เจียวซินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตำรา ก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างแรก นางต้องรู้ก่อนว่าโลกที่นางอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือสังคม
“กฎหมาย การรบ จารีต … แล้วประวัติศาสตร์อยู่ไหนกันล่ะ” เจียวซินเดินหาเท่าไหร่ก็มิเจอ หรือนางควรไปถามท่านอ๋องดี แต่ก็กลัวโดนท่านอ๋องตำหนิ อีกอย่างนางรู้สึกหมั่นไส้ เบื่อหน่าย รำคาญท่านอ๋องอย่างไรก็ไม่รู้
เอ่อ ยอมรับก็ได้ว่างอน จริงๆ ก็ไม่ถึงกับงอนแต่แค่รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียใจนิดๆ โมโหหน่อยๆ ก็เท่านั้น
“ชิ หาเองดีกว่า ไม่ง้อหรอก”
“เจ้าหาตำราใดอยู่งั้นหรือ” เฟยเทียนที่เข้ามาเงียบๆ เอ่ยถามขึ้น
“เห้ย!! ท่านทำข้าตกใจ” เจียวซินยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองเบา
“ตกใจอันใดของเจ้า แล้วเจ้าหาตำราอันใดอยู่…ข้าจะช่วยหา” ประโยคสุดท้ายเฟยเทียนพูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน อีกทั้งยังแสดงอาการเก้งๆ กังๆ เหมือนมิค่อยแน่ใจในสิ่งที่ทำอยู่
ด้านเจียวซินที่อยูใกล้ได้เห็นท่าทีและได้ยินทุกคำพูดของท่านอ๋อง จึงแอบลอบยิ้มทันที
หึ มาง้อข้าสินะ จะยอมพูดด้วยสักหน่อยก็ได้
“จะช่วยหม่อมฉันหาหรือเพคะ”
“หืม…ใช่ บอกมาว่าอยากได้ตำราอันใด” เฟยเทียนที่เริ่มขัดเขินกับการกระทำของตนเอง จึงกระแอมและกล่าวเสียงเข้มขึ้นมา
“หม่อมฉันอยากได้ตำราประวัติศาสตร์ของแผ่นดินที่เราอยู่เพคะ”
“เจ้าหมายถึง-”
“หม่อมฉันหมายถึงความเป็นมาของแผ่นดินนี้เพคะ” ไม่รอให้ท่านอ๋อง คาดเดา เจียวซินก็ตอบกลับไปทันที
“อ่อ ตำรานั้นอยู่ในห้องทำงานข้า หากอยากอ่านก็ตามเข้ามา” กล่าวจบเฟยเทียนก็หันหลังเดินไปทันที เจียวซินที่เดินตามไปติดๆ แหวกม่านลูกปัดเข้าไป สายตาสอดส่องไปทั่ว หลังม่านนี้มีชั้นตำราเรียงอยู่รอบห้อง ภายในห้องมีโต๊ะทำงานสองตัวอยู่คนละฟากของห้อง ใกล้โต๊ะทำงานใหญ่มีตั่งไม้ยาว คงใช้สำหรับเอนกายพักผ่อนของท่านอ๋อง
“เจ้านั่งรอตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหยิบตำรามาให้” ท่านอ๋องชี้ลงบนตั่งไม้ เจียวซินจึงเดินไปนั่งรอบนตั่งไม้ ไม่นานท่านอ๋องก็หยิบตำราเล่มหนามาให้นางหลายเล่ม
“นั่งอ่านอยู่ตรงนี้ อยากได้อันใดก็บอกห่าวซวน”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” เจียวชินกล่าวตอบรับ แล้วจึงเริ่มอ่านตำรา โดยเลือกเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น เจียวซินใช้เวลาอ่านไปกว่าสองชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ได้ข้อสรุปว่าที่นางอยู่ตอนนี้เป็นแคว้นเฉินที่ปกครองโดยองค์จักรพรรดินามว่า เฉินเฟยหลง หรือก็คือพระบิดาของท่านอ๋องนั่นเอง ฮ่องเต้เฟยหลงมีพระราชโอรส 5 พระองค์ พระราชธิดา 3 พระองค์ ประสูติจากฮองเฮาหลี่หนิงเฟิง 3 พระองค์ได้แก่ องค์รัชทายาท เฉินเฟยฉี ท่านอ๋องสาม เฉินเฟยเทียน และองค์หญิงเจ็ด เฉินเฟยเฟิ่งประสูติจากสนมอันผิง (สนมขั้นหวงกุ้ยเฟย) 2 พระองค์ได้แก่ท่านอ๋องสอง เฉินลู่เหวิน และองค์หญิงสี่ เฉินลี่มี่ ประสูติจากสนมเหว่ยชิงเยว่ (สนมขั้นกุ้ยเฟย) 2 พระองค์ ได้แก่ องค์ชายห้า เฉินเลี่ยงหรง และองค์หญิงหก เฉินลี่ฮวา เป็นฝาแฝดกัน ส่วนองค์ชายแปด เฉินหนิงหลง ผู้มีอายุเพียงสามหนาวประสูติจากสนมขั้นผินลิ่วเหรินผู้หนึ่งที่มาจากต่างแดน ประสูติองค์ชายแปดได้ไม่นานพระสนมก็สิ้นชีพลง ฮองเฮาจึงเป็นผู้เสียงดูองค์ชายแปดมาแต่เล็กแต่น้อย
อ่า~ ศึกชิงบัลลังก์ต้องมาแน่ ผู้ท้าชิงก็อาจจะเป็น องค์รัชทายาท ท่านอ๋องสอง ท่านอ๋องสาม และองค์ชายห้า
เจียวซินคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนช่างจินตนาการ พออ่านจบเจียวซินก็พับตำราเก็บไว้ พรางคิดถึงการจะเปิดสำนักศึกษา จึงหยิบตำราด้านสังคมของแคว้นมาอ่าน ได้ความว่าสำนักศึกษามีน้อยมาก และส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ได้เล่าเรียน
“ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสินะ” เจียวซินเอ่ยพึมพำกับตนเอง แต่ก็ยังไม่ลอดพ้นหูของเฟยเทียน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เพคะ? อ่อ หม่อมฉันหมายถึงการที่ลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ได้เล่าเรียน แต่ชาวบ้านกลับไม่ได้มีโอกาสเล่าเรียนมันไม่เท่าเทียมเพคะ ทุกคนควรได้เล่าเรียนทั้งหมด”
“เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า ชาวบ้านจะเอาเงินทองที่ใดมาเป็นค่าเล่าเรียน เพียงจะใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันยังยาก”
“หม่อมฉันถึงบอกว่ามันไม่เท่าเทียมอย่างไรล่ะเพคะ คนมีเงินทองได้เรียน คนไม่มีเงินทองไม่ได้เรียน ทั้งที่คนไม่มีเงินทองอาจจะเรียนได้ดีกว่าก็ได้ เช่นนี้แคว้นของเราจะไม่สูญเสียคนเก่งไปโดยเปล่าประโยชน์หรือเพคะ” เจียวซินโต้กลับทันที
“…” เฟยเทียนนั่งฟังสิ่งที่เจียวซินกล่าว ก็เป็นจริงดังที่นางว่า เฟยเทียน ที่กำลังจะกล่าวต่อกลับโดนขัดขึ้น
“ท่านอ๋อง หากจะเป็นอาจารย์ต้องทำอย่างไรบ้างหรือเพคะ”
“อาจารย์ เจ้าหมายถึงเจ้าจะไปเป็นอาจารย์หรือ ฮ่าๆ เจ้านี่คิดเพ้อเจ้อเสียจริง ฮ่าๆ” เฟยเทียนหัวเราะดังลั่น นางช่างเพ้อเจ้อเสียจริงคราวก่อนก็คิดว่าเขาจะให้นางมาเป็นนางบำเรอ มาคราวนี้อยากเป็นอาจารย์
“หม่อมฉันพูดจริงเพคะ ท่านอ๋องเพียงตอบมาว่าต้องทำอย่างไร” เจียวซินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะแฮ่ม ได้ๆ อย่างแรกเจ้าถนัดสิ่งใดเล่า เป็นอาจารย์จะต้องเชี่ยวชาญ ด้านใดด้านหนึ่ง เชี่ยวชาญจนสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันทราบเพคะ และหม่อมฉันก็ถนัดด้านคณิต- เอ่อ การคำนวณเพคะ อ่อแล้วอีกอย่างคือภาษาอังกฤษ ภาษาของชาวตะวันตกน่ะเพคะ” เจียวซินพูดอย่างภาคภูมิใจ พร้อมยืดอก เชิดหน้าขึ้น
“เจ้า เจ้าถนัดการคำนวณ กับ ภาษาของชาวตะวันตกหรือ อึก หึๆ” เฟยเทียนพยายามกลั้นขำสุดขีด นางเยินยอตนเองเกินไปแล้ว
“ขออภัยที่กระหม่อมต้องเอ่ยแทรกพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาทรงเชี่ยวชาญภาษาของชาวตะวันตก ท่านอ๋องคงมิต้องกังวลเรื่องล่ามที่จะมาช่วยแปลสารจากคณะราชทูตที่จะเดินทางมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า” ห่าวซวนเอ่ยบอกต่อ เฟยเทียน เมื่อเจียวซินได้ยินดังนั้นถึงกับใจเต้น นี่เป็นหนทางในการสร้างชื่อเสียงของนาง และอีกอย่างนางอาจจะได้รางวัลกลับมาด้วย คิดได้ดังนั้นนางจึงกล่าวบอกท่านอ๋องทันใด
“หม่อมฉันเชี่ยวชาญภาษาของชาวตะวันตกมากเพคะ ท่านไว้ใจหม่อมฉันได้หรือท่านอยากจะทดสอบหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ”
“อืม เช่นนั้นออกไปตลาดเทียบท่าทางเหนือ” เฟยเทียนคุ้นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจ
“ไปเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนลุกขึ้นเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“อืม ไปเตรียมรถม้า” กล่าวเสร็จเฟยเทียนจึงลุกออกจากโต๊ะทำงาน เจียวซินเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปทันที แต่ยังไม่ทันที่เฟยเทียนและเจียวซินจะเดินพ้นตำหนัก ก็พบเข้ากับขบวนของชายารองและอนุถัง ที่กำลังนำชาและของว่างมาให้ท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องและพระชายาจะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ หม่อมฉันกำลังจะนำชาจากนอกด่านมาให้ท่านอ๋องลองชิม” เป็นอันอ้ายฉิงที่กล่าวขึ้น
“เอาไว้ก่อนเถิด ข้ากับพระชายากำลังจะออกไปด้านนอก พวกเจ้ากลับไปก่อน ส่วนซูเหวิน ข้าจะไปพบเจ้าภายหลัง” เฟยเทียนกล่าวและเดินตรงไปยังรถม้าทันที เจียวซินเหลือบไปเห็นสายตาริษยาจากชายารองอันถึงกับขนลุกเกรียว จึงรีบสาวเท้าตามท่านอ๋องไป ชายารองและอนุถังจึงทำได้เพียงแยกย้ายกันกลับตำหนัก
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ