ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นคืนสติขึ้นมาก็เป็นช่วงเย็นแล้ว นางหลับตาทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“สั่งการลงไปให้คนของหอลงทัณฑ์ตัดลิ้นของสุ่ยอี้โหรวทิ้งเสีย ในเมื่อนางไม่รู้จักสงวนถ้อยคำเอาเรื่องภายในจวนของพวกเราไปบอกเล่าให้จวนสกุลสุ่ยรู้ดังนั้นนางก็ไม่ควรจะเอ่ยปากพูดได้อีกต่อไป” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงพลันส่ายหน้าในทันที
“ท่านแม่เจ้าคะ ถึงอย่างไรพี่หญิงอี้โหรวก็เป็นสตรีที่ท่านพี่รัก ท่านแม่ได้โปรดเห็นแก่ท่านพี่ปล่อยนางไปสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ” คำพูดของบุตรสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความขัดเคืองใจ
“หนิงเอ๋อ เจ้าต้องหัดเรียนรู้เอาไว้ให้มาก สตรีบางคนแม้ว่าไม่อาจจะกำจัดขั้นเด็ดขาดแต่ก็ไม่ควรจะเหลือหนทางให้นางสามารถกลับมาแว้งกัดพวกเราได้ในภายหลัง เจ้าไม่กลัวหรือว่าวันหน้านางจะไม่คิดแก้แค้นแม่ที่สั่งลงโทษนางเช่นนั้น” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น
“แต่ว่าลูกกับพี่หญิงเคยสนิทสนมกันเสียยิ่งกว่าสหาย” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“สตรีในเรือนหลังเฉกเช่นพวกเราจะมัวอ่อนไหวให้กับคำว่าสหายไม่ได้ หากเจ้ามัวอ่อนไหววันหน้าเจ้าอาจจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่าหักหลัง” ฮูหยินเอ่ยพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง ศัตรูที่น่ากลัวมากที่สุดมักจะเป็นคนที่นางไว้ใจมากที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่เคยใจอ่อนกับผู้ใดหากคิดจะลงมือนางมักจะลงมืออย่างเด็ดขาด
“เช่นนั้นคนที่อยู่ที่เรือนเหมันต์เล่า เมื่อไหร่ท่านแม่จะจัดการนางขั้นเด็ดขาดเสียที ก่อนหน้านี้ท่านแม่หาหลักฐานที่ว่านางมีชู้ไม่ได้ก็เลยลงมือทำอะไรนางไม่ได้เลยสักอย่างจนทำให้ยามนี้นางกล้าพูดจาโต้เถียงท่านแม่แล้ว ในเมื่อนางทำเช่นนี้เหตุใดท่านแม่จึงไม่ป่าวประกาศออกไปเล่าว่านางคือลูกสะใภ้อกตัญญู คำว่าอกตัญญูนี้ไม่มีทางทำให้จวนสกุลซ่งของพวกเราเสื่อมเสียแน่เจ้าค่ะ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า
“ลูกรักในที่สุดเจ้าก็รู้จักออกความคิดแล้ว เฉินมามาเจ้าไปเอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะใช้ข้ออ้างเรื่องที่นางทำในวันนี้เขียนฎีกาถวายฝ่าบาท ขอให้ทรงปลดนางออกจากตำแหน่งภรรยาเอกของท่านโหว” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามาส่ายหน้า
“แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ถ้าหากว่าท่านถวายฎีกาฝ่าบาทด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยในเรือนหลังของจวนโหวเช่นนี้อาจจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วแล้วลงพระราชอาญาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งงันไปเฉินมามาจึงได้เอ่ยต่อ
“ในยามปกติบ่าวก็ไม่เคยกล้าออกความเห็น แต่ครั้งนี้คือเรื่องที่อาจจะกลายเป็นการลบหลู่เบื้องสูง ขอฮูหยินไตร่ตรองให้ดีก่อนนะเจ้าคะ ยังไม่นับว่ายามนี้องค์ฮองเฮาอาจจะกำลังหาหนทางช่วยสุ่ยอี๋เหนียงอยู่ก็ได้ ท่านคงจะไม่อยากให้คนสกุลสุ่ยหัวเราะท่านทีหลังที่สามารถช่วยสุ่ยอี๋เหนียงกลับไปได้โดยที่พวกเขาแทบจะไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย” คำพูดของเฉินมามาช่วยเตือนสติของฮูหยินผู้เฒ่าได้ดี ส่วนเฉินมามานั้นในยามนี้นางเริ่มมองเห็นหนทางที่จะได้เจ้านายให้พึ่งพิงยามแก่ชราแล้วนางจึงย่อมจะคิดหาหนทางช่วยเจ้านายใหม่ของนางอย่างเต็มที่
ฮูหยินที่มาจากสกุลโม่ผู้นั้นไม่เพียงมีกำลังทรัพย์เพียงพอและมีความพร้อมที่จะจ่ายนาง หลายปีมานี้นางได้เห็นแล้วว่าต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะลงมือกับฮูหยินผู้นั้นเช่นไรก็ล้วนไม่เป็นผล อีกทั้งยามนี้นางยังรับรู้ได้ว่าฮูหยินน้อยผู้นั้นเริ่มจะลงมือโต้ตอบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เมื่อดูจากฝีมือการตอบโต้ของฮูหยินที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่า เฉินมามาผู้เชี่ยวชาญในการเลือกเจ้านายย่อมจะรู้อยู่แล้วว่านางสมควรจะเลือกผู้ใด
“เขียนฎีกาขอปลดนางก็ไม่ได้ ตบตีนางก็ไม่ได้ เช่นนั้นเหตุใดพวกเราไม่ยัดเยียดข้อหาคบชู้ให้นางอีกสักครั้งเล่าแถมคราวนี้หาผู้ชายรูปชั่วตัวดำสักคน เอาที่พิกลพิการได้ก็ยิ่งดีถึงยามนั้นท่านแม่ก็มีข้ออ้างที่จะกำจัดนางแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้นางกับสุ่ยอี้โหรวเคยวางแผนการเช่นนี้เอาไว้เช่นกันแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้ลงมือไม่สำเร็จเลยสักครั้ง
“คนของนางมีวรยุทธ์อีกทั้งน่าจะแยกแยะยาสมุนไพรแปลกปลอมในอาหารได้” ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดแล้วจึงได้ยิ้มออกมา
“เฉินมามาเจ้าส่งจดหมายไปที่สกุลกู้ของข้าที บอกกับหลานชายของข้าว่าข้าอยากจะขอคนจากเขาสักหน่อย” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามาอดกังวลใจไม่ได้แต่ด้วยรู้ดีว่าไม่อาจจะห้ามฮูหยินผู้เฒ่าได้เป็นครั้งที่สองดังนั้นนางจึงจำต้องเก็บงำถ้อยคำของตนเองเอาไว้
“ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเอากระดาษและพู่กันมาให้นะเจ้าคะ” เฉินมามาเอ่ยพลางเดินไปหยิบกระดาษพู่กันและจานฝนหมึกมาเตรียมพร้อมเอาไว้ ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเขียนจดหมายนางที่กำลังฝนหมึกให้ฮูหยินผู้เฒ่าก็แอบอ่านจดหมายฉบับนั้นไปด้วยเพื่อที่ว่าจะได้ลักลอบนำข้อความไปบอกให้คนที่เรือนเหมันต์รู้
เนื้อความในจดหมายเอ่ยถึงความคับข้องใจที่มีต่อลูกสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่า นางขอผู้ที่มีวรยุทธ์จากสกุลกู้สักสองสามคนเพื่อมาคอยช่วยทำงานให้นาง อีกทั้งยังถามหาหลานสาวที่มีความอ่อนน้อมและมีอายุเหมาะสมที่จะแต่งงาน นางให้สัญญาว่าถ้าสกุลกู้ช่วยนางกำจัดโม่ชิงเยว่ได้สำเร็จตำแหน่งฮูหยินคนถัดไปของจวนนิ่งอันโหวนางจะยกให้หลานสาวที่มาจากสกุลกู้
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเขียนจดหมายเสร็จแล้วนางก็ปิดผนึกจดหมายอย่างแน่นหนาแล้วส่งให้เฉินมามาในทันที
“เจ้าจงจำไว้ว่าจดหมายฉบับนี้จะต้องส่งถึงมือของนายท่านใหญ่สกุลกู้ด้วยตัวของเจ้าเอง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกำชับเฉินมามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮูหยินได้โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอรับรองว่าจดหมายฉบับนี้บ่าวจะส่งให้ถึงมือของนายท่านใหญ่ด้วยตนเอง” เมื่อเฉินมามาเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สกุลกู้คือสกุลเก่าแก่ในเมืองหลวงเป็นสกุลที่มีทั้งอดีตฮองเฮาและอดีตไทเฮาในสกุล กู้ไทเฮาคือพระมารดาแท้ๆ ของหลี่เฟยหลงฮ่องเต้ แต่ยามนี้เมื่อสิ้นองค์ไทเฮาไปแล้วสกุลกู้จึงไม่ได้ยิ่งใหญ่ดังเช่นกาลก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงชุบเลี้ยงผู้ที่มีฝีมือเอาไว้มากมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าจะขอยอดฝีมือมาใช้งานสักคนสองคน แต่สิ่งที่เฉินมามาอดตื่นตกใจไม่ได้ก็คือการเสนอตำแหน่งฮูหยินจวนโหวให้คนสกุลกู้ต่างหาก ฮูหยินผู้เฒ่าเขียนลงไปเช่นนี้มิเท่ากับว่าตั้งใจที่จะปลิดชีพฮูหยินจวนโหวคนปัจจุบันหรอกหรือ
“คราวนี้ข้าคงจะปล่อยนางเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไม่เพียงท่านโหวกำลังจะกลับมาแต่นางยังกล้าโต้แย้งกับข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เดิมทีข้าคิดว่าการที่ข้ายกอำนาจทั้งหมดให้สุ่ยอี้โหรวจะทำให้นางสำนึกได้ว่าตนเองไม่คู่ควรกับท่านโหวแต่ยามนี้ก็อย่างที่พวกเจ้าเห็น ไม่เพียงสุ่ยอี้โหรวหักหน้าข้าแต่นังเด็กจากสกุลโม่ผู้นั้นยังกล้าโต้แย้งกับข้าต่อหน้าผู้อื่น ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงปล่อยนางเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“จัดการนางเลยเจ้าค่ะท่านแม่ นางอยากกล้าทำตัวหยิ่งผยองใส่ท่านดีนัก จัดการเจ้าเด็กสองคนที่เป็นลูกชู้ด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อซ่งเหวินหนิงเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ส่ายหน้า
“ตราบใดที่พี่ชายของเจ้ายังไม่กลับมาอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาอีก”
“แต่พวกเขาคือลูกของชู้มิใช่หรือเจ้าคะ” คำถามของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกปวดศีรษะในทันที
“พี่ชายเจ้ายังไม่กลับมาก็อย่าพึ่งยืนยันเรื่องนี้ รอให้รู้เรื่องอาการบาดเจ็บของเขาอย่างแน่ชัดก่อนแล้วพวกเราค่อยตัดสินเรื่องสายเลือดของพวกเขาก็ยังไม่สาย” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงพยักหน้าในทันที
“ถ้าท่านพี่ยังมีทายาทได้พวกเขาก็จะเป็นลูกชู้ใช่ไหมเจ้าคะ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาได้ในทันที
“ยังดีที่เจ้าคิดได้ เฉินมามาเจ้ารีบออกเดินทางไปที่จวนสกุลกู้เถิด” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินมามาจึงรีบคารวะอำลาแล้วดินออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า แน่นอนว่าก่อนที่นางจะออกจากจวนนางได้คัดลอกข้อความแล้วส่งไปให้ชุ่ยเหมยเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าทางเรือนเหมันต์จะเอาตัวรอดเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับนางอีก
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ