แชร์

บทที่ 11 กลับเมืองหลวง

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:26:42

ในขณะที่ทางเรือนเหมันต์กำลังคิดถึงเรื่องการหย่าร้าง ทางด้านชายแดนทางใต้ของแคว้นเหลียนกลับมีเรื่องที่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งรู้สึกประหลาดใจ หลี่เสวียนองค์ชายรองแคว้นเหลียนนำกองกำลังจำนวนหนึ่งมาสับเปลี่ยนกำลังพลที่ชายแดน แถมยังนำราชโองการลับจากเมืองหลวงมามอบให้ซ่งเหวินจิ้งด้วย

“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านรีบกลับเมืองหลวง ช่วงนี้ฉินอ๋องมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ จึงทรงอยากให้เจ้าลักลอบกลับเมืองหลวงเพื่อไปสืบหาเบาะแสอย่างลับๆ ว่าใช่ฉินอ๋องได้คิดก่อการกบฏหรือไม่” คำพูดของหลี่เสวียนและพระอักษรในราชโองการทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันขมวดคิ้ว

“เหตุใดจึงต้องเป็นกระหม่อมด้วย” คำถามของเขาทำให้องค์ชายรองแย้มพระสรวลออกมา

“น่าจะทรงเห็นใจเจ้า ที่แต่งงานได้ไม่กี่เดือนก็ต้องจากบ้านมาไกลถึงสามปี ยามนี้สมควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนฮูหยินของเจ้าได้แล้วกระมัง” เมื่อองค์ชายรองหลี่เสวียนตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็แค่นหัวเราะออกมา

“ฝ่าบาทน่ะหรือจะทรงเห็นใจกระหม่อม ทรงตรัสมาตามตรงเถิดว่าที่เมืองหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองจึงได้ตรัสออกมาด้วยสีพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย

“ก็แค่เสด็จอาของข้ามีการโยกย้ายกองกำลังอย่างผิดปกติ อีกทั้งยังทรงใช้ข้ออ้างว่าเสด็จย่าทรงประชวรถวายฎีกาขอเข้าเมืองหลวง คำว่าความกตัญญูทำให้เสด็จพ่อทรงต้องพระราชทานอนุญาต แต่แท้จริงแล้วทรงไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้ทรงมีพระดำรัสให้ข้ามารับตัวเจ้ากลับเมืองหลวงด้วยตนเอง” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พลันยิ้มออกมา

“ส่งเยี่ยหลินมาก็ได้แล้ว แต่องค์ชายรองทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เองเช่นนี้ออกจะดูให้เกียรติกระหม่อมจนเกินไปหรือไม่” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้เยี่ยหลินที่ยืนฟังอยู่ยิ้มออกมาในทันที

“อย่าใช้คำว่าให้เกียรติ ต้องใช้คำว่าอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า พอได้ยินว่าสุ่ยฮองเฮาทรงพระกันแสงเรื่องที่มารดาของเจ้าตัดสินใจลงโทษสุ่ยอี้โหรวอย่างไม่เป็นธรรม แถมพอได้รู้สาเหตุที่สุ่ยอี้โหรวถูกลงโทษ องค์ชายรองก็รีบเสด็จตามข้ามาหาเจ้าด้วยพระองค์เองในทันที” คำพูดของเยี่ยหลินทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ท่านแม่ของข้าหรือจะลงโทษสุ่ยอี้โหรว พวกนางเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แม้แต่คำพูดของข้าท่านแม่ยังไม่ยินดีจะเชื่อฟังแต่กลับยินยอมฟังแต่คำพูดของสุ่ยอี้โหรว แล้วยามนี้เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยถามเช่นนี้ องค์ชายรองหลี่เสวียนก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ได้ยินมาว่านางคบชู้ แถมยังฆ่าชายชู้เพื่อปิดปากต่อหน้าต่อตามารดาของเจ้า” คำพูดขององค์ชายรองให้ซ่งเหวินจิ้งพลันส่ายหน้า

“ชู้อีกแล้วหรือ เหตุใดสตรีในจวนข้าจึงได้ขยันมีชู้กันนัก คราวนี้ท่านแม่ข้าเกิดไม่พอใจอะไรสุ่ยอี้โหรวขึ้นมาอีกเล่าจึงได้ยัดเยียดข้อหาหนักให้คนโปรดของนางถึงขนาดนี้” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้ทั้งองค์ชายรองและเยี่ยหลินต่างก็ส่ายหน้า

“เรื่องในจวนเจ้าผู้ใดจะรู้กันเล่า หากไม่เพราะข้าได้ยินเสด็จแม่ทรงตรัสถึงเรื่องนี้ข้าก็คงจะไม่รู้ ก็ได้แต่คิดแปลกใจว่าเหตุใดมารดาของเจ้าจึงได้ขยันสร้างเรื่องนัก คนอย่างสุ่ยอี้โหรวแม้ว่าจะชอบเอาแต่ใจและชอบเอาชนะแต่คนอย่างนางจะกล้าฆ่าคนได้อย่างไร ส่วนโม่ชิงเยว่พวกเราก็ต่างรู้ดีว่านางเป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ หากนางชอบพอบุรุษอื่นจริงคงยินดีรับโทษทัณฑ์ขัดราชโองการดีกว่าที่จะแต่งงานกับเจ้า” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันมีสีหน้าเขียวคล้ำ

“กระหม่อมจะรี บกลับเมืองหลวง หากองค์ชายรองอยากกลับพร้อมกระหม่อมก็เตรียมตัวกลับได้เลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้เยี่ยหลินก็รีบส่งเสียงห้ามปรามในทันที

“ส่งมอบงานให้ข้าก่อน แม้ว่าข้าจะนำคนของข้ามา แต่คนของเจ้าก็จะต้องอยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานข้า หากเจ้าไม่ถ่ายทอดคำสั่งพวกเข้าจะยินยอมทำงานให้ข้าอย่างเต็มที่ได้อย่างไร” คำพูดของเยี่ยหลินทำให้ซ่งเหวินจิ้งปรายตาไปมองเขาด้วยความเย็นชา

“เป็นถึงแม่ทัพน้อยจวนสกุลเยี่ย แค่จัดการกำลังพลแค่นี้ต้องให้ข้าช่วยเหลือด้วยหรือ เอาเป็นว่าข้าจะทิ้งจ้าวหานเอาไว้ให้เจ้าก็แล้วกัน” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้เยี่ยหลินก็ส่ายหน้า

“หากรู้ว่ามารดาของเจ้าจะเป็นเช่นนี้ ตอนที่ฝ่าบาททรงถามว่าผู้ใดยินดีที่จะแต่งบุตรสาวสกุลโม่เข้าจวนข้าน่าจะขออาสา” เมื่อเยี่ยหลินเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุดันเขาจึงได้เอ่ยต่อ

“พวกเราก็รู้ดี ว่าคุณหนูโม่ถูกท่านแม่ทัพโม่เลี้ยงดูมาอย่างไร นางจะเข้าใจการอยู่ร่วมกับบรรดาสตรีอื่นในเรือนหลังได้หรือ ดูจากที่มารดาของเจ้าลงมือกับสุ่ยอี้โหรวก็รู้แล้วว่านางมีความโหดเหี้ยมที่ไม่ธรรมดา สตรีที่ถูกเลี้ยงดูมากับเหล่าบุรุษเช่นนางจะอยู่ร่วมกับมารดาเจ้าได้อย่างไร” เมื่อเยี่ยหลินเอ่ยเช่นนี่ซ่งเหวินจิ้งก็แค่นหัวเราะออกมา

“แล้วเจ้าคิดว่านางจะแต่งเข้าไปอยู่ในเรือนหลังของจวนสกุลเยี่ยได้หรือ ในจวนแห่งนั้นไม่ได้มีแค่เยี่ยฮูหยิน แต่ยังมีพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองของเจ้า และบรรดาอนุในจวนอีกฝูงหนึ่ง ข้ามั่นใจว่าต่อให้นางเสแสร้งเป็นกุลสตรีได้เก่งกาจมากเพียงใดก็คงจะอดทนไม่ไหวลงไม้ลงมือจนทั้งจวนสกุลเยี่ยของเจ้ากลายเป็นสมรภูมิย่อยๆ เป็นแน่” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี่เยี่ยหลินก็พยักหน้า

“นั่นก็จริง อีกทั้งนางไม่เคยให้ความสนใจในตัวข้าเสียด้วยสิ กับเจ้านางยังเคยฝึกยุทธ์ด้วยอยู่บ้าง” เมื่อเยี่ยหลินเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อเพราะความจริงแล้วโม่ชิงเยว่ก็ไม่เคยสนใจเขาจนถึงกับสามารถจดจำเขาได้เช่นกัน ต่อให้เคยฝึกยุทธ์ที่ลานฝึกยุทธ์มาด้วยกันแต่ยามที่นางได้พบเขาอีกครั้งดูเหมือนว่านางจะลืมเรื่องที่เคยฝึกยุทธ์กับเขาไปแล้ว

“พวกเจ้าอย่าได้มัวพูดคุยกันอยู่เลย รีบสะสางงานที่นี่ให้แล้วเสร็จเถอะ ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวในเรือนหลังของสกุลซ่งเป็นเช่นไรกันแน่” เมื่อองค์ชายรองพูดจบก็ได้รับสายตาเย็นชาของซ่งเหวินจิ้งในทันที

“แค่ก แค่ก ข้าหมายถึงข้าอยากจะรู้แล้วว่าเสด็จอาผู้แสนดีของข้ากำลังคิดจะก่อการจริงหรือไม่ เรื่องนี้คงต้องใช้ความสามารถของนิ่งอันโหวช่วยสืบหาความจริงแล้ว” เมื่อองค์ชายรองเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า

“เช่นนั้นเยี่ยหลินเจ้าตามข้ามา ส่วนองค์ชายรองหากอยากเสด็จกลับพร้อมกระหม่อมอย่างปลอดภัย ก็อย่าได้พูดถึงเรื่องในเรือนหลังของกระหม่อมอีก” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยจบก็เดินนำเยี่ยหลินไปที่กระโจมกลางซึ่งเป็นที่บัญชาการรบของเขาในทันที หลังจากที่มอบหมายภารกิจและฝากฝังเยี่ยหลินให้กับบรรดาแม่ทัพนายกองที่ยังคงประจำอยู่ที่ชายแดนแห่งนี้แล้ว ซ่งเหวินจิ้งยังได้ฝากฝังให้จ้าวหานอยู่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่เยี่ยหลินด้วย

ช่วงสามปีมานี้เขาแทบจะไม่ได้รับข่าวคราวในจวนของตนเองเลย แม้ว่าจะส่งคนไปสอบถามแล้วแต่ข่าวคราวที่ได้รับก็ล้วนเป็นจากฝั่งมารดาของเขาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางด้านโม่ชิงเยว่นั้นกลับไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ เดิมทีเขาตั้งใจจะส่งคนเข้าไปสืบข่าวแต่เพราะติดพันเรื่องการรบจึงได้ละทิ้งความสนใจเรื่องราวในจวนไป อีกทั้งเพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างโม่ชิงเยว่หากนางถูกรังแกมากๆ ขึ้นมานางย่อมลุกขึ้นมาต่อตอบโต้ได้อยู่แล้ว

แต่คำพูดของเยี่ยหลินทำให้เขาพึ่งจะคิดได้ว่า สตรีในเรือนหลังเล่ห์กลแตกต่างจากกลยุทธ์ของบุรุษมากมายนัก โม่ชิงเยว่เติบโตมาในจวนแม่ทัพที่ไม่มีความซับซ้อนจะสามารถโต้ตอบกลับเล่ห์กลของสตรีในเรือนหลังได้หรือ แม้กระทั่งเขาเองก็ยังเกือบจะหลงกลสุ่ยอี้โหรวเลยแล้วคนอย่างโม่ชิงเยว่เล่านางจะสามารถต่อกรกับมารดาผู้เคี่ยวกรำศึกในเรือนหลังมาแล้วอย่างโชกโชนได้หรือไม่

“สั่งการลงไปผู้ใดตามข้าไม่ทัน ข้าก็จะทิ้งให้อยู่ด้านหลังแม้แต่องค์ชายรองก็จะไม่ได้รับการยกเว้น” เมื่อเอ่ยจบซ่งเหวินจิ้งก็สะบัดแส้ควบม้าออกไปจากกองบัญชาการของเขาในทันที ทิ้งให้คนของเขาและคนขององค์ชายรองต่างหันไปจ้องมองกันด้วยความสับสน...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status