แชร์

บทที่ 28 จวนสกุลเจียง

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:37:28

เมื่อจวนนิ่งอันโหวอยู่ในความสงบเรียบร้อยดีแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้จัดเตรียมของขวัญและของกำนัลหลายคันรถเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้แก่คนสกุลเจียง ในฐานะที่นางเป็นฮูหยินแต่กลับถูกคนในจวนโหวกดขี่มานานถึงสามปีข้าวของเหล่านี้นางจึงถือว่าเป็นของชดเชยที่นางควรจะได้รับ ในเมื่อเป็นของที่นางควรจะได้รับนางก็มีสิทธิ์ที่จะนำไปมอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ ดังนั้นวันต่อมานางจึงได้พาลูกทั้งสองไปคารวะเยี่ยมเยียนเหล่าผู้อาวุโสในจวนสกุลเจียงด้วยตนเองพร้อมด้วยของกำนัลอีกหลายคันรถ

ยามที่นางลงจากรถม้าซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลเจียงเป็นผู้มารอรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าโม่ชิงเยว่จะไม่เคยพบหน้าแต่เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ชุ่ยเหมยส่งมาให้นางก็รีบพาลูกๆ ไปคารวะซุนต้าเหนียงในทันที

“โม่ชิงเยว่คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ซุนต้าเหนียงรีบเบี่ยงกายหลบการคารวะของนางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยกย่องอย่างเต็มที่

“ข้าเป็นแค่เพียงสตรีจากสกุลพ่อค้าจะรับการคารวะจากนิ่งอันโหวฮูหยินได้อย่างไร แค่ท่านยินดีมาเป็นแขกที่จวนสกุลเจียงของข้าก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติข้าและสกุลเจียงแล้ว” เมื่อซุนต้าเหนียงเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า

“ท่านแม่ของข้าคือบุตรสาวสกุลเจียง ข้าไม่มีทางคิดดูหมิ่นจวนสกุลเจียงเพียงเพราะเป็นสกุลของพ่อค้าหรอกเจ้าค่ะ อีกทั้งก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะข้าได้รับการช่วยเหลือจากสกุลเจียง ชีวิตของข้าและลูกๆ ก็คงจะย่ำแย่ไปแล้ว จื่อเหยา จื่อเยว่ พวกเจ้ามาคารวะท่านยายเร็ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็ต่างรีบเข้าไปคารวะซุนต้าเหนียงอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่งในสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น

“เป็นแฝดหงส์คู่มังกรที่หาได้ยาก นิ่งอันโหวฮูหยินช่างโชคดีนัก เอาล่ะอย่ามัวแต่พูดคุยกันอยู่ด้านนอกเลย ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าและบรรดานายท่านต่างรอท่านอยู่ด้านในแล้ว” ซุนต้าเหนียงเอ่ยพลางผายมือเชื้อเชิญให้โม่ชิงเยว่เดินเข้าไปด้านใน ซึ่งโม่ชิงเยว่ก็เดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญโดยมีลูกๆ ชุ่ยเหมยและสาวใช้ที่ติดตามมาเดินตามนางเข้าไปด้านในด้วย

จวนสกุลเจียงแม้ว่าจะเป็นจวนของพ่อค้า แต่การตกแต่งกลับหรูหราและมีความโดดเด่นไม่แพ้จวนขุนนางที่โม่ชิงเยว่เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวชม ยามที่นางเข้าไปในโถงรับรองของสกุลเจียงบุคคลแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาของนางก็คือสตรีสูงวัยที่นั่งเด่นบนเก้าอี้ประธานกลางห้องโถง ถัดมาคือชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วม แต่ดวงตาที่คล้ายคลึงกับมารดาของนางคู่นั้นทำให้นางคาดเดาได้แล้วว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นนายท่านใหญ่เจียง ส่วนชายวัยกลางคนอีกคนมีรูปร่างสูงโปร่งรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าทำให้โม่ชิงเยว่คิดถึงมารดาของนางเช่นกัน นางคาดเดาเอาว่าเขาน่าจะเป็นนายท่านรอง ส่วนสตรีวัยกลางคนที่มีดวงหน้างดงามแต่ร่างกายกับดูซูบผอมราวกับคนไม่มีแรงผู้นั้นคงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากจะเป็นฮูหยินผู้อ่อนแอของนายท่านรอง

“โม่ชิงเยว่คารวะท่านยาย ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงรองและท่านป้าสะใภ้รองเจ้าค่ะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางย่อกายคารวะตามธรรมเนียม ซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็ต่างคารวะตามมารดาโดยที่ไม่ต้องมีผู้ใดบอกกล่าว

“นิ่งอันโหวฮูหยินไม่ต้องมากพิธี ที่จริงแล้วควรจะเป็นข้าที่สมควรออกไปรับเจ้าที่หน้าประตูจวนด้วยตนเอง แต่เพราะขาแก่ๆ ของข้าไม่ค่อยจะดีแล้วจึงจำต้องไหว้วานสะใภ้คนโตของข้าให้ออกไปต้อนรับเจ้าด้วยตนเอง ส่วนสะใภ้รองของข้าก็อย่างที่เจ้าเห็นสุขภาพของนางไม่ค่อยจะดีนักหวังว่าเจ้าคงจะไม่ถือสาที่พวกข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับเจ้าด้วยตนเอง” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่างเหินของนางทำให้จิตในของโม่ชิงเยว่พลันสั่นไหวอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงว่าการที่นางสามารถผ่านความยากลำบากในจวนนิ่งอันโหวมาได้ก็ล้วนเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเจียง นางย่อมไม่กล้าถือสาความห่างเหินที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงมอบให้

“หลานหรือจะกล้า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือของสกุลเจียงหลานก็คงไม่อาจจะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงป่านนี้ ส่วนลูกๆ ของหลานก็คงไม่อาจจะมีชีวิตดีๆ ได้ดังเช่นตอนนี้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า

“หากไม่เพราะนิ่งอันโหวฮูหยิน กิจการผ้าปักของสกุลเจียงก็คงจะไม่อาจจะเฟื่องฟูได้จนถึงเช่นนี้” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ทั้งนายท่านใหญ่และนายท่านรองต่างก็พยักหน้า

“เป็นอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยมา หากไม่ใช่เพราะฝีมือปักผ้าของนิ่งอันโหวฮูหยิน กิจการผ้าปักของสกุลเจียงก็คงจะไม่ได้รับความนิยมดังเช่นในตอนนี้ ท่านคงจะไม่รู้ว่ายามนี้แม้แต่พระสนมในวังก็ยังส่งคนออกมาสั่งซื้อผ้าปักสกุลเจียงของพวกเรา ว่ากันว่ายามนี้ทางกองผ้าปักต่างก็พยายามแกะลายและพยายามลอกเลียนแบบวิธีการปักของนิ่งอันโหวฮูหยินแต่กลับไม่เป็นผล” ซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่สกุลเจียงเอ่ยสนับสนุนคำพูดของแม่สามีของนางด้วยรอยยิ้ม ส่วนนายท่านใหญ่ก็เอ่ยสนับสนุนคำพูดของนางเช่นเดียวกัน

“วิธีการปักผ้าของนิ่งอันโหวฮูหยินแม้แต่ช่างปักในสกุลเจียงก็ยังลอกเลียนไม่ได้ ท่านแม่บอกว่าเป็นวิธีการเฉพาะที่หวันหว่านเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง คิดไม่ถึงว่านิ่งอันโหวฮูหยินจะสามารถเรียนรู้จากหวันหว่านได้มากถึงขั้นนี้” เมื่อนายท่านใหญ่เอ่ยถึงเจียงหวันหว่านผู้เป็นมารดาของโม่ชิงเยว่สีหน้าของนางก็พลันเศร้าหมองลงด้วยความอาลัย

“ท่านแม่มักจะสอนวิชาปักผ้าให้ข้าเสมอทุกครั้งที่ข้าว่าง ชั่วชีวิตของนางเฝ้าคิดถึงแต่จวนสกุลเจียงเสมอ แต่เพราะสำนึกในความผิดของตนเองทำให้ท่านแม่ไม่กล้ากลับมาที่สกุลเจียง ทำได้แค่เพียงส่งผ่านความคิดถึงลงไปในลวดลายของผ้าปักเพียงเท่านั้น” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่าที่ในยามนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความคิดถึงและความอาลัยในตัวบุตรสาวอย่างเจียงหวันหว่านจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

“ทุกครั้งที่คิดถึงท่านยายท่านแม่ก็มักจะนั่งปักผ้า แถมยังนำคำสอนของท่านยายมาถ่ายทอดให้ข้าด้วย วิธีการปักแต่ละฝีเข็มที่ข้าได้เรียนรู้ล้วนกลั่นมาจากประสบการณ์จากการฝึกฝน ฝีมือของท่านแม่และคำสอนที่ท่านแม่เคยได้เรียนรู้จากท่านยาย จวบจนวาระสุดท้ายนางก็ยังคงคิดถึงท่านยายและทุกคนในจวนสกุลเจียงเสมอ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลเจียงก็หลั่งน้ำตาออกมา

“ในเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ควรจะกลับมาขอขมาข้าสิ นางเป็นบุตรสาวของข้าต่อให้ข้าเอ่ยปากว่าตัดขาดกันแล้วแต่ตัวนางเองก็มีลูกแล้วเช่นกัน น่าจะรู้ว่าคนเป็นมารดาไม่อาจจะตัดขาดบุตรสาวของตนเองได้ลงคอหรอก” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงทำให้โม่ชิงเยว่ก้มหน้าลง พลางคิดถึงคำพูดของมารดาก่อนที่นางจะสิ้นใจไปเพราะโรคภัยที่มารุมเร้า

ยามนั้นสาเหตุที่ถูกตัดขาดก็เพราะท่านแม่ของนางเลือกแต่งออกกับนายทหารจนๆ ผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าต่อมาโม่เหิงผู้เป็นบิดาของนางจะสร้างความดีความชอบจนได้เป็นแม่ทัพใหญ่ พอได้เป็นฮูหยินแม่ทัพแล้วเดิมทีมารดาของนางตั้งใจจะมาขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าที่สกุลเจียงด้วยตนเองแต่เพราะโรคภัยที่รุมเร้าทำให้นางไม่กล้าแบกสังขารที่เต็มไปด้วยโรคภัยมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงได้เห็น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status