงไม่ต้องสนใจนางก็ได้กระมัง
เอาเถอะ จะไปโทษคนพวกนี้ก็ไม่ได้ ขนาดขุนนางเจียงผู้เป็นบิดาก็ยังไม่ส่งบ่าวรับใช้ติดตามนางมา คนในจวนนี้พอเห็นนางไร้สาวใช้ที่ติดตามมาจากสินเดิม ก็คงคาดเดาไว้แล้วว่า นางมีสถานะเช่นไรในจวนตระกูลเจียง
เช่นนี้ก็สะดวกดี เจียงเยี่ยนฟางคิดแบบนั้น แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่า เมื่อวานนางเพิ่งตัดสินใจอะไรลงไป
'ข้าเพียงหวังพบมารดาอีกสักครั้ง พานางออกมาจากที่แห่งนั้น หนีไปใช้ชีวิตด้วยกัน' เสียงอ่อนหวานเจือแววห่วงหาดังสะท้อนอยู่ในห้วงความคิดของนาง ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่นานที่นางไม่มีทางลืมก็ยังคงวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ทำให้ตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตนต้องทำให้สำเร็จ
แรกเริ่มเดิมที นางคิดว่าตนสามารถไม่ใส่ใจเจ้าคนพิการผู้นั้นได้ แต่ตามฤกษ์ยามแล้ว อีกสิบสี่ [2] วันต่อจากนี้ยังต้องกลับตระกูลเจียง อย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ดี
นึกถึงฤกษ์ยามที่ว่าแล้วก็ช่างน่าขัน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นมารดาเลี้ยงผู้นั้นที่พูดเองเออเอง เจ้าตัวบอกนางว่าค่อยกลับบ้านเดิมหลังจากสิบห้าวันผ่านไปแล้ว ไม่รู้ฤกษ์แท้จริงเป็นอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้แน่นั่นก็คือ อีกฝ่ายเพียงประวิงเวลาออกไป ด้วยไม่อยากเจอหน้านางเร็วเกินไปก็เท่านั้น หรือไม่ก็อยากให้นางถูกชินอ๋องไล่ออกจากจวนไปด้วยตัวเขาเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาต้อนรับอีกฝ่ายที่พานางกลับบ้านเดิมไป
ยามนี้ที่กำลังนึกเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้น แววตาของเจียง เยี่ยนฟางที่เฉยเมยอยู่แล้วก็วาบผ่านด้วยความเย็นชาสายหนึ่ง
ไม่นานสาวใช้ก็พานางมาถึงเรือนด้านหลัง แม้จะโชคดีที่สภาพเรือนไม่ได้ย่ำแย่เหมือนเรือนร้างที่นางเคยอยู่มาก่อน แต่ก็ไม่อาจใช้คำว่า 'ดี' มาเปรียบเปรยได้ ถ้าเทียบกับวังหลวงก็คงจะเป็นเหมือนวังเย็น ต่างแค่ไร้กำแพงหนาปิดกั้น เปลี่ยนเป็นรอบด้านถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ผุพังแทน หากแต่รั้วไม้ไผ่เองก็สภาพย่ำแย่ ตั้งสูงต่ำไม่เท่ากัน ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีความใส่ใจจะตัดมันให้เท่ากันเลยสักนิด เพียงกั้นไว้แบบขอไปทีเท่านั้น
ตัวนางไม่ได้อยากมีปัญหา คิดอยากทำสิ่งที่ตั้งไว้ในใจให้สำเร็จแล้วจากไป แต่การถูกปฏิบัติเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้วหากยอมทนต่อไป ก็รังแต่จะทำให้นางลำบากในภายหลัง เรื่องอาหารการกินไม่เตรียมไว้ให้ก็แล้วไป นางหาเองได้ แต่นางจะไม่ยอมทำความสะอาดที่นี่เองหรอกนะ
มือเรียวยาวจึงถูกยื่นออกไปขวางทางสาวใช้ที่กำลังหมุนตัวจะจากไปไว้เสียก่อน "ชาวบ้านด้านนอกต่างพูดว่าชินอ๋องไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ปลีกตัวออกมาจากวังตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจในบัลลังก์มังกร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นละเลยการอบรมบ่าวในจวนถึงขั้นนี้"
เจียงเยี่ยนฟางเป็นสตรีที่ตัวสูงกว่าสตรีทั่วไปในแคว้นเฉิง ยามนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและกดตาลงมองผู้ที่ตัวเตี้ยกว่า ก็ช่างดูน่าเกรงขามไม่น้อย ทำเอาสาวใช้ที่กำลังถูกจ้องมองถึงขั้นเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจชั่ววูบหนึ่ง
แต่สาวใช้ผู้นั้น พอนึกถึงคำนินทาที่คนในจวนต่างพูดถึงพระชายารองพระนางใหม่ที่เพิ่งตบแต่งเข้ามา ก็ทำให้นางที่หวาดกลัวไปในตอนแรกใจกล้าขึ้นมากกว่าเดิม ราวกับกินดีเสือต่างน้ำเปล่าในตอนตื่นมาก็ไม่ปาน
"คุณหนูใหญ่เจียงอย่าทำให้บ่าว..."
"พระชายา" เจียงเยี่ยนฟางพูดคำนี้เองก็ตะขิดตะขวงใจเอง แต่ก็ต้องพูดออกไป
"คุณหนูใหญ่เจียง..." สาวใช้ยังคงแข็งข้อ แต่ไม่ทันได้พูดจบก็ถูกมือเรียวยาวบีบลงที่บ่าอย่างแรง ทำเอาเจ็บจนน้ำตาซึม เข่าแทบทรุดลงกับพื้น และเหมือนคนที่ลงมือคล้ายรู้ได้ว่านางกำลังจะล้มลงไป มือที่ดูอ่อนนุ่มคู่นั้นจึงบีบนางแรงขึ้นกว่าเดิม เพื่อดึงรั้งตัวนางไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว "อึก" สาวใช้แทบร้องไม่ออก รับรู้ถึงไอสังหารที่เคยได้สัมผัสจากเจ้านายของตนครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว กำลังแผ่ออกมาจากสตรีข้างกาย ทำเอานางหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ
[1] ซี คือทิศตะวันตก
[2] ปกติการกลับบ้านเดิมที่เราคุ้นเคยตามธรรมเนียมจีนมักจะเป็นเวลาสาม 3 วันหลังแต่งงานตามที่เห็นกันบ่อย ๆ แต่แท้จริงแล้วมีทั้งหมดสามช่วง คือ 3 วัน 7 วัน และ 15 วัน ในกรณีนี้เป็น 15 วันค่ะ
เจียงเยี่ยนฟางคร้านจะพูดมาก นางเดินมากระชากแขนของหงเปาไปนั่งตรงที่นางบอก นึกย้อนไปหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นางพูดมากที่สุดแล้ว ปกติวัน ๆ หนึ่งนางเอ่ยออกมาแทบจะนับคำได้เลย ยามนี้จึงเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อต้องพูดหลายรอบเกินไปหงเปาที่ถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ตัวแข็งเกร็ง ก้นแทบจะระบมเพราะแรงกระแทก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เพิ่งเคยเห็นสตรีที่ทำท่าทางไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นบ่าวของชินอ๋อง แต่เบื้องหลังเขาเองก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา เป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิงตระกูลของเขาดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างแคว้นมาตั้งแต่รุ่นก่อน ตัวเขาถึงได้เข้าไปเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าองค์ชาย ด้วยเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการอำนาจของตระกูลเขา บิดาจึงก็ได้รับเกียรติไม่ต่างกับขุนนางราชสำนัก เป็นที่เชิดหน้าชูตาในแวดวงการค้าไม่น้อย ทำให้เหล่าสตรีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป หรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่แปดส่วน แต่คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเพียงเพราะเขาไม่ยอมทำตามที่นางสั่งเนี่ยนะ?!"เลิกขึ
5 พิสูจน์อีกกี่ครา รอดไปอีกกี่หน"พระชายาเจียง เหตุใดถึงออกมานอกจวนไม่บอกผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปามองดูคุณหนูใหญ่เจียงที่แต่งเข้ามายังไม่พ้นสามวันก็ทำให้เขามีเรื่องปวดหัวไปแล้วสี่ครั้งอย่างจนปัญญา"ถ้าบอกแล้ว ท่านอ๋องจะให้ออกมา?" เจียงเยี่ยนฟางหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นสีหน้าของหงเปาที่ดูตกใจกับการย้อนถามของนาง ก่อนจะเดินนำหน้าผ่านตัวเขาไป "เป็นเจ้าไม่ใช่รึ ที่บอกไม่ให้เดินเพ่นพ่านในจวน ข้าเลยออกมาเดินข้างนอกแทน เวลานี้ต่อให้ผิดหรือไม่ ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของพวกเจ้าอยู่ดี"หงเปาเม้มปากแน่น ที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ และในตอนที่มัวแต่คิดเรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่อยู่ สตรีผู้นั้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็ทิ้งห่างไปเขาหลายก้าวแล้ว พาให้เขาเร่งเท้าต้องเดินตามจนน่าหงุดหงิดใจ "นั่นก็เป็นเพราะพระชายาทำกิริยาไม่สำรวม ท่านอ๋องถึงให้พระชายาประทับอยู่ที่เรือนด้านหลังเป็นการลงโทษ เหตุใดจึงไม่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม"สงบเสงี่ยม? เจียงเยี่ยนฟางได้ยินแล้วก็เค้นเสียงเย็นในใจ เป็นแค่คนรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง แต่กล้าพูดกับนางด้วยคำคำนี้? "ท่านอ๋องของเจ้าสั่งให้ข้าอยู่เรือนเก่าทรุดโทรม ไม่มีคนมาทำความสะอาด ข้าไม่เคย
ดังเสียจนเจียงเยี่ยนฟางยังตกใจไปด้วย นางกำลังสนุกอยู่เลย อยากรู้ว่าใครจะวางเงินเดิมพันมากที่สุด และพวกเขาจะคาดเดาว่านางจะอยู่ได้นานเท่าไรกันบ้าง ส่วนเวลาในใจของนางนั้น ย่อมไม่เกินสองเดือนอย่างแน่นอน!"หลีหมิ่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน!" ห้องด้านข้างเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เหมือนคนกำลังจะลุกขึ้น"นี่! หลีหมิ่น!"เจียงเยี่ยนฟางที่นั่งสงบนิ่งมาตั้งนานถึงกลับชะงักค้าง มือที่ถือจอกชาจะยกดื่มพลันรีบวางลงที่เดิม ก่อนหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาดู หน้าซองจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่หลีหมิ่น' นิ้วเรียวจิกซองจดหมายแน่น ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีค่าห้องในครั้งนี้ ไม่คุ้มค่าเท่าไรแล้ว!เมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมานางยังคงได้ยินเสียงบ่นของคนในห้องตามมาไม่หยุด ส่วนด้านหน้าของนางเวลานี้ก็คือบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนแสงไฟในหอน้ำชาจนมันเลื่อม ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเร่งรีบเดินด้วยความเร็วเพราะไม่พอใจจะรีบจากไป ก็ทำให้เนื้อผ้าขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว พาให้คนดูสูงส่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็พานให้ผู้คนหลงใหลได้แล้วเวลาเดียวกันนั้น เจียงเยี่ยนฟางที่เคยนึกภูมิใจว่าตนเองขายาว เดินไวกว่าสตรีนางอื่น
"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... ""..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว? เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหม
4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิมในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยากสถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรื
อีกฝั่งหนึ่งจูหลิงที่ขยับกายหลบไปข้างเสาอีกนิดก็เอ่ยขึ้นว่า "ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าพวกเรามาแอบดูอยู่เลยนะเพคะพระชายา""ไกลขนาดนี้แถมเรายังอยู่ในที่มืด นางไม่น่าจะมองเห็น" กู่เยว่ชิงเข้าใจถูกแล้ว เจียงเยี่ยนฟางมิได้มองเห็นพวกนางชัดขนาดนั้น เพียงแค่คาดเดาจากเงาร่างเลือนรางก็เท่านั้น"แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่โดนจับไปขังคุกอีก มิใช่ว่าท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าเป็นนางที่วางยา""บิดาของนางเป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้าย ต่อให้ท่านอ๋องคาดการณ์ว่านางอาจเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แล้วอยากจับนางโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ตัวนางมีคนหนุน หลังถึงขนาดนั้น คงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม" กู่เยว่ชิงเอ่ยวาจานุ่มนวล ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็บีบเข้าหากันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง เพียงเพราะชาติกำเนิดของนางต้อยต่ำ หาไม่แล้วยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกไปนานแล้วสองปีก่อนที่ตบแต่งเข้ามา ท่านอ๋องยืนยันหนักแน่นว่าจะรับนางเป็นพระชายาเอกและจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก หากแต่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ครอบครัวของนางเป็นเพียงแค่สามัญชนที่เพิ่งได