/ แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 3-เงื่อนงำและการชิงอำนาจ4/4

공유

3-เงื่อนงำและการชิงอำนาจ4/4

last update 최신 업데이트: 2025-04-27 14:27:06

“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”

“ห๊ะ!!!”

อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?

“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน

“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว

“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ

“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา

“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ

“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย

“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม

“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้อย” ฉันกัดฟันอย่างเหลือทนกับทุกคำถามของเขา นายนี่กะจะให้ฉันยอมรับเองละซิ ไม่มีทางซะหรอก อยากขอดเกล็ดนักใช่ไหมฉันจะยอมให้ขอด เพราะยังไงนี่ก็ไม่ใช่ร่างกายของฉันอยู่แล้ว ฉันก็แค่ต้องทนรับความรู้สึกเจ็บให้ได้เท่านั้น

“ทีแรกทำเป็นห่วงใย เชอะ!” ฉันสบตามองหน้าเขาด้วยความเจ็บใจ อย่าให้ฉันเอาคืนแล้วกัน

“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะทำการรักษาเจ้านางน้อยด้วยตนเอง”

(เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ)

“หยุดนะ! ห้ามใครออกไปจากห้องนี้ทั้งนั้น ส่วนนายเป็นองครักษ์ไม่ใช่หมอจะมารักษาอะไร นายนั่นแหละออกไปจากห้องฉัน” ฉันเริ่มจะไม่พอใจ

อาศิรวิษออกคำสั่งด้วยท่าทางมาดนิ่ง ทั้งหมอ กาลัด และกลีบบัวก็ตอบรับอย่างเร็วไว แค่เขาสั่งเท่านี้พวกเขาก็ดูเชื่อฟังเขาเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้ดูมีอิทธิพลต่อบริวารขนาดนี้ แค่ลูกบุญธรรมของเจ้าหลวงเองไม่ใช่หรือไง หรือจะมีนิสัยเบ่งอำนาจจนทำให้คนเกรงกลัว ไอ้คนนิสัยไม่ดี

 “การรักษาด้วยวิธีขอดเกล็ดท่านอาศิรวิษก็รักษาได้พ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้อย” หมอหลวงพูดขึ้น ฉันถึงกับกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ

“พวกหม่อมฉันรออยู่ด้านนอกนะเพคะ”

“เดี๋ยว ๆ กลีบบัว กาลัด”

กาลัดกับกลีบบัวรีบก้าวขาออกจากห้องไป ทิ้งฉันไว้เพียงลำพังกับเจ้างูยักษ์องครักษ์จอมโหดนี่ งานนี้ฉันต้องตายแน่ ๆ ทำไมทุกคนถึงได้ทอดทิ้งฉันไว้กับเขาได้ลงคอ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจกับสายตาคู่นี้ของเขา คงไม่คิดจะขอดเกล็ดจริง ๆ หรอกใช่ไหม เขาแค่อาจจะเพียงขู่เล่นก็ได้

“แค่ขู่ใช่ไหม ไม่ได้จะขอดเกล็ดอะไรนั่นจริง ๆ ใช่หรือเปล่า” ฉันถามเขาด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ

“ใยถึงต้องขู่ ใยถึงต้องทำเล่นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเจ้านางน้อยได้รับบาดเจ็บจริง รอยแผลและสิ่งตรงหน้ากระหม่อมคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมิใช่รึ” เขาพูดพร้อมกับก้าวขาเข้ามาใกล้

“ก ก็จริงไง แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ทายาก็หายแล้ว”

“เจ้านางน้อยคือคนสำคัญของเจ้าหลวง จะทำการรักษาลวก ๆ เพียงทายาได้เยี่ยงไร เกรงว่าเจ้าหลวงคงไม่สบายพระทัยเป็นแน่ ต้องรักษาให้หายขาดโดยเร็ว”

“อีแค่รอยเล็บเกานายจะขอดเกล็ดทำไมเล่า”

การตอบโต้ของอาศิรวิษทำให้ฉันรู้สึกโมโห สุดท้ายฉันก็หลุดปากพูดออกมา ตอนนี้ฉันก้มหน้าหลับตาปี๋และตบปากตัวเองเบา ๆ ฉันกำลังจะรอดอยู่แล้วสุดท้ายก็มาตายน้ำตื้นเพราะอารมณ์ที่ไร้สติ

“ทำไมถึงได้ร้ายกาจนักล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เขาขยับเข้ามาใกล้อีก ระยะห่างเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แล้วต่อว่าฉันด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“นี่เรียกเอาคืน อัปสราตั้งใจจะสาดพิษนั่นใส่ฉันก่อน แค่ฉันรู้ทันเท่านั้น ทำไมต้องว่าร้ายกาจ ฉันไม่คิดจะทำร้ายใครก่อน...อัปสราควรได้รับบทเรียน” ฉันเงยหน้าสบตาอย่างไม่คิดกลัว เมื่อจวนตัวด้วยความรู้สึกที่ถูกต่อว่าทั้งที่ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน

“แต่เจ้านางน้อยไม่ควรเอาตัวเองลงไปเสี่ยงเช่นนั้น หากเกิดอะไรขึ้นจริงจะทำเยี่ยงไร”

“ฉันเอาตัวรอดได้!”

เขาและฉันเริ่มพูดเสียงแข็งต่อว่าระหว่างกัน ฉันก็เริ่มจะอดทนเก็บกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว ยิ่งเขาตำหนิฉันทำไหร่ยิ่งทำให้อารมณ์ของฉันปะทุ ฉันไม่ได้อ่อนแอจนให้ใครมาทำร้ายง่าย ๆ แต่เขาดันหาว่าฉันร้ายกาจ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวแต่เริ่มแรก

“กระหม่อมเพียงห่วงพระองค์”

“ห่วงอะไรเมื่อกี้ยังจะมาขอดเกล็ดไม่ใช่หรือไง ออกไปเลยไม่ต้องมาทำห่วง นายออกจากห้องฉันเลยนะ...ออกไป” ฉันออกปากไล่และชี้นิ้วไปทางประตู

“......” แต่เขาก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับขาไปไหน

“ออกไป บอกให้ออกไปไงเล่า” ฉันเลยใช้มือดันอกของเขาด้วยแรงที่มี แต่ยิ่งดันก็เหมือนจะยิ่งหนักประหนึ่งฉันผลักภูเขาลูกใหญ่ ฉันออกแรงจนรู้สึกเหนื่อยก็เหมือนว่าเขายังยืนกับที่ไม่ขยับเขยื้อน

“บาดเจ็บจนไร้เรี่ยวแรงยังจะไม่ยอดรักษาอีกรึเจ้านางน้อย”

“ออกไปเส่ เหนื่อยแล้วนะ...ว้าย!!!”

ฉันตั้งหน้าตั้งตาผลักเขาออกจากห้อง แต่ดันเกิดความผิดพลาดเมื่อเท้าของฉันลื่นเสียท่าเกือบล้ม แต่ดีที่อาศิรวิษรับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงจะล้มหน้ากระแทกกับพื้นหัวแตกมากกว่าเดิม

“เจ็บตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากก่อนหน้า เขากวาดสายตามองฉันด้วยสีหน้ามีความห่วงใย ระยะประชิดของใบหน้าทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นแรงผิดจังหวะ

“มะ ไม่เป็นไร...ขอบใจนะที่รับไว้” ฉันรีบละตัวออกห่างเมื่อการจับต้องบางอย่างทำเอาหัวใจของฉันเต้นแรงจนพูดตอบกลับติดขัด

“ไม่บาดเจ็บนับว่าดีแล้ว...น้องหญิง” เขายืนนิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ จากนั้นเขาจึงเรียกฉัน

“คะ?” ฉันตอบรับและมีความสงสัยกับใบหน้าที่เริ่มเหมือนมีความกังวลเล็ก ๆ แอบซ่อนอยู่

“น้องหญิงย่อมรู้ดีว่าในวังแห่งนี้ไม่ได้สวยงาม การกุมอำนาจแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นนั้นมากมาย พี่ไม่อยากให้เจ้าต้องประสบพบเจอกับอันตราย อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง และอะไรไม่ควรตอบโต้น้องหญิงย่อมรู้ดี” เขาร่ายยาวออกมาด้วยสีหน้าพะวง ซึ่งตอนนี้ฉันก็ยังคงไม่อาจจะเข้าใจในสิ่งที่เขาเตือนนี้ ฉันได้แต่นิ่งมองหน้าเขาแล้วฟังเท่านั้น

“ไม่รู้หรอกแต่ถ้าใครมาหาเรื่องก่อน ใครมันจะไปยอมให้ถูกกระทำ” ฉันตอบออกไปตามนิสัยที่เป็น แม้จะรู้สึกได้ว่าคำกล่าวเหล่านั้นล้วนเป็นความห่วงใย

“อยู่ให้ห่างคนของตำหนักประจิม”

“เดี๋ยวสิ!...”

พูดจบประโยคทิ้งท้ายเขาก็ออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงเงื่อนงำความสงสัยที่ฉันไม่อาจจะเข้าใจ

“แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะใครบ้างคนของตำหนักประจิม”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • อาศิรวิษ   จบ-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status