สามีของหมอเพชรขมวดคิ้ว "หมายความว่า...เขาลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว?"
แพทย์พยักหน้า "ใช่ครับ สมองของเขาเลือกที่จะ 'ลืม' เพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทั้งหมด"
เขาเปิดเอกสารก่อนจะอธิบายต่อ "บางครั้ง ความทรงจำอาจไม่ถูกลบออกไปโดยสิ้นเชิง มันอาจคงอยู่ในรูปแบบของ ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘ภาพที่คุ้นเคย’ กนกอาจจำบางส่วนได้ เช่น คนบางคน หรือเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ชัดเจน แต่เขาจะไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดได้"
แพทย์เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ "และหากกนกต้องเจอกับสถานการณ์ หรือสิ่งกระตุ้นที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในวันนั้น เขาอาจจะจำได้อีกครั้ง และมันอาจกระตุ้นให้เกิดอาการตื่นตระหนก หรือปวดหัวรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้"
หมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำๆ
"แล้วตอนนี้... อาการของเขาจะเป็นยังไงต่อไปคะ?"
แพทย์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ "ตอนนี้เด็กอาจมีอาการที่คล้ายกับอยู่ในความทรงจำของตัวเอง หรืออยู่ในโลกที่สมองของเขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง เขาอาจมีช่วงเวลาที่เหม่อลอย รู้สึกสับสน หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ"
"แล้วเราต้องทำยังไงบ้างคะ?" หมอเพชรถามเสียงสั่น เธอพยายามคุมอารมณ์ตัวเอง แต่หัวใจกลับหนักอึ้งราวกับถูกบีบแน่น
แพทย์เสริมขึ้นทันที
"และจากเอกสารของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต...ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะ PTSD แบบเฉียบพลัน (Acute Stress Disorder: ASD) ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังจากเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ อาการจะรุนแรงในช่วงแรก แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยไม่พัฒนาเป็น PTSD เรื้อรัง"
แพทย์มองทั้งคู่ด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนกล่าวอย่างหนักแน่น "เราต้องให้ผู้ป่วยค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจไปตามธรรมชาติ อย่าฝืนให้เขานึกถึงสิ่งที่ลืมไป และอย่ากระตุ้นความทรงจำโดยตรง สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ให้เขารับรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง"
"เราจะทำยังไงได้บ้างครับ?" สามีของเธอเป็นฝ่ายถามขึ้น
แพทย์วางแฟ้มเอกสารลงก่อนอธิบายอย่างใจเย็น "ทางที่ดีที่สุดสำหรับการบำบัด คือต้องพาผู้ป่วยเข้ารับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองที่มีเครื่องมือพร้อมสำหรับผู้ป่วยประเภทนี้"
"จะรักษาด้วยวิธีไหนคะ"
"เราจะใช้วิธีบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม หรือ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) " แพทย์อธิบาย "CBT จะช่วยให้ผู้ป่วยระบุและเปลี่ยนแปลงความคิดที่เป็นอันตราย ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล นักบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ทักษะในการเผชิญปัญหา และจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ"
หมอเพชรพยักหน้า "แล้วมันจะช่วยกนกได้มากแค่ไหนคะ?"
"CBT สามารถช่วยลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า และนอนไม่หลับ อีกทั้งยังช่วยให้กนกสามารถเผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวดได้อย่างปลอดภัยและค่อยเป็นค่อยไป"
แพทย์มองทั้งคู่ด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนกล่าวต่อ "นอกจากนี้ กนกยังต้องได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว นี่เป็นสิ่งสำคัญมากครับ เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่ มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า"
แพทย์เปิดสมุดบันทึกขึ้นมา และอธิบายอย่างละเอียด
"สำหรับการดูแลที่บ้าน นอกจากการให้กำลังใจแล้ว ควรให้กนกได้พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่ดีจะช่วยให้สมองและจิตใจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น"
"การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเล่น หรือทำกิจกรรมที่กนกชอบ จะช่วยให้เขาผ่อนคลาย และลดความตึงเครียดได้"
"นอกจากนี้ การฝึกสมาธิ การหายใจลึกๆ หรือแม้แต่การเล่นกับสัตว์เลี้ยงก็สามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้"
แพทย์สบตากับทั้งคู่ "และที่สำคัญที่สุดคือ... ให้เขารู้ว่าพ่อแม่อยู่ข้างเขาเสมอ"
หมอเพชรหันไปมองสามี ทั้งสองสบตากัน แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล
"แล้วช่วงเวลาของการรักษา... จะใช้เวลานานแค่ไหนคะ?" หมอเพชรถามขึ้น เสียงของเธอเบาลงเล็กน้อยแต่ยังแฝงไปด้วยความกังวล
แพทย์เหลือบมองแฟ้มผลตรวจ ก่อนเงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม "ระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผู้ป่วยเป็นหลักครับ"
"ถ้ากนกตอบสนองต่อการบำบัดได้ดี ฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็ว อาจใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน"
สามีของหมอเพชรพยักหน้าอย่างตั้งใจฟัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร แพทย์ก็เสริมขึ้นมาอีกครั้ง
"แต่ถ้าผู้ป่วยยังฝังใจกับเหตุการณ์นั้น ยังคงรู้สึกหวาดกลัว หรือยังมีอาการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรุนแรง การรักษาอาจต้องใช้เวลานานขึ้น อาจมากกว่า 6 เดือน หรืออาจเป็นปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอของการรักษา และการสนับสนุนจากครอบครัวครับ"
หมอเพชรพยักหน้าเล็กน้อย แม้หัวใจจะหนักอึ้ง เธออยากให้ลูกกลับมาเป็นเด็กสดใสเหมือนเดิม แต่เธอก็รู้ว่า การเร่งรัดให้กนกฟื้นตัวเร็วเกินไป อาจเป็นการทำร้ายเขามากกว่าการช่วยเหลือ
"แล้วมีวิธีไหนไหมคะ ที่เราสามารถช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้นไหมคะ"
แพทย์ส่งยิ้มบางๆ ก่อนตอบ "สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยครับ ให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพัง และให้เขาค่อยๆ กลับไปใช้ชีวิตปกติทีละนิด โดยไม่กดดันตัวเอง"
"ถ้าเขาเริ่มกลัวหรือมีอาการตื่นตระหนก พ่อแม่ควรอยู่ข้างเขา และให้เวลาเขาค่อยๆ ก้าวผ่านมันไปเอง"
แต่สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้ ไม่ใช่การหาคำตอบว่าเมื่อไหร่กนกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่คือทำให้ลูกชายของพวกเขารู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...เขาจะไม่มีวันเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง
พวกเขาจะเดินไปกับเขา... ทีละก้าว ทีละก้าว
หน้าบ้านหลังเล็กที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นปะปนกับเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ปล่อยให้มีเพียงสองร่างในอ้อมกอดกันแน่นอยู่กลางห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวด ภพกอดร่างของกนกแน่น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากการร้องไห้ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่าย ๆ น้ำตาของคนน้องเปียกเสื้อเขาจนชื้น และแรงกอดของกนกก็เหมือนเป็นการยึดเหนี่ยวสุดท้ายไว้กับความจริง“ฮึก… พี่ภพ… มันเจ็บ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบารอดออกจากริมฝีปากสั่น“ไม่เป็นไรแล้ว…” ภพกระซิบเบา ๆ มือใหญ่ลูบหลังคนน้องอย่างอ่อนโยน“พี่อยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้วนะ…”กนกส่ายหน้าเล็กน้อย ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นสะอื้นอย่างทรมาน“มันย้อนกลับมา… ภาพพวกนั้น… ตอนเด็ก… ทำไมถึงลืมมันไปได้ ฮึก… ทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้…”“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคนเก่ง…” ภพก้มลงจูบผมนิ่ม ๆ ซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเนียนด้วยความอดทนที
วันนี้พี่ภพชวนผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า อากาศสดชื่นกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้พี่ภพอยู่ข้าง ๆเราไปเดินชมสวนดอกไม้ด้วยกัน แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่กำลังผลิบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน พี่ภพยิ้มให้กล้อง ผมเองก็ยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวแปลกดีนะ… ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ภพเป็นเหมือนบ้านช่วงบ่าย พี่ภพบอกว่าจะพาผมไปในสถานที่แห่งหนึ่ง "สถานที่แห่งความทรงจำ"ผมไม่ได้ถามว่ามันคือที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พี่ภพบอกผมก็คือ—"จับมือพี่ไว้แน่น ๆ นะ"และช่วงนี้ ผมกล้าจับมือพี่ภพแล้วด้วยเรานั่งรถมาด้วยกัน ข้างทางเริ่มคุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับไปที่บ้านพี่ภพแต่พอรถเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็ก ๆ ผมกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดมันไม่ใช่บ้านของพี่ภพ แต่เป็นบ้านเก่าหลังนึงที่สภาพดี แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อก้าวลงจากรถ ผมรู้สึกเหมือนถูกสายลมที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาเต็มแรงลมพัดเอื่อย
ในห้วงเวลาอบอุ่นช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว กนกอยู่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว พี่ภพเองก็ติดโปรเจกต์ปีสุดท้ายและกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งหากันเป็นระยะจนกระทั่งวันนี้พี่ภพมาหาน้าแป้น และทักมาหาเขา"วันนี้มาหาพี่หน่อย อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานได้ไหม?"กนกอ่านข้อความแล้วบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกกับพี่ภพ เมื่อเจอกัน เราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่พี่ภพจะขับรถพาเขาไปยังห้องพักบรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบา อากาศเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายใจ กนกไม่ได้ถามว่าทำไมพี่ภพถึงพาเขามาที่ห้องพัก—เขาแค่ไว้ใจคอนโดของพี่ภพอยู่ไม่ไกลจากหอในของเขานัก เป็นห้องขนาดกว้าง แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ครัวเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนเชื่อมกับพื้นที่ทำงาน เตียงกว้างและดูนุ่มมาก"เราจะนั่งอ่านหนังสือที่เตียงพี่ก็ได้นะ ถ้าง่วงก็นอนได้เลย""ครับ"กนกตอบรับโดยไม่ถามอะไร เขาหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาเปิด แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าพี่ภพให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือแค่ต้
"อ้อมกอดของแม่"คืนนี้เงียบสงบกว่าทุกคืน ลมหายใจของกนกอุ่นขึ้นเมื่อนอนอยู่ข้างแม่ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง"วันนี้แม่ขอนอนกับลูกชายคนโปรดได้ไหมครับ?""ได้ครับแม่"กนกขยับตัวให้แม่เข้ามาใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พอเพชรล้มตัวลงนอน กนกก็รีบซุกตัวเข้าหาแม่ทันที โอบกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเพชรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยน "เป็นยังไงบ้างลูก ปีแรกในมหาวิทยาลัย เหนื่อยไหม?""เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกมากด้วย""เรียนยากไหม?""ก็ยากนิดหน่อยครับ แต่ยังดีที่มีมิวช่วยติวให้ มิวเก่งมากเลยครับแม่""ดีจังเลย แม่จำได้ว่าลูกเล่าเรื่องมิวให้ฟังบ่อยๆ แล้วหนูพราวล่ะ เป็นไงบ้าง?""พราวก็ยังตลกเหมือนเดิมเลยครับแม่ ถ้าผมเครียดๆ เบื่อๆ พราวนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้""ดีแล้วล่ะลูก มีเพื่อนดีก็ช่วยกันประคองไปนะ มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"กนกพยักหน้ารับ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเพชรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจ "แล้วพี่ภ
หลังจากนั้นพบรักก็พากนกกลับบ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมความรู้สึกที่อบอุ่น แม้จะมีความหวาดกลัวและกังวลบางอย่างยังค้างอยู่ในใจ แต่การมีพี่ภพอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอด คอยปลอบโยน ทำให้เขารู้สึกว่า… ไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังและยิ่งรู้สึก… ชอบพี่ภพมากขึ้นทุกวันวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังไปเยอะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลยเหนื่อยล้าเต็มที กนกหยิบหนังสือนิยายขึ้นมา หวังว่าจะอ่านเล่นสักหน่อยก่อนจะหลับไปแต่ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้ง มือถือก็สั่นเบา ๆ แจ้งเตือนข้อความจาก LINEพี่ภพ: “นอนหรือยังครับ”กนก: “กนกจะอ่านหนังสือนิยายสักหน่อย แล้วก็คงจะนอนแล้วครับ”พี่ภพ: “นอนไวจัง เพิ่งสามทุ่มเอง”กนกหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับกนก: “พี่ภพมีอะไรหรือเปล่าครับ”พี่ภพ: “พี่เหนื่อยนิดหน่อย พอดีส่งงานให้ลูกค้าอยู่ กำลังปั่นงานเลย”กนก: “วันนี้พี่ภพกลับไปในเมืองหรอครับ”
เพชรมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มกับโทรศัพท์ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมา“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันครับ คุณกนกของแม่?”กนกสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม “ยิ้มอะไรกันล่ะครับ แม่คิดไปเอง กนกไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”เพชรหัวเราะเบา ๆ “ก็เห็นยิ้มกับโทรศัพท์ไง”เด็กหนุ่มเม้มปาก หันไปมองหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ก็...พี่ภพ LINE มาบอกนะครับว่าอยู่บ้านตัวเองแล้ว”“อ้อ”“แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กนกก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เจ้าตัวพูดต่อ “แต่ว่าพี่เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราตรงนี้นี่เอง”เพชรพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตายังคงมองสำรวจลูกชายของตัวเอง“วันนี้เขาจะมาหาหรือเปล่า?”“พี่ภพเหรอครับ?”“จ้ะ”“เห็นบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนมะพร้าวเล็ก ๆ”เพชรเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวนมะพร้าว?”กนกพยักหน